สองเท้าก้าวเดินไปโรงเก็บหญ้าข้าง ๆ กันพร้อมหยิบหญ้ามากำหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มาก มาวางไว้ให้ม้าทั้งสองตัวกิน เพียงไม่นานผลก็ออกมา เมื่อม้าสีน้ำตาลเข้มทางซ้ายมือใช้เท้าเขี่ยหญ้าไปให้ม้าที่อยู่ทางขวามือ สัญชาตญาณของความเป็นแม่ย่อมให้ผู้เป็นลูกได้กินอิ่มก่อนเสมอ
“ม้าตัวสีน้ำตาลเข้มทางซ้ายมือเป็นแม่ สีอ่อนหน่อยทางขวามือเป็นลูก หากหมดธุระของเจ้าแล้วข้าขอตัว” มู่เหรินบอกเสียงเรียบพร้อมสะบัดชายผ้าจากไป คุณชายเหวินฉินอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงกับความเย็นชาของคุณชายมู่เหริน ดวงตาคมมองตามร่างโปร่งบางคล้ายคนหัวใจสลาย เขาใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะได้บัตรคิว หวังจะได้พบหน้าสนทนาแต่กลับอยู่ด้วยไม่ถึงหนึ่งเค่อ สนทนาไม่กี่ประโยคก็หมดเวลาเพราะคำตอบนั้นถูกต้องตามกฎที่มู่เหรินให้ไว้กับทุกคน กลับกันหากมู่เหรินตอบผิดจะได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยเป็นเวลาหนึ่งมื้อ แม้คนอื่นอาจไม่เห็นค่าแต่สำหรับเหวินฉินแล้วมันเหมือนรางวัลที่คุ้มค่ากับการรอคอย ทว่าบัดนี้หัวใจดวงน้อยกลับถูกตัดเยื่อใยอย่างไม่ไยดี “จิ่นกวาง ทำไมคุณชายเจ้าถึงได้เย็นชาต่อข้านักเล่า ไม่เห็นใจข้าบ้างหรือ เฝ้ารอมาเนิ่นนานที่จะได้พบเจอแต่กลับได้เจอไม่ถึงหนึ่งเค่อ” เหวินฉินเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนสนิทของคุณชายมู่เหรินด้วยความเศร้าเสียใจ ทว่าแววตากลับมีความลึกล้ำยากจะมองเห็นก่อนจะเลือนหายไป จิ่นกวางเพียงแค่มองตามอย่างเห็นใจโดยไม่ตอบอะไร ผายมือเชิญคุณชายเหวินฉินออกจากจวนพร้อมหัวใจชอกช้ำเหมือนรายอื่น ๆ ที่ผ่านมา...“เจ้าแน่ใจหรือต้องการเช่นนี้”
น้ำเสียงดุดันเอ่ยถามพร้อมดวงตาคมดุจ้องมองผู้มาร้องขอออกจากตระกูลมู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อีกใจก็เห็นดีด้วยขณะเดียวกันกลับรู้สึกกังวลและห่วงใย
“ขอรับ อีกในไม่ช้าข้าคงเป็นที่ต้องการของทุกแคว้น หากไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้”
มู่เหรินกล่าวตอบบิดาด้วยความนอบน้อม ดวงตานิ่งเรียบอย่างตัดสินใจดีแล้ว
“ถึงเจ้าจะตัดสินใจออกจากตระกูลมู่แต่นามเดิมยังคงอยู่ แม้คนภายนอกจะได้รับข่าวลือว่าเจ้าไม่ใช่บุตรของแม่ทัพมู่ซู่เหลียนแล้ว แต่ขอให้รู้ไว้เจ้าคือบุตรของข้าที่เกิดจากสตรีที่ข้ารักที่สุด หนทางเดียวที่ข้าจะทำให้เจ้าได้ จงเดินทางไปยังหุบเขาปีศาจไปหาท่านอาวุโสกุ้ยกู๋เขาจะสอนวรยุทธ์ให้แก่เจ้า นี่หยกราตรีที่ท่านเคยให้ไว้ เมื่อเจอค่อยยื่นให้ดูแล้วท่านอาวุโสจะทราบเอง”
“ขอบคุณท่านพ่อที่เข้าใจ ภายภาคหน้าหากมีศึกใหญ่หลวงข้าอยากให้ท่านพ่อฟังคำปรัชญาการศึกจากข้าก่อนออกเดินทาง”
มู่เหรินกล่าวเสียงเรียบนิ่งไม่มีสั่นไหว ดวงตาเรียวมองบิดานิ่ง ๆ แต่ฉายไปด้วยความจริงใจ
“เชิญ”
“รู้เรา รู้เขา ร้อยศึกไม่แพ้ ไม่รู้เขา รู้แต่เรา ชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา ทุกศึกพ่ายแพ้”
มู่ซู่เหลียนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฉี ผู้ปกครองกองทัพทหารตะวันออกนิ่งอึ้งกับปรัชญาการศึกของบุตรคนเล็กที่มิรู้ว่าเรียนรู้จากที่ใดมา
“เจ้าได้ปรัชญาการศึกนี้มาจากที่ใด” มู่เหรินยกยิ้มบางมิได้ตอบคำถามเพราะที่แห่งนี้ไม่มีหนังสือสามก๊กหรือแม้กระทั่งซุนวู ถึงจะบอกไปก็ไม่รู้จัก สู้ไม่กล่าวสิ่งใดเลยดีกว่า
“มีสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่”
มู่ซู่เหลียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บุตรสุดท้องฉลาดหลักแหลมมากเกินไปจนน่ากลัว หากมีใครรับรู้เรื่องนี้จักเป็นภัยในภาคหน้า มู่เหรินกล่าวไว้คงมิผิด อีกในไม่ช้าคงได้มีการแย่งชิง ตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า
แม้ตนจะรับใช้ราชวงศ์มาเนิ่นนานแต่บุตรชายคนนี้เกิดจากสตรีที่รักอีกทั้งให้สัญญาไว้ก่อนจะสิ้นลมว่าจะให้มู่เหรินได้ทำตามใจอิสระไม่บังคับฝืนใจให้รับใช้ราชวงศ์เหมือนดังตน อีกทั้งตนเองก็ยังมีบุตรชายอีกสามคนที่ยังรับหน้าที่เหล่านี้ และหากคาดเดาไม่ผิดหากฮ่องเต้รู้เรื่องการศึกที่เฉียบขาดจากมู่เหรินแผ่นดินคงได้ลุกเป็นไฟจากการก่อสงคราม
“เมื่อยามมิอาจพิชิต พึงตั้งรับ เมื่ออยู่ในฐานะพิชิตได้ พึงโจมตี พึงตั้งรับ เมื่อข้าศึกมีกำลังมาก พึงโจมตี เมื่อข้าศึกมีรี้พลไม่พอ ข้าคงช่วยท่านพ่อได้เพียงแค่นี้ ต้องกราบขอโทษที่ข้าอกตัญญูมิอาจทดแทนคุณได้แต่เมื่อถึงเวลาข้าจะกลับมาอีกครั้ง”
มู่เหรินกล่าวอย่างหนักแน่น รูปแบบการรบที่ร่ำเรียนมาในยุคสมัยในหนังสือมหาพิชัยสงครามน่าจะพอช่วยบิดาได้ไม่มากก็น้อย แต่หากยังรั้งอยู่ แคว้นฉีคงคิดตนเป็นใหญ่รุกรานดินแดนอื่นจนแผ่นดินลุกเป็นไฟ หรือไม่ตระกูลมู่อาจถูกสังหารทั้งตระกูลด้วยข้อหาก่อกบฏเพราะคงไม่มีราชวงศ์คนใดเห็นขุนนางฉลาดมากเกินไปจนทำให้บัลลังก์สั่นคลอนได้ ทางเดียวที่ทำได้คือจากไป
หลังจากทั้งคู่ทานอาหารกลางวันอิ่มแล้วจึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง มู่เหรินไม่ได้ใช้ลมปราณลงไปที่เท้าในการเดินทาง เขาอยากเก็บแรงไว้เพราะไม่รู้ข้างหน้าจะเจออันตรายอันใดบ้าง แม้จะไม่เคยออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีแต่เขาไม่อยากประมาท ยุทธภพนั้นอันตราย หากพลาดท่าเสียทีได้ไปปรโลกเร็วกว่าอายุขัยแน่ อีกทั้งตนมิใช่คนเก่งกาจ อายุเพียงสิบหกในโลกนี้ยังเรียนรู้ไม่ได้มากนัก แม้ความจริงอายุวิญญาณเขาตอนนี้ย่างห้าสิบเอ็ดปีแล้วก็ตาม และกว่าจะถึงที่หมายก็เข้ายามเว่ย(13.00น.-15.00น.)แล้ว ที่นี่ดูครึกครื้นไม่ต่างจากเมืองที่ผ่านมา มู่เหรินหาห้องพักในโรงเตี๊ยมขนาดกลางเพื่อนอนพักหนึ่งคืนสองห้องสำหรับสองคน แม้จะรู้ว่าหลิงหวางชอบมาอารักขาเขาก็ตามแต่อย่างไรก็คงต้องมีเวลาส่วนตัวบ้างเช่นอาบน้ำ จากนั้นจึงได้ออกมาเดินเล่นสำรวจเมือง มีบ้างที่ผู้คนหันมามองเขาด้วยความสนใจเพราะยังมีหมวกปีกสานใบใหญ่ปิดใบหน้า
หลังจากบังคับขู่เข็ญหลิงหวางออกจากเงาตอนนี้เจ้าตัวอยู่ในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มไม่ต่างจากตน บนหัวมีหมวกปีกสานใบใหญ่ปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดทั้ง ๆ ที่หน้าตาออกจะธรรมดา ท่าทางจะไม่ชอบให้ใครมองหน้าจริง ๆ ไม่สิ นี่แค่เป็นหน้าหลอก ๆ ของเจ้าตัวมากกว่า แต่เรื่องนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจเพราะอย่างไรเขาก็จดจำคนผู้นี้จากกลิ่นอายรอบตัว มู่เหรินมองแผนที่ในมือเพื่อมุ่งหน้าไปยังหุบเขาปีศาจตามคำแนะนำของบิดา แต่ต้องนิ่วหน้าเพราะแผนที่มิได้บ่งบอกว่าหุบเขาปีศาจอยู่ที่ใดเพราะในประวัติศาสตร์สมัยจั้นกั๋วก็ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับหุบเขาปีศาจอีกด้วย เมื่อเงยหน้ามองเพื่อนร่วมเดินทางก็ต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ การที่ให้ออกมาจากเงาทำให้ชีวิตมืดมนขนาดนั้นเชียวหรือ “อีกหน่อยเดี๋ยวก็ชินเอง” เอ่ยบอกเสียงเรียบก่อนจะก้มมองหาจุดสำคัญ หากเดาไม่ผิดไม่อยู่แคว้นฉีก็ต้องอยู่แคว้นฉิน แต่ว่ามันอยู่ระหว่างเหนือกับใต้ที่ห่างกันไกลมาก เพราะเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ในจีนแคว้นฉินถึงไม่มาโจมตีแคว้นฉี “เจ้ารู้จักหุบเขาปีศาจหรือไม่” ในเมื่อไม่รู้จึงเอ่ยถามคนข้างกายที่ยืนนิ่ง ๆ หลิงหวางเงยหน้ามามองเล็กน้อยก่อนจะต
มู่เหรินมองบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาอีก ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืนในเวลานี้บดบังร่างโปร่งบางที่ยืนใต้ร่มไม้ห่างไกลจากจวนพอประมาณ ส่วนผู้ติดตามขึ้นชื่อว่าเงาก็ยังคงเป็นเงาเหมือนที่ผ่านมา เหลือบตามองเงาร่างที่อยู่ไม่ห่างอย่างกังวล การที่ไม่ได้พูดคุยกับใครเลย คอยแต่หลบซ่อนตัวและแสดงฝีมือเท่านั้นจะเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้และเหงามากแค่ไหน “หลิงหวางข้ามีข้อตกลงกับเจ้า หากเจ้าคิดจะติดตามข้าจงแสดงตนออกมาในฐานะสหายข้า หากทำไม่ได้แล้วจงเป็นเงาอย่าให้ข้ารับรู้ตัวตนของเจ้า” มู่เหรินเอ่ยบอกเสียงเรียบ เงาร่างนั้นนิ่งเงียบเพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไปกับความมืด เขาถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ยังเลือกที่จะเป็นเงา “แต่เจ้ารู้ไหม ข้าอยากเป็นสหายเจ้ามากกว่าสิ่งที่เจ้าเป็น” มู่เหรินเอ่ยเสียงแผ่วไปตามสายลม ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อย ๆ กว่าหลิงหวางจะยอมออกจากเงาคงต้องใช้เวลาหรือไม่ก็ตัวเขาเกิดภัย คนเช่นนี้บิดาไปหามาจากที่ใดกัน เก่งกาจเรื่องวรยุทธ์และยังเก่งเรื่องปลอมตัวอีก ทว่าแม้โฉมหน้าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนแต่กลิ่นอายเดิมย
“เอาเถิดข้ามิได้คาดหวังให้ใครมาแทนคุณ แค่เจ้ามีชีวิตก็ดีก็พอแล้ว อีกอย่างเรื่องการรบอย่าได้แพร่งพรายไปที่ใดเพราะชีวิตเจ้าจะลำบากยิ่งกว่าเดิม” แม้จะดุดันแต่ก็ยังห่วงใยเพราะอย่างไรก็ยังเป็นบุตร มู่เหรินยิ้มรับ “ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะต้องเอาตัวรอดในเรื่องนี้ได้ เพียงแต่สิ่งที่ข้ากังวลคือท่านพี่ทั้งสามจะไม่ยินยอม เป็นเช่นนั้นพวกท่านจะลำบาก ท่านพ่อโปรดบอกเล่าแก่ท่านพี่เองได้หรือไม่ขอรับ” “เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง แต่การไปครั้งนี้จงนำพาหลิงหวางไปด้วย” มู่เหรินนิ่วหน้ากับคำขอ นึกไปถึงเจ้าของชื่อที่เป็นดั่งเงาของเขา ชอบแอบอยู่มุมห้องมืด ๆ และคานไม้ ไม่มีปากเสียง ปิดหน้าสวมชุดดำจนแทบจำหน้าไม่ได้ “หากเป็นความต้องการของท่านพ่อข้าคงมิอาจขัด คืนนี้ข้าจักเริ่มออกเดินทาง หากเจอกันในภายภาคหน้าลูกอาจไปล่วงเกินท่านโปรดอภัยให้ข้าเพราะข้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผล” มู่ซู่เหลียนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเพราะมู่เหรินทำสิ่งใดมิเคยไม่มีเหตุผลมาก่อน แม้จะยังเยาว์วัยทว่ากลับไม่เหมือนดังพี่น้องคนอื่น ๆ แววตาล้ำลึกมิอาจหยั่งรู้หรือคาดเดาได้จนบางครั้งอดคิดมิได้ว่ามู่เหรินเ
สองเท้าก้าวเดินไปโรงเก็บหญ้าข้าง ๆ กันพร้อมหยิบหญ้ามากำหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มาก มาวางไว้ให้ม้าทั้งสองตัวกิน เพียงไม่นานผลก็ออกมา เมื่อม้าสีน้ำตาลเข้มทางซ้ายมือใช้เท้าเขี่ยหญ้าไปให้ม้าที่อยู่ทางขวามือ สัญชาตญาณของความเป็นแม่ย่อมให้ผู้เป็นลูกได้กินอิ่มก่อนเสมอ “ม้าตัวสีน้ำตาลเข้มทางซ้ายมือเป็นแม่ สีอ่อนหน่อยทางขวามือเป็นลูก หากหมดธุระของเจ้าแล้วข้าขอตัว” มู่เหรินบอกเสียงเรียบพร้อมสะบัดชายผ้าจากไป คุณชายเหวินฉินอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงกับความเย็นชาของคุณชายมู่เหริน ดวงตาคมมองตามร่างโปร่งบางคล้ายคนหัวใจสลาย เขาใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะได้บัตรคิว หวังจะได้พบหน้าสนทนาแต่กลับอยู่ด้วยไม่ถึงหนึ่งเค่อ สนทนาไม่กี่ประโยคก็หมดเวลาเพราะคำตอบนั้นถูกต้องตามกฎที่มู่เหรินให้ไว้กับทุกคน กลับกันหากมู่เหรินตอบผิดจะได้อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยเป็นเวลาหนึ่งมื้อ แม้คนอื่นอาจไม่เห็นค่าแต่สำหรับเหวินฉินแล้วมันเหมือนรางวัลที่คุ้มค่ากับการรอคอย ทว่าบัดนี้หัวใจดวงน้อยกลับถูกตัดเยื่อใยอย่างไม่ไยดี “จิ่นกวาง ทำไมคุณชายเจ้าถึงได้เย็นชาต่อข้านักเล่า ไม่เห็นใจข้าบ้างหรือ เฝ้ารอมาเนิ่นนา
“นายน้อยคุณชายเหวินฉินมาขอพบขอรับ” คำรายงานของบ่าวรับใช้ทำให้ร่างโปร่งบางชะงักงันไปชั่วครู่ ใบหน้างดงามที่ยังคงเยาว์วัยนิ่งเรียบทว่าในใจกำลังหวนนึกไปถึงเจ้าของนามเหวินฉินบุตรชายคนรองของตระกูลเหวินซึ่งเรืองชื่อในเรื่องการค้าขาย “พาเขาไปรอข้าที่เดิม” น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาโดยไม่ได้ละสายตาจากหนังสือในมือ บ่าวรับใช้ก้มหัวให้พร้อมถอยหลังกลับออกไปจากห้องหนังสือทำหน้าที่ของตนต่อไป มู่เหรินเหลือบตามองบ่าวรับใช้ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับคนที่มาขอพบ เขาเป็นบุตรสุดท้องของตระกูลมู่ที่รับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน ทว่าแท้จริงแล้วเคยมีอีกนามที่เริ่มจะลืมเลือนไปคือนายศิลา เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงฤดูฝน เขายังจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดีเนื่องจากยืนเฝ้ามองร่างของตัวเองซึ่งตกลงไปในหุบเหวจังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลาสามวันโดยที่ไม่อาจไปไหนได้ก่อนจะถูกนำตัวมาเกิดในที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมความทรงจำเดิมยังคงอยู่ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามมู่เหรินจึงวางหนังสือลงพร้อมลุกขึ้