‘ข้าชื่อ เยว่ซิน’
สิ้นประโยคแนะนำตัวนั้น สีหน้าของเซียนหนุ่มกลับนิ่งเฉย จนคาดเดาได้ยากว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัว เยว่ซินที่ตั้งตารอฟังจึงยิ่งรู้สึกอึดอัด ราวกับพื้นที่รอบตัวถูกบีบอัดให้เหลืออากาศหายใจน้อยลงไปทุกที “ข้าขอสาบานต่อฟ้าดินบนสวรรค์แห่งนี้ สิ่งที่ข้าพูดไปเป็นความจริงทุกประการ ข้าเองก็ไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไร หากท่านไม่เชื่อล่ะก็….” หญิงสาวยังสาธยายไม่ทันจะจบดี เซียนหนุ่มก็พูดสวนขึ้นมาว่า “ข้าเชื่อเจ้า!” “หา! ท่านเชื่อแล้วเหรอ” เยว่ซินยิ้มดีใจ นึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมเชื่อง่ายดายเช่นนี้ “อืม” เซียนหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อว่า “ถ้าเจ้าไม่มีที่ไป งั้นก็ตามข้ากลับตำหนักก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน” “กลับไปอยู่กับท่าน.… ตามลำพังเหรอ” เยว่ซินกลอกตามองกระบี่เขาด้วยความระแวง “ข้าไม่เชือดเจ้าทิ้งหรอก แล้วที่นั่นก็ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว ยังมีเซียนสตรีอีกมากอาศัยอยู่ด้วย พวกนางจะช่วยดูแลเจ้าได้” “พวกนาง?” เยว่ซินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอ “ได้สิ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้าแล้วยังให้ที่พักอีก บุญคุณครั้งนี้ข้าจะต้องตอบแทนท่านแน่” “ไม่ล่ะ! อย่างเจ้าจะตอบแทนอะไรข้าได้ ต่อไปแค่อย่าทำตัวเป็นภาระ กินนอนอยู่ในที่ตัวเองไม่เกะกะรกหูรกตาข้าเป็นพอ” พูดจบเซียนหนุ่มก็หมุนตัวเดินนำไปทันที “เอ่อ.… ได้สิ” เยว่ซินตอบหน้าเหวอๆ คิดไม่ถึงว่าเซียนหนุ่มหน้าตาราวเทพบุตรจะปากคอร้ายกาจถึงเพียงนี้ คำพูดเมื่อครู่ของเขามันช่างน่ากระโดดเตะปากยิ่งนัก.... แต่เพราะสถานการณ์คับขันไร้หนทางเลือก นางจึงทำได้แค่ข่มใจลงและเดินตามเขาไปเงียบๆ ทั้งคู่เดินเท้าไปตามทางอยู่พักใหญ่ กระทั่งขอบฟ้าเริ่มเปล่งแสงสีส้มอ่อนบอกเวลาใกล้เย็นย่ำ ตลอดเส้นทาง เยว่ซินเลือกเว้นระยะห่างให้ไกลจากเขาหน่อย แต่จู่ๆ คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้าลงและหันกลับมากวักมือเรียก “เจ้าน่ะ! มานี่” “ท่านมีอะไรเหรอ” เยว่ซินรีบเดินเข้าไปหา แต่เขากลับไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก จนนางนึกว่าเขาไม่พอใจที่ตนเดินช้า จึงรีบเปิดปากแก้ตัวพัลวัน “ข้าเดินช้าไปใช่ไหม คือว่าข้า…. ว้าย!” เยว่ซินร้องตกใจเมื่อถูกเขาดึงเข้าไปในอ้อมแขน ส่วนต่างของความสูงที่ไม่พอดีกัน ทำให้ศีรษะของนางซบอยู่บนอกเขาพอดิบพอดี จนดูเหมือนเขากำลังประคองกอดนางอยู่ “ท่านจะทำอะไรน่ะ!” หญิงสาวเงยหน้าถาม พลางใช้สองมือยันอกเขาไว้หมายจะผลักออก “ข้าจะกลับตำหนัก ถ้าเจ้ายังอยากมีลมหายใจก็จงนิ่ง” คำตอบห้วนสั้นที่ฟังดูไม่ลื่นหูนั้น ทำเอาความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดเริ่มหมดลง แม้ก่อนหน้านี้เยว่ซินจะไม่ถือสาเพราะเห็นแก่ที่เขามีบุญคุณ แต่ถ้าปากแบบนี้นางก็ชักจะไม่ไหวเหมือนกัน “ข้าเดาว่าท่านไม่น่าจะแก่ตาย…. กรี๊ดดดด!” เยว่ซินไม่มีโอกาสได้ด่าจนจบประโยค คำพูดของนางถูกกลบด้วยเสียงหวีดร้องของตัวเอง เหตุเพราะถูกเซียนหนุ่มพาพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าราวกับยิงจรวด ระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นจากพื้นอย่างฉับพลัน เล่นเอานางตกใจแหกปากร้องลั่นจนคอแหบแห้ง “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เซียนหนุ่มก้มหน้ามาถามคนในอ้อมแขน ขณะลอยตัวอยู่บนฟ้าได้ระดับที่พอใจแล้ว “ปะ เปล่า” เยว่ซินสั่นหัวดิก นึกขอบคุณสวรรค์ที่เขาไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายเมื่อครู่ ยามนี้สองมือที่เคยตั้งท่าจะผลักเขาออก ถูกเปลี่ยนเป็นกอดรัดรอบเอวเขาแน่นราวกับเป็นของล้ำค่า เพราะหากตกลงไปด้วยความสูงระดับนี้…. แม้แต่กระดูกก็คงแหลกละเอียด! ตอนนี้นางไม่รับรู้แล้วว่าความเหมาะสมคืออะไร รู้แค่ว่าถ้าหลุดออกไปจากวงแขนเขา คำว่ารักนวลสงวนตัวก็ไม่อาจช่วยให้รอดตายได้.... “ทะ ท่าน จะทำอะไร” หญิงสาวถามเสียงสั่น “กลับตำหนักไง เจ้าไม่เห็นหรือว่าฟ้าใกล้มืดแล้ว ขืนเดินช้าเป็นเต่าแบบเจ้าไปเรื่อยๆ จะถึงยามใด” เซียนหนุ่มบ่นอธิบาย ก่อนจะเริ่มสัมผัสได้ว่า คนในอ้อมแขนตัวสั่นปานลูกนกแรกเกิด จึงก้มหน้าถามว่า “เจ้ากลัวความสูงรึ?” “นะ นิดหน่อย เราเดินไปได้ไหม ข้าจะเดินเร็วขึ้น” เยว่ซินเอ่ยต่อรองเสียงอู้อี้ มัวแต่หลับตาปี๋ซุกหน้าเข้าแผงอกเขา ไม่กล้ามองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง “เหาะไปนี่แหละ! ข้าขี้เกียจรอเจ้าเดิน” เซียนหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง จากนั้นก็พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม โดยไร้ซึ่งคำปลอบโยนใดๆ ทั้งสิ้น แรงกระชากจากการออกตัวและสายลมที่ตีแสกผิวกายนั้น ทำเอาเยว่ซินท้องไส้ปั่นป่วน เหมือนกำลังถูกเหวี่ยงไปมาในอากาศ นางไม่อาจทนสงบใจได้จึงเริ่มแหกปากร้องอีกครั้ง และคราวนี้นอกจากใช้สองแขนกอดเอวเขาแน่นแล้ว นางยังใช้สองขาตวัดรัดตัวเขาไว้อีกต่างหาก ถึงกระนั้น เซียนหนุ่มปากร้ายก็ไม่ถือสาหาความหญิงสาว เขาปล่อยให้คนขี้กลัวกอดรัดได้ตามใจ ซ้ำยังช่วยโอบประคองร่างเล็กสั่นเทานั้นไว้โดยไม่ปริปากบ่นสักคำ แม้นางจะส่งเสียงร้องน่าหนวกหูมากก็ตาม.... ทั้งสองเหาะผ่านกลุ่มก้อนเมฆขาวที่ทอดยาวเต็มฟ้า ไม่นานก็มาหยุดลงที่หน้าตำหนักโอ่อ่าแห่งหนึ่ง แต่เยว่ซินซึ่งกำลังหลับตาปี๋กลับไม่รู้ตัว และยังคงกอดเซียนหนุ่มไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนเขาต้องพูดเรียกให้นางได้สติ “ลืมตา! ปล่อยข้าได้แล้ว” เยว่ซินแง้มเปลือกตามองตามคำบอกนั้น พอเห็นเท้าตัวเองยืนอยู่บนพื้นได้มั่นคงแล้ว นางจึงรีบกระโดดผลุงจนตัวลอยด้วยความดีใจ สองมือบางเผลอผลักอกเซียนหนุ่มออกโดยไม่ตั้งใจ ทำเอาเขาเซไปด้านหลังเล็กน้อย “เฮ้อ! ค่อยโล่งหน่อย ข้าอึดอัดมาตั้งนาน” หญิงสาวยิ้มร่า ยังคงไม่รู้ตัวว่าออกแรงใส่เขามากไปหน่อย ฝ่ายเซียนหนุ่มก็ทำเมินไม่พูดจา เขาทั้งนึกหมั่นไส้และหงุดหงิดท่าทางลิงโลดของหญิงสาวอยู่ในที เมื่อครู่นางยังทำเป็นตัวสั่นกอดเขาแน่นปานงูรัดเหยื่อแท้ๆ แต่พอเท้าแตะพื้นไม่ทันไรกลับมีแรงผลักเขาจนเกือบหน้าคะมำ จะพูดขอบคุณสักคำก็ไม่มี ทั้งที่เขาอุตส่าห์อดทนดูแลนางมาตลอดทาง นางช่างดีเหลือเกิน... รู้จักใช้มารยาหญิงล่อหลอกให้บุรุษเปลืองตัว! พอหมดประโยชน์ก็ผลักไส! “หึ!” เซียนหนุ่มเหยียดยิ้มให้กับความคิดในหัว ก่อนจะหมุนตัวเข้าตำหนักไปหาผู้ดูแลคนสนิทที่รออยู่ด้านใน “อ้าว! รอข้าด้วยสิ” เยว่ซินหันมาร้องเรียก นางรีบวิ่งเหยาะๆ ตามเขาไปบนทางเดินที่ถูกโรยด้วยหินผลึกใสสะอาดตา รอบบริเวณเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสที่ถูกตกแต่งมาอย่างดี ตลอดทางเข้าตำหนักตั้งแต่ซุ้มประตูทอดยาวมาจนถึงเรือนด้านหน้า เยว่ซินมีความรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นมันมาก่อน นางนึกอยู่นานจนสุดท้ายก็คิดได้ว่ามันคล้ายตำหนักอี้เฉินในซีรีส์เรื่อง ‘ชะตารักจอมราชัน’ ตำหนักอี้เฉิน คือที่พำนักของท่านเทพสงครามอวี้หยาง.... ผู้มีบทบาทเป็นตัวร้ายก่อกบฏในพิภพสวรรค์! “เอ่อ ท่านเป็นคนสนิทเจ้าของตำหนักนี้เหรอ” เยว่ซินส่งเสียงถามคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า และแน่นอนว่าผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม…. เขาไม่ตอบ.... ‘เวรล่ะสิ! ถ้ามาอยู่ในตำหนักตัวร้าย ชีวิตจบไม่สวยแน่!’ เยว่ซินร้องครวญครางในใจ คาดไม่ถึงว่าจะเดินผิดพลาดตั้งแต่ก้าวแรกที่เลือก ซึ่งถ้ายึดตามเนื้อเรื่องเดิมของซีรีส์ อวี้หยางผู้เหี้ยมโหดจะก่อกบฏจนเกิดสงคราม ท้ายที่สุดชีวิตเขาจบลงด้วยความตายและถูกสลายกระดูกเซียน!‘เวรล่ะสิ! ถ้ามาอยู่ในตำหนักตัวร้าย ชีวิตจบไม่สวยแน่!’เยว่ซินร้องครวญครางในใจ คาดไม่ถึงว่าจะเดินผิดพลาดตั้งแต่ก้าวแรกที่เลือก ซึ่งถ้ายึดตามเนื้อเรื่องเดิมของซีรีส์ อวี้หยางผู้เหี้ยมโหดจะก่อกบฏจนเกิดสงคราม ท้ายที่สุดชีวิตเขาจบลงด้วยความตายและถูกสลายกระดูกเซียนนางเดาว่าเซียนหนุ่มคนนี้ คงเป็นคนสนิทของอวี้หยางแน่ เพราะตลอดทางตั้งแต่เดินเข้ามา เซียนรับใช้ทุกคนล้วนดูเคารพยำเกรงเขากันทั้งนั้น....‘เป็นใหญ่ในฝั่งตัวร้ายนี่เอง มิน่าปากคอถึงร้ายกาจนัก!’หญิงสาวนึกค่อนแคะเอาคืนเขาในใจ และเพราะนางมัวหมกมุ่นอยู่กับความคิดในหัว จึงไม่รู้ตัวว่าเดินตามเขามาถึงไหนแล้ว กระทั่งเสียงดุเข้มของเซียนหนุ่มดังขึ้น“เดินอะไรของเจ้า! มีลูกตาก็หัดใช้บ้าง!”เยว่ซินเหลือบมองเห็นว่ากำลังจะเดินชนเขาจริงๆจึงรีบกระเด้งตัวถอยห่างออกมาตอนนี้นางพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในเรือนรับรองแห่งหนึ่ง เบื้องหน้ามีเซียนสตรีร่างเล็กยืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว...“ครั้งนี้ท่านไปนานเลยนะเจ้าคะ” สตรีนางนั้นเดินเข้ามาทักทายเซียนหนุ่มด้วยท่าทีอ่อนน้อม“อืม ก็วุ่นวายอยู่พอดู” เซียนหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วถามกลับว่า “ท่านพี่อยู่หรือไม่”“อยู่เ
‘ข้าชื่อ เยว่ซิน’สิ้นประโยคแนะนำตัวนั้น สีหน้าของเซียนหนุ่มกลับนิ่งเฉย จนคาดเดาได้ยากว่าเขาคิดอะไรอยู่ในหัวเยว่ซินที่ตั้งตารอฟังจึงยิ่งรู้สึกอึดอัด ราวกับพื้นที่รอบตัวถูกบีบอัดให้เหลืออากาศหายใจน้อยลงไปทุกที“ข้าขอสาบานต่อฟ้าดินบนสวรรค์แห่งนี้ สิ่งที่ข้าพูดไปเป็นความจริงทุกประการ ข้าเองก็ไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไร หากท่านไม่เชื่อล่ะก็….”หญิงสาวยังสาธยายไม่ทันจะจบดี เซียนหนุ่มก็พูดสวนขึ้นมาว่า “ข้าเชื่อเจ้า!”“หา! ท่านเชื่อแล้วเหรอ” เยว่ซินยิ้มดีใจ นึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมเชื่อง่ายดายเช่นนี้“อืม” เซียนหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อว่า “ถ้าเจ้าไม่มีที่ไป งั้นก็ตามข้ากลับตำหนักก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน”“กลับไปอยู่กับท่าน.… ตามลำพังเหรอ” เยว่ซินกลอกตามองกระบี่เขาด้วยความระแวง“ข้าไม่เชือดเจ้าทิ้งหรอก แล้วที่นั่นก็ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว ยังมีเซียนสตรีอีกมากอาศัยอยู่ด้วย พวกนางจะช่วยดูแลเจ้าได้”“พวกนาง?” เยว่ซินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจยอมรับข้อเสนอ “ได้สิ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้าแล้วยังให้ที่พักอีก บุญคุณครั้งนี้ข้าจะต้องตอบแทนท่านแน่”“ไม่ล่ะ! อย่างเจ้าจะตอบแทนอะไรข้าได้ ต่อไปแ
“เจ้ามาจากที่ไหน เหตุใดถึงมาอยู่ในแดนบำเพ็ญเซียนใต้เขตพิภพสวรรค์” คำพูดจากปากเขา ทำเอาณจันทร์สมองขาวโพลนจนหูอื้อเลยทีเดียว ทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบสงัดลงทันใด ณจันทร์เริ่มทำใจยอมรับแล้วว่าตัวเองคงทะลุมิติมาอยู่ในซีรีส์เรื่อง ‘ชะตารักจอมราชัน’ จริงๆ และเพราะความตกใจก่อนหน้าเธอจึงไม่เคยสังเกตเลยว่าพวกเขากำลังพูดภาษาจีนอยู่ จวบจนมาตั้งสติฟังเขาอีกครั้งในตอนนี้ นับเป็นโชคดีที่เธอทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับทัวร์จีน จึงเข้าใจทั้งภาษาและวัฒนธรรมชาวจีนอย่างลึกซึ้ง สามารถสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวก็ซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายออกไป เธอไม่รู้จะตอบคำถามเขาเช่นไร ได้แต่ยืนอ้ำอึ้งอยู่นานกระทั่งอีกฝ่ายต้องเอ่ยถามย้ำอีกรอบ “เจ้ามาจากไหน ได้ยินข้าหรือไม่?” “ได้ยินแล้ว… คือ… ข้า..” ณจันทร์พูดตะกุกตะกัก จ้องหน้าเขาไปพลางใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง และในช่วงเวลานี้เอง เธอจึงเริ่มสังเกตชายตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนเป็นครั้งแรก…. ภายใต้เนื้อตัวมอมแมมที่เปรอะเปื้อนคราบดินและรอยเลือดนั้น เห็นได้ชัดว่าผิวพรรณเขาผุดผ่องเกลี้ยงเกลา โครงหน้าหล่อเหลานั้นมีเสน่ห์ได้สัดส่วน ราวกับรูปปั้นที่เทพเจ้
ชิ้งงง! ชิ้งงง! ฟึ่บบบ! เสียงกึกก้องกังวานคล้ายเหล็กกระทบกันดังขึ้นเป็นจังหวะ สลับกับเสียงฝีเท้าของผู้คนดังวนอยู่ไม่ไกล ทำให้หญิงสาวที่กำลังนอนหลับใหล ต้องจำใจตื่นขึ้นมาดูความอึกทึกครึกโครมนี้ ‘ใครมาฟันดาบอยู่แถวนี้?’ ณจันทร์คิดในใจอย่างรำคาญ แต่เมื่อเธอฝืนลืมตาขึ้นมามองเต็มตื่น กลับทำเอาความง่วงสลายหายไปแทบจะในทันที สิ่งที่เธอเห็นอยู่เบื้องหน้านี้มันช่าง.... แปลกพิลึก! หนุ่มหน้ามนคนหนึ่ง กำลังควงกระบี่อย่างเอาจริงเอาจัง โดยมีเป้าหมายการจู่โจมคือชายผู้มีเขากระทิงบนหัว ลักษณะของทั้งคู่ดูคล้ายเซียนกำลังสู้รบกับปีศาจกระทิงในซีรีส์จีนมากทีเดียว ฉากพิสดารตรงหน้าทำเอาหญิงสาวต้องขยี้ตามองอีกครั้ง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่โชคยังดีที่เธอตื่นขึ้นมาด้านหลังหินก้อนใหญ่ ชายแปลกหน้าทั้งสองที่กำลังต่อสู้กัน จึงยังไม่มีใครทันสังเกตเห็นเธอ ทว่าความแปลกไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้... ณจันทร์พบว่า ตนเองกำลังสวมใส่ชุดสตรีจีนโบราณอยู่! โดยไม่รู้ว่ามันมาอยู่บนตัวเธอได้อย่างไร ซ้ำยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนพาเธอมาที่นี่…. หากเปลี่ยนเป็นชุดไทยคงไม่น่าตกใจเท่านี้ จู่ๆ สาวไทยแท้อย่างเธอมานอน