บ้านศิวเศขร
ตุ้บ!
ร่างงามถูกผลักลงบนเตียงอย่างไม่ปรานีนัก เวนิสานิ่วหน้าด้วยว่าเจ็บบั้นท้ายเหลือกำลัง เขาเป็นบ้าอะไรไปอีก ไม่เห็นหรือว่าเธออาการไม่ค่อยดี
“ไม่ต้องสำออย มีความสุขนักเหรอกับการอ่อยผู้ชายไปทั่ว มีฉันคนหนึ่งไม่พอหรือไง!”
เสียงห้วนๆ แข็งๆ ที่ตวาดออกมาทำเอาเวนิสาตาเบิกโต นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ “พูดอะไรของพี่ ฉันไม่สบายอยู่นะ อย่ามาหาเรื่องทะเลาะ”
ศศินไม่ยอม ปีนขึ้นเตียงมาคร่อมร่างเวนิสาไว้
“ไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยง ใช่สินะ นายนั่นยังเด็ก คงชอบละสิ ได้กับมันหรือยังล่ะ”
เผียะ!
หนึ่งตบจากคนอ่อนแรงฟาดลงบนแก้มสากของศศิน ไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำร้ายเขา แต่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ดูถูกเธอยังไม่พอ ดูถูกคนที่เธอรักเหมือนน้องชายด้วย เขาบ้าไปแล้วกระมังถึงได้คิดแต่เรื่องสกปรกอย่างนี้
“นี่เธอ!? เธอตบฉันเหรอ”
“ค่ะ สติมาหรือยังคะ ใช้สติหน่อย เลิกหึงแล้วพาลซะที”
“เฮอะ! หึงเหรอ ฉันหึงเธอตอนไหนมิทราบ เราไม่ได้รักกันสักนิด!” พูดออกไปแล้วใจหล่นวูบ เห
ในตอนนี้ แม้ยังไม่รู้ว่าเวนิสาคิดกับเขาอย่างไร แต่หัวใจของเขา เหมือนจะกลายเป็นของหล่อนไปแล้ว มันไม่ค่อยคิดถึงตัวเองเลย คอยแต่จะคิดถึงเวนิสา คิดถึงใบหน้างามกับดวงตาแสนเศร้าคู่นั้นที่พยายามถามไถ่ความรู้สึกของหล่อนในเรื่องเขากับรวีกานต์ นั่นเพราะอยากมั่นใจว่าเวนิสามีใจให้เขาบ้าง มิใช่เห็นเขาเป็นเพียงพ่อพันธ์ที่มีไว้ปั๊มลูก แต่จนแล้วจนรอด แม่ตัวแสบก็บ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ ไม่ยอมบอกให้เขารู้สักที“ถ้าเธอไม่พูดออกมา แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง ฉันคงเป็นผู้ชายโง่ๆ ที่อยากได้ยินคำว่ารักจากคนที่ฉันรัก เธอ...พูดมันออกมาได้ไหมเวนิสา เพราะฉัน...ก็อยากพูดคำนั้นเหมือนกัน” พูดเองเออเองกับของสองสิ่งในกล่องสวย ก่อนจะดันมันลงในลิ้นชักเล่นเดิม “อยู่ในนี้ไปก่อนแล้วกันนะ” เอ่ยแล้วยิ้มบางๆ ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องแต่งตัวออกมา เขารีบล็อกลิ้นชักนั้นด้วยกุญแจที่มีเวนิสามองศศินแปลกๆ เหมือนว่ามีแววอ่อนหวานรายล้อมรอบกายเขา ดวงตาคู่นั้นดูอ่อนโยนน่าจดจ้อง และมันยิ่งน่ามอง ยามเมื่อเขาชี้ไปยังกล่องกระดาษใบใหญ่ที่วางอยู่ปลายเตียง เธอเดินไปหามัน เปิดฝากล่องขึ้น แล้วดวงตา
“งั้นก็คบกับเธอสิคะ” จู่ๆ เปลือกตาบางของเวนิสาก็เลิกขึ้นพร้อมกับเสียงเครือๆ ที่คล้ายตัดพ้อต่อว่า เธอฝืนยิ้มยินดีส่งให้แต่หัวใจปวดร้าวระบม“เอ้า...ไม่ได้หลับเหรอ”“ก็คงจะหลับ ถ้าพี่ไม่มาบ่นแง้วๆ ข้างหูฉัน” บอกแล้วจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างเก้าอี้“งั้นเหรอ” ตอบแล้วลุกขึ้นยืน ไม่มีประโยชน์จะแก้ต่างในเมื่อถูกจับได้ขนาดนี้ ตีหน้ามึนทำไม่รู้ไม่ชี้ไปก็แล้วกัน“ถ้าอยากขอโทษก็ขอโทษสิคะ ฉันจะได้นอนซะที วันนี้เพลียมากเลย” บอกแล้วจะหันหลังให้แต่ถูกคนตัวโตช้อนร่างขึ้นสู่วงแขนหวืด...“เอ๊ะ...อะไร! ปล่อยนะ”“ไปนอนเตียงจะได้สบายๆ”เวนิสาคร้านจะต่อกร อยากทำอะไรก็ทำเถิด เธอเพลียร่างเกินจะกล่าวแล้วชายหนุ่มวางร่างหญิงสาวลงอย่างเบามือ หล่อนดูอ่อนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ด่าไม่ว่าเขาด้วยที่อุ้มหล่อนมา ปกติต้องส่งเสียงแวดๆ โวยวายบ้างล่ะหากเขาทำเรื่องขัดใจ“เธอ...อยากให้ฉันคบกับตะวันเหรอ” ถามเมื่อเอนกายลงนอนเคียงข้างเวนิสาเรียบร้อย หล่อนห
[12]ร้าวราน________บ่ายแก่ๆ วันเดียวกันเงินสดมากกว่าห้าพันบาท ถูกวางลงตรงหน้าเวนิสา เธอยิ้มรับมันด้วยความยินดี ส่งมันเข้ากระเป๋าราวกับมีค่านับหมื่นนับแสน เรื่องไม่สบายใจทั้งหลายทั้งปวง เธอทิ้งไว้ที่คฤหาสน์ศิวเศขร ถึงทุกข์ใจอย่างไรก็ยังต้องทำมาหากิน เมื่อเช้าเกงานที่ห้างไปรอบหนึ่ง ตอนบ่ายเลยต้องหอบขนมมาส่งลูกค้า VIP เสียหน่อย“รอบนี้สั่งเยอะเชียว” เธอท้วงลูกค้าอันดับหนึ่ง“ก็ขนมพี่อร่อยนี่ครับ สาวออฟฟิศชอบเชียว มาซื้อเองบ้าง ฝากเพื่อนมาซื้อบ้าง เลยหมดไว” ปลายภูว่าแล้วยิ้ม มองพี่สาวคนเก่งที่วันนี้หน้าตาดูมีสีสันยิ่งกว่าเมื่อวาน“กิจการรุ่งเรืองก็ดี ฉันจะได้เกาะร้านนายไปนานๆ”“ยินดีครับ อ้อ...ไม่สบายหายแล้วเหรอ สีหน้าดูดีขึ้นนะ”คนถูกถามยิ้มบางๆ เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองหรอก เมื่อวานยังตัวรุมๆ อยู่เลย“ได้ยาดีละมั้ง”“อา....พูดแบบนี้ผมคิดไกลนะเนี่ย ว่าแต่...พี่กับพี่ศศิน สนิทกันเหรอ เมื่อวานเห็นแกอุ
บ้านศิวเศขรตุ้บ!ร่างงามถูกผลักลงบนเตียงอย่างไม่ปรานีนัก เวนิสานิ่วหน้าด้วยว่าเจ็บบั้นท้ายเหลือกำลัง เขาเป็นบ้าอะไรไปอีก ไม่เห็นหรือว่าเธออาการไม่ค่อยดี“ไม่ต้องสำออย มีความสุขนักเหรอกับการอ่อยผู้ชายไปทั่ว มีฉันคนหนึ่งไม่พอหรือไง!”เสียงห้วนๆ แข็งๆ ที่ตวาดออกมาทำเอาเวนิสาตาเบิกโต นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ “พูดอะไรของพี่ ฉันไม่สบายอยู่นะ อย่ามาหาเรื่องทะเลาะ”ศศินไม่ยอม ปีนขึ้นเตียงมาคร่อมร่างเวนิสาไว้“ไม่ต้องมาบ่ายเบี่ยง ใช่สินะ นายนั่นยังเด็ก คงชอบละสิ ได้กับมันหรือยังล่ะ”เผียะ!หนึ่งตบจากคนอ่อนแรงฟาดลงบนแก้มสากของศศิน ไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำร้ายเขา แต่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ดูถูกเธอยังไม่พอ ดูถูกคนที่เธอรักเหมือนน้องชายด้วย เขาบ้าไปแล้วกระมังถึงได้คิดแต่เรื่องสกปรกอย่างนี้“นี่เธอ!? เธอตบฉันเหรอ”“ค่ะ สติมาหรือยังคะ ใช้สติหน่อย เลิกหึงแล้วพาลซะที”“เฮอะ! หึงเหรอ ฉันหึงเธอตอนไหนมิทราบ เราไม่ได้รักกันสักนิด!” พูดออกไปแล้วใจหล่นวูบ เห
“อ๊ะ...อย่า...นะ เอามือออก”“ชู่ว์...แบบนี้..ก็ดีแฮะ” ว่าพลางบดบี้ปลายนิ้วเรียวเข้ากับเกสรดอกรักผ่านกางเกงชั้นในตัวบาง บดคลึงมันเป็นวงกลมเร็วบ้างช้าบ้างสลับกัน ส่วนมือขวาที่ว่างอยู่ ดึงใบหน้างามเข้ามาหา เพื่อจุมพิตล่อลวงให้หล่อนคล้อยตามรสจุมพิตหวานๆ ที่ปะปนความเร่าร้อนกำลังเผาเวนิสาให้กลายเป็นเถ้า ขากางเกงของเธอถูกดึงให้ยืดจนสุด กางเกงชั้นในตัวจิ๋วถูกเกี่ยวให้หลีกจากตำแหน่งเดิม ก่อนที่ศศินจะทำบางอย่างที่ทำให้เธอต้องตะลึง เขางัดเอาบางสิ่งออกมาจากกางเกงของตัวเองโดยไม่ได้ถอดออก มันแข็งแกร่ง ผงาดง้ำและร้อนผ่าวพอๆ กับเนื้อตัวเขา“อื้อ...เจ็บ!” เธอร้องบอก วินาทีที่ความแข็งแกร่งแห่งชาย มุดเข้าหาความนุ่มอ่อนของอิสตรีทางขากางเกงที่เปิดอ้า ความแน่นและฝืดหนืดก็เข้าเล่นงาน มันมุดเข้ามาในร่างเธอช้าๆ ส่งความเจ็บปวดที่ปะปนความเสียวซ่านเข้ามาให้ แล้วนาทีถัดมา กายแกร่งแห่งชายก็บุกเข้ามาในโพรงเนื้อสาวได้สำเร็จ เธอจุกจนพูดไม่ออก มันแน่นไปหมด“โอ...วี...ดีเหลือเกิน อา...” ศศินครางระงม เพียงแค่ได้พบเจอความชุ่มชื้นในโพรงเนื้อนุ่
หนึ่งชั่วโมงให้หลังปลายภูลุกมายืนมองวิวอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงไฟหลากสีข้างนอก บอกให้รู้ว่าเวลานี้มืดค่ำมากแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่มีผลต่อรวีกานต์ หล่อนยังคงหลับอยู่ หลับไปราวชั่วโมงได้แล้วกระมัง“อือ...ทำไม...เพดานมันหมุนได้นะ เจ๊...เจ๊หวาน...ช่วยฉันด้วย” แม่เมรีเปล่งเสียงเรียกคนที่คิดว่าอยู่ในบ้านหลังน้อย ทว่าไร้เสียงโต้ตอบ เธอค่อยๆ ลุกนั่ง ขยี้ตาแรงๆ เมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างหน้าต่าง “หือ? ฉันมาอยู่นี่ได้ไง”“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ สร่างหรือยัง สร่างแล้วจะได้กลับ” บอกหล่อนเสียงห้วน มือสองข้างซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกง พยายามเก็บความขุ่นเคืองใจเอาไว้ในนั้นรวีกานต์ทำหน้างอ อะไรของเขาล่ะ เธอสิ เธอต้องเป็นคนโกรธ ยังไม่ได้เอาคืนเลยที่บังอาจจูบเธอคราวก่อน“ปวดหัว” เธอว่า“ไม่แปลกนี่ กินเข้าไปทำไมตั้งเยอะ แถมยังขึ้นรถไฟฟ้ามาได้ น่าทึ่งจริงๆ”“ฉันเนียนไง โอย...ปวดหัว” เอ่ยพลางหันมองรอบตัว ที่นี่ไหนกันล่ะ“ห้องพักเจ้าของร้าน ปลอดภัยน่า” เอ่ยเหมือนรู้ว่