เฉียวเนี่ยนอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ไปหาหมอประจำจวนตั้งแต่หมอประจำจวนถูกพามาที่จวนอ๋องผิงหยางแล้ว เฉียวเนี่ยนจะหาเขาก็สะดวกขึ้นมากหมอประจำจวนรู้มานานแล้วว่าเฉียวเนี่ยนกลับมาแล้ว แต่วันนี้มีคนนอกกลับมาพร้อมเฉียวเนี่ยนด้วย เขาจึงไม่ได้ออกมาตอนนี้เห็นเฉียวเนี่ยนมาหา เขาย่อมดีใจ ต้อนรับเฉียวเนี่ยนอย่างร่าเริง ยื่นตําราแพทย์ที่เขาเขียนช่วงนี้ให้นาง “ตั้งใจอ่าน อ่านจบก็เก่งกว่าอาจารย์แล้ว”เฉียวเนี่ยนมีพรสวรรค์ทางการแพทย์ มีความเข้าใจอันรวดเร็ว สิ่งที่เขารู้ส่วนใหญ่ก็เขียนไว้ในตําราแพทย์เหล่านั้นแล้ว สอนก็แทบครบหมดแล้วเฉียวเนี่ยนย่อมดีใจ รับตําราแพทย์มา ปากก็หวานขึ้นหน่อย “ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ดีกับข้าที่สุดเลย!”หมอประจำจวนถูกป้อยอจนยินดี แต่มองเฉียวเนี่ยนที่ดีใจเช่นนี้ รอยยิ้มที่ริมฝีปากกลับแข็งทื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเขานึกถึงบางคนขึ้นมา แต่ก็กลัวว่าหากพูดออกไปจะทำให้เฉียวเนี่ยนเสียใจแต่เฉียวเนี่ยนก็ยังสังเกตเห็นความผิดปกติบนสีหน้าเขา จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านอาจารย์มีเรื่องในใจหรือ?”“ข้าไม่ได้ไปดูฮูหยินหลินมาครึ่งปีแล้ว” หมอประจำจวนพูด สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น “ไม่รู้ว
ฉู่จืออี้กับเซียวเหอต่างก็มองสีหน้าของสองนาง จึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ฉู่จืออี้ไม่พูดอะไร เพียงเดินมาหยุดที่ตรงหน้าเฉียวเนี่ยน มองเหงื่อที่ไหลลงมาไม่หยุดบนหน้าผากของนาง ยิ้มบางๆ “อย่าบอกนะว่าตอนอยู่ในกองทัพยังไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้?”หายากนักที่เฉียวเนี่ยนจะทำท่าซุกซนแลบลิ้น แล้วหันไปมองเกอซูอวิ๋นอย่างอดไม่ได้ก็เห็นเซียวเหอเดินมาหยุดอยู่ข้างเกอซูอวิ๋น สีหน้าเช่นเดิม “องค์หญิงนั่งพักสักครู่เถิด”เกอซูอวิ๋นก็เชื่อฟังนั่งลง แต่กลับรู้สึกถึงสายตาของเฉียวเนี่ยน จึงทำตาเขียวอย่างขัดเขินใส่เฉียวเนี่ยนคิดว่า คงอย่าได้แกล้งนางอีกแล้วละ หากทำให้นางร้องไห้ขึ้นมาต่อหน้าเซียวเหอจะทำอย่างไรดี?จึงเก็บสายตากลับ มองไปที่ฉู่จืออี้ “ฮ่องเต้ตรัสว่าอย่างไรบ้าง?”ฉู่จืออี้ยิ้มบาง “ไม่มีอะไร”พอได้ฟัง สีหน้าเซียวเหอกลับเปลี่ยนไปฮ่องเต้บอกชัดๆ ว่าจะประทานสารสมรส เหตุใดพอมาถึงต่อหน้าเฉียวเนี่ยน กลับกลายเป็นไม่มีอะไร?เฉียวเนี่ยนก็แปลกใจ “ไม่ได้พระราชทานรางวัลอะไรแก่พี่ใหญ่หรือ?”ฉู่จืออี้ส่ายหัว “ข้าปฏิเสธหมดแล้ว อำนาจบารมีมากเกินไป ไม่ใช่เรื่องดี”เฉียวเนี่ยนถึงได้พยักหน้าเข้าใจก็ใช่ ฉู่จืออี้ก
ฉู่จืออี้ไม่พูดอะไรเขามิได้คิดว่านี่เป็นเรื่องน่าอับอายใดๆฮ่องเต้จึงได้แต่ยอมลดราวาศอกอย่างจนใจ “ช่างเถอะๆ เช่นนั้นเจ้ากลับไปถามนางก่อน หากนางพอใจ เจ้าค่อยกลับมาบอกเรา เราค่อยเขียนพระราชโองการให้ ดีหรือไม่?”ยิ่งเอ่ยถึงท้ายประโยค น้ำเสียงก็ยิ่งเต็มไปด้วยความจนใจยิ่งนักในฐานะคนนอก เซียวเหอยืนอยู่ด้านข้าง ฟังฮ่องเต้ที่เอ็นดูฉู่จืออี้ ก็เผลอยกยิ้มออกมาครั้นนึกถึงตนที่ปฏิบัติต่อเซียวเหิง บางครั้งก็มิใช่ว่าจะเป็นเช่นเดียวกันหรือ?ดูท่าทีของพี่ชายต่อผู้น้องในใต้หล้าก็ล้วนไม่ต่างกันนักแต่ฉู่จืออี้หาได้ยิ้มไม่เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยฮ่องเต้ถือว่าเขาตอบรับแล้ว จึงถอนหายใจยาว จากนั้นก็เอ่ยอีก “เพียงแค่อภิเษก เห็นจะยังไม่พอ ไหนเลยครั้งนี้ได้ทองคำมาถึงห้าสิบล้านตำลึง... ตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยแพทย์แห่งโรงหมอหลวงเล่า นางจะสนใจหรือไม่?”หมอหลวงเซวียแก่ชราแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ก็เอ่ยกับเขาว่าต้องการปลดเกษียณกลับบ้านเกิดฮ่องเต้คิดว่า วิชาแพทย์ของเฉียวเนี่ยนบัดนี้อยู่เหนือหมอหลวงเซวียแล้ว ดังนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยแพทย์แห่งโรงหมอหลวงนี้ มอบให้เฉียวเนี่ยนจะดีกว่าฉู่จืออี้เหลือบมอ
ถึงจะมีก็ตามหากมิได้เคยร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้าสิบสาม หากมิได้เคยได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าสิบสามฮ่องเต้ผู้นี้ ควรจะมากด้วยความระแวงเท่าใด จะเชื่อใจใครได้อย่างไร?เพียงคำย้อนถามประโยคนี้ ฉู่จืออี้ก็ไม่เอ่ยวาจาต่อเขารู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะทำลายความกลมเกลียวระหว่างพี่น้องในห้องทรงอักษรเงียบงันอยู่ชั่วครู่ฮ่องเต้ไม่เอ่ย ฉู่จืออี้ก็ไม่เอ่ยเซียวเหอยิ่งไม่เหมาะจะพูดอะไรออกมาผ่านไปนาน ในที่สุดฮ่องเต้ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “ทางเซียวเหิงเป็นอย่างไรบ้าง?”“ไม่ทราบ” ฉู่จืออี้ตอบเรียบเฉยนี่เป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว ทว่าบางทีเพราะความเงียบงันเมื่อครู่ ทำให้ยามนี้ที่เขาเอ่ยเพียงสองคำ ดูราวกับว่าเขากำลังขุ่นเคืองไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกได้จึงเอ่ยเสริมอีกประโยค “ยังติดต่อไม่ได้ชั่วคราว แต่น้องได้ทิ้งองครักษ์พยัคฆ์ไว้ที่แคว้นถัง หากได้ข่าว จะส่งเข้ามาในเมืองหลวงทันที”ได้ฟังดังนั้น ฮ่องเต้ก็แปลกใจเล็กน้อย “เจ้าทิ้งองครักษ์พยัคฆ์ไว้ให้เขาด้วยหรือ?”องครักษ์พยัคฆ์เป็นหน่วยที่ฉู่จืออี้สร้างขึ้นด้วยตนเอง สำหรับฉู่จืออี้ พวกเขาล้วนเป็นดั่งครอบครัวฮ่องเต้ไม่
ฉู่จืออี้ออกจากเมืองหลวงไปครึ่งปี สำหรับเรื่องราวในเมืองหลวงก็หาใช่ว่าจะไม่รู้เลยเมื่อแรกเริ่มแม้จะมอบหมายเรื่องในเมืองหลวงทั้งหมดแก่เซียวเหอ แต่เขาก็ยังคงเหลือคนไว้ เพียงรอหากในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่ เขาก็สามารถรู้ได้ทันทีและเร่งรีบมาช่วยเหลือแต่ไม่คิดเลย ว่าวันนั้นกลับได้รับจดหมายลับที่ส่งมาจากเมืองหลวงบนจดหมายลับมีเพียงตัวอักษรไม่กี่คำ ว่า "จวนเมิ่งถูกยึดทรัพย์"ตามหลักการแล้ว เมื่อเขียนจดหมายลับก็ควรเขียนให้ละเอียดที่สุด แต่เนื้อหามีเพียงเท่านี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าคนที่เขียนจดหมายลับรู้เพียงเท่านี้เหตุใดจวนเมิ่งจึงถูกยึดทรัพย์ กลับไม่รู้อะไรเลยดังนั้น ฉู่จืออี้ถึงได้รีบถามขึ้นมาฮ่องเต้ก็รู้ว่าเมื่อฉู่จืออี้กลับมาแล้วต้องถามถึงเรื่องนี้ จึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วยกมือชี้ไปยังเซียวเหอเซียวเหอเข้าใจความหมาย จึงมองไปยังฉู่จืออี้ แล้วเอ่ยว่า “สามเดือนก่อน ฮองเฮากลับตระกูลเมิ่งเพื่อเยี่ยมญาติ คาดไม่ถึงว่าจะพบห้องลับในห้องทำงานของเมิ่งซ่างซู ภายในห้องลับนั้นเก็บไว้ซึ่งฉลองพระองค์มังกรหนึ่งชุด”เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของฉู่จืออี้ก็หม่นลึกลงที่แท้ ก็ซ่อนฉลองพระองค์มังกรไว้
เซียวเหอครางรับเบาๆ ครั้นแล้วจึงเอ่ยว่า "คนที่ควรรู้ก็ล้วนรู้หมดแล้ว"คนที่ควรรู้ ย่อมรวมถึงฮ่องเต้ด้วยฉู่จืออี้พยักหน้าอย่างช้าๆ "เดี๋ยวข้าจะเข้าวังไปกราบทูลเสด็จพี่ เจ้าก็มาด้วย"เขาหายจากเมืองหลวงไปครึ่งปี บัดนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นเช่นไร เขาจำเป็นต้องรู้ดังนั้น เฉียวเนี่ยนจึงพาเกอซูอวิ๋นกับหนิงซวงกลับจวนอ๋องผิงหยาง ส่วนฉู่จืออี้ก็ไปกับเซียวเหอ พร้อมทั้งนำทองคำห้าสิบล้านตำลึงเข้าวังไปด้วยทองคำห้าสิบล้านตำลึง บรรจุอยู่เต็มสิบกว่าหีบด้วยเพราะแต่ละหีบนั้นหนักยิ่ง รถม้าหนึ่งคันบรรทุกได้มากที่สุดเพียงสองหีบ ด้วยเหตุนี้ ฉู่จืออี้จึงต้องนำเกือบสิบคันรถม้า เดินทางกันมาอย่างยิ่งใหญ่ฮ่องเต้ก็รู้ว่าครานี้ฉู่จืออี้นำสิ่งใดกลับมา จึงพาเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊มายืนรอต้อนรับอยู่หน้าท้องพระโรงแต่ไกล ก็แลเห็นขบวนทัพใหญ่นั้นหัวใจของฮ่องเต้ถึงกับเต้นแรงแทบจะทะลุออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้นทองคำห้าสิบล้านตำลึงเชียว!อย่าว่าแต่ทองคำเลย ต่อให้เป็นเงิน ต่อให้เป็นทองแดง เขายังไม่เคยเห็นมากมายถึงเพียงนี้!จนกระทั่งฉู่จืออี้มาถึงหน้าท้องพระโรง ลงจากม้า คุกเข่าคารวะ "คารวะฮ่องเต้"