“นายน้อยคุณชายเหวินฉินมาขอพบขอรับ”
คำรายงานของบ่าวรับใช้ทำให้ร่างโปร่งบางชะงักงันไปชั่วครู่ ใบหน้างดงามที่ยังคงเยาว์วัยนิ่งเรียบทว่าในใจกำลังหวนนึกไปถึงเจ้าของนามเหวินฉินบุตรชายคนรองของตระกูลเหวินซึ่งเรืองชื่อในเรื่องการค้าขาย “พาเขาไปรอข้าที่เดิม” น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาโดยไม่ได้ละสายตาจากหนังสือในมือ บ่าวรับใช้ก้มหัวให้พร้อมถอยหลังกลับออกไปจากห้องหนังสือทำหน้าที่ของตนต่อไป มู่เหรินเหลือบตามองบ่าวรับใช้ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับคนที่มาขอพบ เขาเป็นบุตรสุดท้องของตระกูลมู่ที่รับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน ทว่าแท้จริงแล้วเคยมีอีกนามที่เริ่มจะลืมเลือนไปคือนายศิลา เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงฤดูฝน เขายังจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดีเนื่องจากยืนเฝ้ามองร่างของตัวเองซึ่งตกลงไปในหุบเหวจังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลาสามวันโดยที่ไม่อาจไปไหนได้ก่อนจะถูกนำตัวมาเกิดในที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมความทรงจำเดิมยังคงอยู่ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามมู่เหรินจึงวางหนังสือลงพร้อมลุกขึ้นยืนเดินไปเก็บไว้ที่ชั้นอย่างเป็นระเบียบเช่นเดิม สายตาเหลือบมองเงาร่างหนึ่งที่ยืนอยู่มุมห้องมืด ๆ เล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังห้องตอบปริศนาทางปีกซ้ายของจวนมู่ ร่างโปร่งบางซึ่งมีความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซ็นติเมตรทว่าใบหน้ากลับงดงามปานล่มบ้านล่มเมืองเป็นสิ่งที่เขาไม่พึงพอใจแม้แต่น้อย บุรุษใดเล่าจะชื่นชอบที่ตัวเองงดงามกว่าอิสตรีเช่นนี้ มันเปรียบเสมือนปมด้อยภายในใจเขาเสียมากกว่า แม้จะยังเยาว์วัยด้วยสิบหกปีแต่ความงดงามกลับเด่นชัดอย่างน่าใจหาย มู่เหรินเดินผ่านห้องต่าง ๆ ภายในจวนอย่างไม่เร่งรีบ กิริยาดูสูงส่งสง่างามชวนให้คนมองหลงใหล อาภรณ์สีขาวขลิบเงินขับผิวขาวผ่องให้ดูเฉิดฉายยิ่งขึ้น ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดที่ห้องตอบปริศนาที่ผู้คนทั่วแคว้นต่างแวะเวียนมาประลองปัญญากับเขา ใช่ คนที่นี่คิดว่าเขาเป็นเด็กอัจฉริยะในรอบร้อยปี ที่เผลอแสดงปัญญาออกไปเมื่อสองปีก่อนในวันไหว้พระจันทร์ซึ่งมีกิจกรรมให้ตอบปัญหา ไม่คิดว่าการนึกสนุกในวันนั้นจะนำความยุ่งยากมาให้ถึงทุกวันนี้ ทันทีที่ประตูกั้นฉากเปิดออกเจ้าของใบหน้าคมคายแลดูชายหนุ่มเจ้าสำราญก็เงยหน้ามามองมู่เหรินทันที อาภรณ์สีเขียวอ่อนทำให้เจ้าตัวสดใสยิ่งขึ้น แม้จะปล่อยให้ทุกคนที่ต้องการมาประลองปัญญารอนานกว่าหนึ่งชั่วยามก็มิมีใครกล้าติติง อาจเป็นเพราะเขามิได้โอ้อวดอีกทั้งแค่ยอมออกมาพบก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว “ข้าคิดว่าจะได้รอเจ้านานกว่านี้เสียอีก” น้ำเสียงอ่อนโยนและใบหน้ายิ้มแย้มทำให้มู่เหรินเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม “วันนี้เจ้ามีสิ่งใดมาถาม” มู่เหรินเอ่ยถามอย่างเป็นการเป็นงานโดยไม่ได้สนใจสายตาเคลิบเคลิ้มของเหวินฉิน “เจ้านี่ช่างใจร้อนจริง” น้ำเสียงผิดหวังและดวงตาสลดลงไม่ได้ทำให้มู่เหรินรู้สึกสะทกสะท้าน แต่มองตามอย่างเอือมระอาคล้ายมองเด็กน้อยที่ดื้อดึงจะอยู่คุยกับเขาให้นานกว่านี้ หากคุณชายเหวินฉินมองเขาเพียงแค่สหายผู้หนึ่งคงอาจจะรับไมตรี แต่นี่มองด้วยสายตาน่าขนลุก แค่เห็นก็อยากจะส่งแขกเร็ว ๆ คุณชายเหวินฉินเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบหาปริศนามาให้เขาตอบ ทว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวเพียงแค่อยากเห็นหน้าเขาเท่านั้น ความพยายามของคุณชายเหวินฉินนั้นมีมากจนอดนับถือไม่ได้ หากไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การหาเรื่องมาพบเขากิจการคงรุ่งเรืองมากกว่านี้ เขาเปิดรับตอบคำถามปริศนาหรือไม่ก็ถามกลับไปวันละหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งคนที่จะเข้าพบต้องมีบัตรคิวโดยที่ไม่สนใจว่าจะใหญ่โตมาจากไหน อ่อ ยกเว้นฮ่องเต้เพราะเขาคงไม่มีปัญญาไปขัดราชโองการหรอก “มีม้าอยู่สองตัวปรากฏว่ามีขนาดสัดส่วนเท่ากันหมด จะรู้ได้อย่างไรว่าม้าตัวไหนเป็นแม่ ม้าตัวไหนเป็นลูก” เหวินฉินเอ่ยถามปริศนาออกมาอย่างจนใจเมื่อไม่ได้รับความสนใจเหมือนที่ผ่านมา ไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้าเขานี้ก็เย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง มู่เหรินจิบชาที่จิ่นกวางบ่าวรับใช้คนสนิทรินให้อย่างใจเย็น เหลือบตามองคนที่เอ่ยคำถามอย่างครุ่นคิดกับปริศนาของวันนี้ นับวันเหวินฉินชอบหาคำถามแปลก ๆ มาให้เขาตอบ บางครั้งก็เป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างเช่นในเวลานี้ “ข้ามีม้าสองตัวที่ว่ามาให้เจ้าดูด้วย หากเจ้าตอบได้ข้าจะยอมยกม้าศึกสองแม่ลูกนี้ให้กับเจ้า” “เช่นนั้นนำทางไปเถิด” มู่เหรินบอกเสียงเรียบพร้อมวางถ้วยชา ลุกขึ้นก้าวเดินตามคุณชายเหวินฉินไปทางโรงม้าที่ฝากไว้ก่อนจะเข้ามาที่ห้องปริศนา มู่เหรินเดินตามไปเงียบ ๆ เขาไม่ได้อยากได้ม้าศึกดังที่กล่าวมา เพียงแค่อยากกลับไปอ่านหนังสือต่อให้จบจึงไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ ดวงตาเรียวมองม้าพันธุ์ดีสองตัวที่มีสัดส่วนเท่ากันอย่างที่กล่าวมาและเป็นตัวเมียด้วยกันทั้งคู่แค้วนฉี “รุกฆาต เจ้าแพ้แล้ว คราวนี้บอกข้าได้หรือยังว่าน้องสี่ของเจ้าไปอยู่ที่ใด” น้ำเสียงรื่นเริงและความยินดีกับชัยชนะของจื่อหวังองค์รัชทายาทของแคว้นฉีดังขึ้น ทว่าผู้ที่เล่นหมากรุกด้วยได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา “ฝ่าบาทคำตอบข้าก็ยังเป็นเช่นเดิม” มู่ฉุนเหยียนตอบกลับอย่างระอา ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนเมื่ออยู่ต่อหน้าจื่อหวังเวลานี้ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้อีกต่อไป เพราะตลอดหนึ่งเดือนมานี้เขาถูกลากมาเล่นหมากรุกกับองค์รัชทายาทตั้งแต่เช้ามืดจรดเย็น หากจื่อหวังมิใช่ว่าที่ฮ่องเต้คนต่อไปและเป็นสหายเขาคงได้ฝังกลบดินอีกฝ่ายไปแล้วแน่ๆ “ไม่รู้หรือว่าไม่อยากบอกกันแน่ ให้ตายสิ เจ้าจะปากแข็งไปอีกนา
ทว่าแววตากลับเปี่ยมไว้ด้วยสติปัญญา มันดูล้ำลึกและน่าค้นหา คนที่วาดภาพนี้ขึ้นมาได้นั้นต้องมีระดับฝีมือขั้นปรมาจารย์อย่างแน่นอน คนที่งดงามและดูล้ำค่าเช่นนี้เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกแคว้นถึงได้มีการเคลื่อนไหวและอยากแย่งชิง ยิ่งข่าวลือที่อีกฝ่ายเป็นบุรุษที่ชื่นชอบตัดแขนเสื้อยิ่งทำให้ผู้คนอยากได้มาครอบครอง งดงามทั้งหน้าตา สติปัญญาและวรยุทธล้ำเลิศจะมีผู้ใดบ้างที่ขวานไขว่ในอำนาจไม่อยากครอบครอง! แต่ว่า... เหมือนเขาจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “องค์ชายมีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เหว่ยหยางละสายตาจากรูปภาพเสมือนจริงหันกลับไปมององครักษ์คู่พระทัย แม้ท่าทางดูเกียจคร้านทว่าดวงตาคู่คมกลับฉายแววล้ำลึกก่อนจะเอ่ยตอบ “ตา
“หลิงหวางเจ้าต้องดื่มให้มากหน่อย ชาของศิษย์พี่หมิงนั้นช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยได้ เพราะฉะนั้นเราทั้งสองต้องรู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์นี้” มู่เหรินบอกหลิงหวางด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งหลิงหวางก็รับมาดื่มอย่างไม่มีอิดออด เขายกยิ้มอย่างพอใจ การที่หลิงหวางไม่พูดไม่แสดงสีหน้าใช่ว่าจะไม่เหนื่อยล้าจากการฝึกฝนเพื่ออนาคตข้างหน้าต้องรักษาสุขภาพที่ดีเอาไว้ “หึ พวกเจ้านี่นะ” หมิงตงฟางรู้สึกไร้คำพูดที่จะกล่าวมองศิษย์น้องทั้งสองที่เข้ากันได้ดีโดยไม่ต้องพูดจาให้มากความ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคันยุบยุบที่หัวใจมันมีทั้งความเอ็นดูและอิจฉาที่ดูสองคนนี่จะรักใคร่กลมเกลียวกันดีจนรู้สึกว่า ตนเองนั้นเป็นคนนอก! เมื่อได้เวลายามเหม่า(05:00น.- 07:00น.)มู่เหรินกระโดดลงมาจา
“แล้วเมื่อไหร่นายน้อยจะเลิกสั่งสักทีละขอรับ ไม่เบื่อหรือขอรับถามทุกวัน” คำตอบและคำถามที่ยาวที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านทำให้มู่เหรินหันไปหรี่ตามอง เดี๋ยวนี้องครักษ์ส่วนตัวเขาพัฒนาแล้ว! น่าภูมิใจดีไหม? “จนกว่าจะเรียกข้าว่ามู่เหรินนั่นแหละ” มู่เหรินกอดอกมองหลิงหวางที่ทำหน้าเฉยเมยจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในมือยังมีเตาไฟที่เริ่มดับแล้ว “นายน้อยก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” คำตอบเดิมๆ ของหลิงหวางทำให้มู่เหรินส่ายหน้าอย่างเบื่อๆ ก่อนจะเดินกลับห้องตัวเอง วันนี้ยังไม่เห็นศิษย์พี่ผู้งดงามเหมือนหลุดพ้นจากทางโลกเลย ส่วนมากจะเห็นแค่เวลาทานข้าวเท่านั้นกลางวันจะหายไปจนน่าแปลกใจ ส่วนอาจารย์ก็เก็บตัวอยู่แ
“ขอบคุณท่านพี่หมิง เรียกข้ามู่เหรินเถอะขอรับ” หมิงตงฟางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเชื้อเชิญเข้าไปด้านใน มู่เหรินจึงได้เดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งมาหยุดที่โต๊ะน้ำชาซึ่งมีชายชรานั่งอยู่ แม้จะมากวัยแต่กลับดูทรงภูมิและน่าหวั่นเกรง คนผู้นี้คงเป็นอาวุโสกุ้ยกู๋แน่ๆ “ผู้เยาว์เรียกว่ามู่เหริน ขอคารวะผู้อาวุโสขอรับ” มู่เหรินยกมือประสานหมัดทำความเคารพชายชราตรงหน้าอย่างนอบน้อม หลิงหวางที่ตามมาเงียบๆ ก็ยกมือประสานหมัดคารวะอาวุโสกุ้ยกู๋ก่อนจะหลบไปอยู่มุมห้องด้านหลังนายน้อยเงียบๆ “ไม่ต้องมากพิธี ยกน้ำชาคารวะอาจารย์เถอะ” มู่เหรินยกยิ้มยินดีก่อนจะคุกเข่ารับน้ำชาจากหมิงตงฟางมาคารวะผู
น้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น มู่เหรินมองอย่างใคร่ครวญพยายามมองข้ามความสูงส่งของอีกฝ่ายเดินเข้าไปใกล้ แล้วสะกิดปลายเท้าเหยียบผิวน้ำไปยังศาลากลางน้ำ ก่อนจะยกมือประสานหมัด “ข้าน้อยมู่เหรินขอคำชี้แนะจากท่านจอมยุทธ” เมื่อรู้ว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้ต้องเล่นหมากล้อมให้ชนะคนตรงหน้าเสียก่อน มู่เหรินเดินไปหยุดตรงหน้าและนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยมีหลิงหวางตามติดคอยระวังหลังให้ ดวงตาล้ำลึกของเจ้าของศาลาเหลือบมองเล็กน้อยมุมปากแต่งแต้มรอยยิ้มเบาบางจนแทบมองไม่เห็น “เชิญ” มู่เหรินก้มมองหมากสีดำในมือ ก่อนจะเริ่มเปิดเกมก่อน... ทั้งคู่นั่งอย่างสงบขณะที่วางหมากล้อมของตัวเองลงไป เวลาเหมือนเดินไปอย่างเชื