เหยาหลิงเจินไม่ลังเลอีกต่อไป นางทำทีเป็นว่าวิ่งเล่นอย่างร่าเริงอยู่ใกล้ประตูทางเข้ากระโจมจัดแสดงผีเสื้อ พลันนางก็สะดุดล้มเล็กน้อยโดยจงใจ ทำให้ประตูม่านกระโจมเปิดออก และมีผีเสื้อสวยงามสีสันสดใสจำนวนหนึ่งบินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว! ผีเสื้อหนีไปแล้ว” เหยาหลิงเจินร้องอย่างตื่นตกใจ นางแสร้งทำเป็นวิ่งไล่ผีเสื้อที่บินหนีออกไปทางที่หวังหลิง และซูหมิ่นจูยืนอยู่
นางวิ่งผ่านหวังหลิงแล้วก็ย้อนกลับมาวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง ราวกับจะจับผีเสื้อที่บินวนเวียนอยู่แถวๆ ซูหมิ่นจู นางสลับไปมาอย่างรวดเร็วและดูวุ่นวาย พอได้จังหวะเหมาะก็แอบโรยผงแป้งล่อผึ้งเข้มข้นลงไปที่บริเวณเสื้อผ้าของหวังหลิง และซูหมิ่นจูอย่างแนบเนียน
ความวุ่นวายนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที มู่หยงฉีที่กำลังพูดคุยอยู่กับหวงเซียนเล่อพลันหันมาเห็นเหตุการณ์ เหยาหลิงเจินมีท่าทีลุกลี้ลุกลนเพราะผีเสื้อหลุดจากกระโจม ท่านอ๋องจึงรีบเข้ามาช่วยแม่นางน้อยคนโปรดของเขาจับผีเสื้อกลับไปอย่างรวดเร็ว โดยมีหวงเซียนเล่อ หูจวี๋ และองครักษ์ที่ติดตามเว่ยอ๋องมาช่วยด้วยอีกแรง
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจการจั
มู่หย่งฉีก็พยายามตรวจตราเหยาหลิงเจินอยู่ไม่ไกล เขาเห็นนางยังปลอดภัยดีก็ยิ้มพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกเหยาหลิงเจินเห็นเขามองจนพอใจแล้ว จึงดึงมือออกจากการเกาะกุมนั้น ก่อนจะเดินไปหากัวรั่วชิง“หวงเชียนเล่อ คุณหนูกัวไม่เป็นอะไรใช่ไหม”มู่หยงฉีเอ่ยถาม เห็นแม่ทัพหนุ่มพยักหน้า เขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก โดยเฉพาะการที่ผึ้งพุ่งเป้าไปที่ศาลาที่เรานั่งพักกันอยู่แบบนั้น ช่างน่าสงสัยยิ่ง”“กระหม่อมก็รู้สึกเช่นเดียวกัน” หวงเชียนเล่อรับคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านอ๋องประสงค์ให้สอบสวนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“เปิ่นหวางจะสอบสวนเรื่องนี้ดีไหมน้า...” ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเอ่อระเหยเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างยากคาดเดา มู่หยงฉีมองหน้ากัวรั่วชิงก่อนจะหันมาสบตากับเหยาหลิงเจิน “เจ้าว่าอย่างไร”เขาถามแม่นางน้อยที่คนทั้งแคว้นคิดว่าเป็นเพียงสตรีปัญญาอ่อนอย่างทีเล่นทีจริง“ท่านอ๋องหล่อจะไปสอบสวนน้องผึ้ง? ท่านพูดภาษาผึ้งได้หรือ&r
ในชั่วพริบตาที่หวงเซียนเล่อใช้ผ้าคลุมกัวรั่วชิง แล้วรีบออกจากศาลาแปดเหลี่ยมไป เว่ยอ๋องก็พา เหยาหลิงเจินออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว บัดนี้เหลือเพียงความโกลาหลที่ยังคงอยู่ในศาลาแห่งนั้นซูหมิ่นจูและหวังหลิงกรีดร้องไม่หยุดหย่อน พวกนางใช้มือปัดป้องฝูงผึ้งที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าและลำตัวอย่างบ้าคลั่ง อาภรณ์ที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของพวกนางดูราวกับดึงดูดผึ้งฝูงนี้ไว้โดยเฉพาะซูหมิ่นจูพยายามวิ่งหนีไปอีกทางโดยไม่คิดถึงผู้ใด และในจังหวะนั้นหวังหลิงก็พยายามจะหลบหลีกไปอีกทางเช่นกันร่างของสตรีทั้งสองจึงชนกันอย่างจัง“ปล่อยนะ! ขวางทางข้าทำไม” ซูหมิ่นจูตวาดใส่หวังหลิงด้วยความโกรธจัดและหวาดกลัว ไม่สนใจแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าคือใคร นางใช้ศอกกระแทกหวังหลิงอย่างแรงเพื่อเปิดทางวิ่งหนี“โอ๊ย! เจ้าบังอาจชนข้างั้นเหรอ” หวังหลิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากการถูกกระแทกและรอยผึ้งต่อย ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธและความทรมาน พวกนางไม่เหลือเค้าความเป็นกุลสตรีอีกต่อไปแล้ว ทั้งสองต่างผลักและเบียดเสียดกันราวกับสัตว์ที่กำลังหนีตาย ทำให้การเคลื
“น่าอิจฉาที่สุดหรือเพคะ…” เหยาหลิงเจินเอียงคอเล็กน้อย นางคิดอย่างจริงจัง “อ๋อ ข้ารู้แล้ว ท่านอ๋องจะต้องมีขนมหวานเลิศรสให้เสวยได้ตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใครเลยใช่หรือไม่เพคะ”คำตอบที่ไร้เดียงสาและน่ารักของนาง ทำให้มู่หย่งฉีก็หัวเราะเสียงดังด้วยความถูกใจหากเป็นตรีอื่นคงตอบว่าเข้าทั้งสูงส่ง และร่ำรวยมั่งคัง แต่เหยาหลิงเจินกลับคิดถึงแต่เรื่องของกิน นางช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่มีเล่ห์กลให้เขาต้องหวาดระแวงยามอยู่ใกล้เลยแม้สักครั้ง“ใช่แล้ว ข้าเป็นท่านอ๋องจะกินอะไรก็ได้ ไม่โดนดุเหมือนใครบางคน”“ท่านช่างน่าอิจฉาจริงๆ เจินเอ๋อร์ก็อยากทำอย่างนั้นเหมือนกัน”“เจ้าอยากทำแบบนั้นจริงๆ น่ะหรือ” มู่หย่งฉีมองเหยาหลิงเจินด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ไม่อยากหรอก ข้าน่ะช่วยเจ้าได้”เหยาหลิงเจินทำตาโต “ท่านอ๋องจะช่วยข้าอย่างไร”“ก็แค่เจ้าแต่ง...”ทว่าพูดยังไม่ทันจบเหลิงเจินก็ลุกขึ้นพรวดพราด แล้วเอ่ยเสียเบา“ขะ...ข้าปวดฉี่”สิ้นคำของเหยาหลิงเจิน กัวรั่วชิงพลันยกมือปิดปาก แต่ร่างบางก็สั่นด้วยกลั้นขำอย่างเต็มที่
เหยาหลิงเจินไม่ลังเลอีกต่อไป นางทำทีเป็นว่าวิ่งเล่นอย่างร่าเริงอยู่ใกล้ประตูทางเข้ากระโจมจัดแสดงผีเสื้อ พลันนางก็สะดุดล้มเล็กน้อยโดยจงใจ ทำให้ประตูม่านกระโจมเปิดออก และมีผีเสื้อสวยงามสีสันสดใสจำนวนหนึ่งบินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว“แย่แล้ว! ผีเสื้อหนีไปแล้ว” เหยาหลิงเจินร้องอย่างตื่นตกใจ นางแสร้งทำเป็นวิ่งไล่ผีเสื้อที่บินหนีออกไปทางที่หวังหลิง และซูหมิ่นจูยืนอยู่นางวิ่งผ่านหวังหลิงแล้วก็ย้อนกลับมาวิ่งล้อมหน้าล้อมหลัง ราวกับจะจับผีเสื้อที่บินวนเวียนอยู่แถวๆ ซูหมิ่นจู นางสลับไปมาอย่างรวดเร็วและดูวุ่นวาย พอได้จังหวะเหมาะก็แอบโรยผงแป้งล่อผึ้งเข้มข้นลงไปที่บริเวณเสื้อผ้าของหวังหลิง และซูหมิ่นจูอย่างแนบเนียนความวุ่นวายนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนทันที มู่หยงฉีที่กำลังพูดคุยอยู่กับหวงเซียนเล่อพลันหันมาเห็นเหตุการณ์ เหยาหลิงเจินมีท่าทีลุกลี้ลุกลนเพราะผีเสื้อหลุดจากกระโจม ท่านอ๋องจึงรีบเข้ามาช่วยแม่นางน้อยคนโปรดของเขาจับผีเสื้อกลับไปอย่างรวดเร็ว โดยมีหวงเซียนเล่อ หูจวี๋ และองครักษ์ที่ติดตามเว่ยอ๋องมาช่วยด้วยอีกแรงในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจการจั
กัวรั่วชิงมองเหยาหลิงเจินที่วิ่งเล่นอยู่ในกระโจมจัดแสดงผีเสื้ออย่างสนุกสนาน พลางคิดแผนการเอาคืนหวังหลิงกับซูหมิ่นจูที่บังอาจใช้เล่ห์กลที่อันตรายนี้กับตนขณะเดียวกัน หวงเซียนเล่อที่ยืนรออยู่ด้านนอกกระโจมกับญาติผู้น้องสองคน ซูหมิ่นจูทำท่าทีเหมือนแค่เหนื่อยล้า และพยายามอธิบายกับเขาว่าเป็นกัวรั่วชิงเข้าใจนางผิดอีกแล้ว“พี่เชียนเล่อ ข้าไม่ได้รังเกียจพี่รั่วชิงเลยนะเจ้าคะ”“ข้ารู้ เจ้าคงยังประหม่าอยู่ เอาไว้ข้าจะอธิบายให้นางเข้าใจเอง เจ้าไม่ต้องกังวลไป” หวงเชียนเล่อปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทันใดนั้นเอง สายตาของแม่ทัพหนุ่มก็มองไปที่เว่ยอ๋อง มู่หยงฉีกำลังก้าวเข้ามาในงาน“เว่ยอ๋องมาแล้ว” หวงเซียนเล่อเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาหันมามองซูหมิ่นจู แล้วเอ่ยว่า “จูเอ๋อร์ พี่ชายต้องไปทักทายท่านอ๋อง เจ้ารออยู่ตรงนี้สักครู่นะ”“พี่เชียนเล่อจะทิ้งให้จูเอ๋อร์ไว้คนเดียวหรือเจ้าคะ”เขาเห็นหวังหลิงยืนอยู่ไม่ไกล เห็นว่าเมื่อครู่ยังดูเป็นห่วงเป็นใยกัน น่าจะเป็นสหายได้ไม่ยาก เขาจึงพาซูหมิ่นจูเด
การกระทำของกัวรั่วชิงกับเหยาหลิงเจิน ทำเอาหวังหลิงซึ่งยืนรอชมความหายนะของกัวรั่วชิงอยู่ไม่ไกล และกำลังมองดูเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้แผนของนางพังได้อยู่นี้ รีบปรี่เข้ามาขัดขวางพวกนางอย่างโง่ๆ ทันที“ไม่... ไม่ได้นะ!” หวังหลิงเอ่ยเสียงดังอย่างร้อนรนและไม่ทันคิด “ห้ามเปลี่ยนนะ พวกเจ้าห้ามแลกถุงหอมกัน”กัวรั่วชิงหันไปมองหวังหลิงด้วยสายตาใสซื่อราวกับไม่เข้าใจ หวงเซียนเล่อเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยในน้ำเสียงและท่าทางของนาง“คุณหนูหวัง” กัวรั่วชิงเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มที่เคลือบน้ำผึ้ง “ทำไมจะเปลี่ยนไม่ได้เล่า ของชำร่วยก็แจกให้แล้ว ข้าจะทำอย่างไรกับมันก็ได้มิใช่หรือ”หวังหลิงไม่ใช่คนหัวไวจะรับมือกับสถานการณ์กะทันหันเช่นนี้ได้ที่ไหน นางได้แต่ทำท่าอึกอัก ใบหน้าเริ่มซีดเผือด เพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่าถุงหอมสีชมพูนั้นคืออาวุธที่ต้องอยู่กับตัวกัวรั่วชิงเท่านั้น นางจึงทำได้เพียงเม้มปากและส่ายหน้าไปมาอย่างไม่มีเหตุผลทันใดนั้นซูหมิ่นจูที่ยืนอยู่ด้านหลังหวงเซียนเล่ออย่างสงบเสงี่ยมมาตั้งแต่ต้น ก็