เป็นมัทรีที่ตื่นขึ้นมาก่อนชายหนุ่มอีกครั้ง น่าแปลกที่เขายังกอดเธออยู่ แต่เมื่อรู้สึกตัวแล้วจะให้นอนแบบนี้ต่อเธอก็กระดากใจ ร่างบางค่อยๆ ขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นซึ่งชายหนุ่มก็รับรู้ในทันที“ตื่นแล้วเหรอ”เสียงทุ้มแหบสะลึมสะลือแทบไม่ได้ยิน“ค่ะ”หญิงสาวตอบเสียงเบาดูเจียมเนื้อเจียมตัวมากกว่าปกติแขนกำยำคลายออกแต่โดยดี ร่างสูงใหญ่พลิกไปอีกทาง ไม่ขัดเคืองหรือหงุดหงิดใดๆมัทรีมองตามอีกฝ่ายก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าชายหนุ่มยังไม่สบายอยู่หน่อยๆ จึงค่อยๆ ยื่นมือไปแตะหน้าผากเขาเบาๆ อย่างหวั่นๆ หากชายหนุ่มก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัวไม่ร้อนแล้วก็พยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจแล้วลงจากเตียงไปคนที่เพิ่งถูกแตะหน้าผากวัดไข้ลืมตาขึ้นเหลือบมองตามแผ่นหลังบางที่ไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงเหมือนเดิมทว่ามุมปากยกยิ้มขึ้น“ไปเที่ยวแบบกางเต็นท์นอนงั้นเหรอ”ใบหน้าคมหล่อเหลาพยักขึ้นลงเมื่อซินดี้ถามขึ้นขณะทานมื้อเช้าด้วยกันไม่ใช่เพียงแค่สาวหุ่นนางแบบที่แปลกใจ มัทรีเองก็ไม่รู้มาก่อนเช่นกันว่าฐิติกรอยากไปนอนเต็นท์ ไหนว่าเรื่องเที่ยวเขาให้เธอเป็นคนจัดการไม่ใช่หรือ“เราจะไปที่ไหนกันนะมัท”
เย็นวันนั้นพวกเขาออกไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารขึ้นชื่อไม่ไกลจากที่พักนัก ฐิติกรตั้งใจแสดงออกเพื่อให้ซินดี้เห็นว่าเขาเบนความสนใจมาที่มัทรีแล้ว ทั้งตักกับข้าวให้และชวนพูดคุยเรื่องสถานที่เที่ยวตลอดเวลา แม้ว่าซินดี้จะยึดที่นั่งข้างชายหนุ่มไปก็ตามและแน่นอนว่ามัทรีได้รับสายตาจิกกัดจากซินดี้บ่อยครั้ง หญิงสาวแทบจะถอนหายใจออกมา แต่ก็ระงับจิตใจตัวเองเอาไว้ สิ่งที่แสดงออกไปคือยิ้มหวานให้ฐิติกร สลับกับมองตอบสาวสวยหุ่นนางแบบด้วยแววตาที่บอกว่าตนเองเหนือชั้นกว่า‘เอาเถอะ คุณทิมรับปากแล้วนี่นา เขาคงไม่ปล่อยให้ซินดี้ตบฉันข้ามโต๊ะหรอกมั้ง’หญิงสาวคิดในใจเมื่อท่าทางของซินดี้ดูเหมือนพร้อมตบทันทีที่ชายหนุ่มหันหลังให้อย่างไรอย่างนั้น จะว่าไปแล้วมันก็น่าโกรธอยู่หรอก หากเธอเป็นซินดี้ก็คงโมโหเหมือนกัน ควงกันมาดีๆ เจอผู้หญิงอีกคนแค่ไม่กี่วันก็เขี่ยกันทิ้งเสียแล้วเพราะไม่อยากเปิดโอกาสให้ซินดี้ทำอะไรหรือพูดอะไรแปลกๆ กับตัวเองมัทรีจึงเกาะติดฐิติกรเข้าไว้ ไม่ยอมแม้แต่แยกตัวไปเข้าห้องน้ำ กระทั่งนั่งรถตู้กลับยังนั่งติดกับชายหนุ่ม เมื่อกลับมาถึงบ้านพักก็รีบหยิบเสื้อผ้าตรงเข้าห้องน้ำทันที“ฉันขอเข้าห้องน้ำแล้วก็อาบน้
‘มันตลกร้ายอะไรกัน’ความคิดมัทรีวุ่นวายไปหมด เธอไม่อาจใช้สมองได้อย่างเต็มที่ในเวลาที่กลีบปากอิ่มถูกเบียดไล้ไปมาทั้งยังดูดกลืนอย่างเร้าใจเช่นนี้ ฐิติกรจูบเธออย่างโหดร้าย ไม่ได้สนใจเลยว่าเธอนั้นอ่อนหัดแค่ไหน มัทรีไม่มีทางรับมือกับจูบดื่มด่ำสุดจิตสุดใจจากอีกฝ่ายได้นาน หากเขาก็ยังรุกไล่รุนแรงไม่ลดละ หลังจากเล็มกลีบปากเธอจนถ้วนทั่วทุกมุมแล้วชายหนุ่มยังหาทางดุนดันส่งลิ้นเข้ามาด้านในอีกด้วย“อื้อ...”มัทรีพยายามครางขัดขวางเขาพร้อมส่ายหน้าไปมา ร่างเธอถูกยกให้แนบกายกับร่างสูงใหญ่ เธอได้ยินเสียงเปิดประตู รู้ตัวอีกทีก็ถูกพาเข้ามาในบ้านพักแล้วชายหนุ่มวางร่างเล็กชิดกำแพงแล้วปิดประตูก่อนจะผละจูบออกมา ทว่ายังไม่ปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระโดยสมบูรณ์“คุณทำแบบนี้ทำไม”มือบางผลักอกกว้างอย่างแรง ทว่าฐิติกรแทบจะไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด“มันเรื่องอะไรกัน อยู่ๆ คุณมาจูบฉันทำไม”“บอกแล้วนี่ว่าผมจะจ่ายเพิ่มให้”คำพูดนี้พร้อมสีหน้าสุดเย็นชาของคนตรงหน้าทำเอามัทรีถึงกับอ้าปากค้าง ตาร้อน หน้าร้อน หัวร้อนพุ่งปรี๊ดขึ้นมาเลยทีเดียว“นี่คุณเห็นฉันเป็นอะไร ฉันมาเป็นล่ามให้คุณนะ ไม่ใช่มาขายตัวที่พอเงินมาผ้าก็หลุดง่ายๆ น่ะ”
เสียงนกแว่วเข้ามาให้ได้ยินก่อนจะมีเสียงมือถือที่ตั้งปลุกไว้ทำให้จำต้องพลิกตัวควานหาที่โต๊ะข้างหัวเตียง แม้แทบไม่อยากขยับตัวให้พ้นจากความอบอุ่นในเวลานี้ เมื่อปิดเสียงเรียบร้อยร่างบางก็พลิกกลับมาวาดแขนขาเกาะเกี่ยวสิ่งที่ให้ความอุ่นเมื่อครู่ ทว่าผิวสัมผัสแข็งแกร่งที่รู้สึกได้ทำให้นึกขึ้นมาได้มัทรีสะดุ้งลุกขึ้นนั่งในทันใด มองคนข้างกายตาโตกลัวว่าเขาจะรู้สึกตัวและรู้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไป แต่ชายหนุ่มยังนอนนิ่งจึงค่อยถอนหายใจโล่งอกเบาๆ เธอจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจวางหลังมือลงเบาๆ บนหน้าผากกว้าง อยากรู้ว่าไข้ชายหนุ่มลดลงหรือยัง“ดีขึ้นเยอะเลยนี่”เธอพูดกับตัวเองเบาๆ เมื่อฐิติกรตัวไม่ร้อนจัดอีกแล้ว ร่างบางขยับห่างออกมาเบาๆ แล้วห่มผ้าให้อีกฝ่ายอย่างดีก่อนจะไปเข้าห้องน้ำ ครูหนึ่งจึงกลับออกมาหลังล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เห็นชายหนุ่มหลับอยู่เช่นเดิมก็คิดว่าปล่อยให้เขาหลับให้เต็มอิ่มไปดีกว่า ส่วนตนเองออกไปด้านนอกหน้าบ้านพักพระอาทิตย์กำลังเริ่มสาดแสงแรกของวันเบื้องหลังหมอกหนา แววระยิบระยับไล่จับบนปลายยอดใบชาที่มีน้ำค้างเกาะ ดูอบอุ่นผิดกับอากาศในยามเช้า มัทรียิ้มพอใจกับความงดงามเบื้องหน้
“คุณเอาผ้าห่มมาหน่อย ผมหนาว”ฐิติกรไม่ได้อธิบายเรื่องระหว่างตนเองกับซินดี้ต่อ แต่ออกคำสั่งจนมัทรีอดเคืองไม่ได้ ทว่าก็ยอมเดินกลับไปหยิบผ้าห่มที่ตนทำหล่นไว้หน้าประตูมาส่งให้เขา เมื่อชายหนุ่มเพียงแค่มองเฉยๆ ไม่แม้แต่จะขยับมือมารับเธอจึงถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ทว่าก็ยอมห่มให้ร่างสูงใหญ่อย่างกระแทกกระทั้นเพราะเห็นชัดว่าเขาไม่สบายจริงๆ หากยังไม่วายบ่นเบาๆ ให้ชายหนุ่มได้ยิน“หนาวเป็นอยู่คนเดียวหรือไง”“หรือคุณจะมานอนห่มผ้าด้วยกันผมก็ไม่ว่าอะไรนะ”คนป่วยพูดเสียงพร่าทั้งที่หลับตาลงไปแล้วหญิงสาวชะโงกหน้าไปมองก่อนจะเม้มปาก ชูกำปั้นเหมือนจะทุบอีกฝ่ายด้วยความเคืองที่เขากวนโมโห แต่ก็ไม่ได้ทำจริงๆ ร่างบางกลับไปค้นหาเสื้อตัวหนาของตนมาใส่เพิ่ม พร้อมกับหายาที่ยังพอมีติดอยู่ด้วยมาให้ชายหนุ่ม“คุณกินยาไหม พอดีฉันติดมาด้วย”คนที่นอนบนเตียงส่ายหน้าโดยไม่ลืมตาด้วยซ้ำมัทรีเบะปาก หากก็ไม่ได้เซ้าซี้ ในเมื่อเขาโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ บังคับให้กินก็คงไม่ได้“ตามใจ”เธอเลือกวางยากับน้ำที่ไม่ได้แช่ตู้เย็นเพราะอากาศหนาว และเธอก็เพิ่งหายป่วยจึงคิดว่ากินน้ำธรรมดาดีกว่าไว้ที่โต๊ะหัวเตียง เผื่อชายหนุ่มจะนึกอยากกินขึ้นมา“ยาไ
‘เจ้านายสั่งว่า สองวันแล้ว เขายังสบายดี ให้คุณเตรียมตัวพรีเซนต์ทริปเที่ยวของคุณในวันพรุ่งนี้หลังอาหารเช้าที่ห้องสมุด’เป็นมาร์คที่มาบอกกับเธอในช่วงเย็น ขณะที่มัทรีเดินเล่นรอบๆ บ้านของฐิติกร ด้วยที่นี่ก็มีสวนดอกไม้สวยๆ ให้ดูเพื่อจรรโลงใจอยู่เช่นกันหญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับด้วยความท้อแท้ใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายหนุ่มยังอยู่ดีมีสุข ไม่เจ็บไข้เลยสักนิด‘คนอะไร แข็งแรงอย่างกับโคถึก’มัทรีแอบค่อนขอดในใจนับวันเธอก็ยิ่งไม่อยากมองหน้าของฐิติกรมากขึ้น ทุกอย่างล้วนเพราะการกระทำของเธอเองทั้งนั้น ได้แต่ต้องแบกหน้ายอมรับความอับอายเวลาต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และเช้าวันต่อมาหลังก้มหน้าก้มตาอ่านงานของตัวเองในไฟล์งานที่ยังเก็บเอาไว้ในโน้ตบุ๊กให้ฐิติกรฟังจนจบ มัทรีก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความเหวอระคนแปลกใจเพราะคำพูดของอีกฝ่าย“ไปแม่ฮ่องสอน ก่อนเที่ยงนี้”“หา??”“เก็บของของคุณเลยก็ได้ เราจะไปอยู่ที่นั่นสักพัก ยังไม่มีกำหนดกลับ”หญิงสาวอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องถามอะไรเขา“เดี๋ยวก่อนสิ ยังไม่ได้จองที่พัก ดูตั๋วเลย คุณจะไปพักท