นั่นคงมิใช่ไม้จินสื่อหนานใช่หรือไม่?หลิงอวี๋สงสัย เพราะถ้าเป็นไม้จินสื่อหนานจริง ๆ หากเป็นในยุคปัจจุบันตระกูลอูก็จะเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอยู่ในอันดับต้นทีเดียวบริเวณรอบ ๆ ลานกว้างมีเรือนยกพื้นสูงอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอูส่วนตรงกลางลานกว้างมีแท่นบูชาอยู่ และด้านหลังแท่นบูชาก็คืออาคารที่มีขนาดใหญ่ราวกับวัง อีกทั้งตัวอาคารทั้งหมดก็เปล่งประกายแสงสีทองอ่อนอีกด้วยขณะที่พวกหลิงอวี๋เดินผ่านลานกว้างไป นางก็เห็นคนจำนวนมากในเรือนยกพื้นสูงเหล่านั้นกำลังจ้องมองพวกตนอยู่พวกเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่ข้าง ๆ ลานกว้างต่างก็เปลือยครึ่งตัว มีเพียงส่วนสำคัญเท่านั้นที่ใช้ผ้ามาปกปิดไว้นี่มิใช่เพราะพวกเขายากจนเสียจนไม่มีอาภรณ์ใส่ แต่เป็นธรรมเนียมประเพณี“คุณหนู ที่ก้นของคนผู้นั้น…”เถาจื่อมิได้มีความสามารถในการควบคุมตนเช่นหลิงอวี๋และเผยอวี้ เมื่อเห็นเด็กเหล่านั้นนางจึงมองไปแล้วก็เห็นในบรรดาเด็กเหล่านั้นมีเด็กคนหนึ่งสวมเพียงกางเกงแบบที่เปิดตรงเป้า และที่หลังก้นก็มีหางห้อยลงมา นางจึงตกใจกรีดร้องออกมา“หาง!”ยังมิทันที่จะได้ตะโกนออกมา ก็ถูกหลิงอวี๋ปิดปาก
หลิงอวี๋เดินตามสตรีสวมหน้ากากขึ้นไปบนเรือนยกพื้นสูง มิรู้เช่นกันว่าเรือนแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยใด แต่ว่ามันแข็งแกร่งดุจหินผา และไม้กระดานใต้ฝ่าเท้าก็เช็ดถูจนสะอาดเป็นเงางามเช่นกันในทุกระยะสิบกว่าเมตรของทางเดินจะมีนางรับใช้สวมหน้ากากยืนอยู่หนึ่งคน พวกนางทั้งหมดสวมชุดสีขาว นอกจากส่วนสูงและน้ำหนักแล้ว ก็มิอาจแยกแยะได้เลยว่าใครเป็นใครตามทางเดินจะมีกลิ่นของยาโชยมาและมีอีกกลิ่นบางส่วนที่มิรู้ว่าคือกลิ่นอะไรด้วย จึงทำให้หลิงอวี๋รู้สึกว่าอากาศในนี้สกปรกมากกระทั่งเดินไปจนสุดทางก็เป็นประตูบานหนึ่ง ที่ด้านนอกประตูมีสตรีสวมหน้ากากยืนอยู่สองคน และเมื่อพวกนางเห็นทั้งสองคน จึงโค้งความเคารพพร้อมกัน“แม่นางเฟิ่ง!”สตรีสวมหน้ากากที่พาหลิงอวี๋เข้ามาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นสตรีสวมหน้ากากสองคนก็เปิดประตูให้แม่นางเฟิ่งเดินนำหน้าเข้าไป หลิงอวี๋เองก็เดินตามเข้าไปเช่นกันห้องแห่งนี้ใหญ่โตมาก แต่การตกแต่งก็แปลกประหลาดมาก ตรงคานบนเพดานนั้นมีธงผ้าสีเหลืองแบบโบราณแขวนอยู่เป็นจำนวนมาก บนธงผ้านั้นมีอักษรที่ดูประหลาดเขียนอะไรไว้มากมายทีเดียวด้านหน้าเป็นแท่นทรงกลม และมีสตรีที่สวมชุดสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมาเล็กน้อย “แน่นอนว่าย่อมทำนายมิได้อยู่แล้วว่าเจ้าจะมีนามว่าอันใด แต่สามารถทำนายได้ว่าจะมีคนที่เกิดมาเพื่อฝ่าด่านเคราะห์ร้ายและจะมาที่ใต้หล้าแห่งนี้!”“เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลหลง ทั้งยังเป็นคนที่มีเส้นชีวิตถึงสามเส้นอยู่ในฝ่ามืออีก ที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ หยกหล้าสุขาวดีอยู่ในตัวของเจ้า!”“หลงอวี๋ เจ้าเกิดมาเพื่อฝ่าด่านเคราะห์ร้าย มาเพื่อช่วยตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์ และช่วยคนทั้งใต้หล้า!”ก่อนหน้านี้เย่ซงเฉิงก็เคยบอกหลิงอวี๋เช่นนี้ แต่เมื่อหลิงอวี๋ได้เห็นภาพน่าสังเวชที่ดูรกร้างย่ำแย่ในภาพลวงตา แต่นางมิได้รู้สึกว่าตนมีอะไรยิ่งใหญ่พอที่จะสามารถช่วยคนทั้งใต้หล้าได้“หลงอวี๋ ข้าไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าตามลำพังมากนัก พวกเรามาคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเถิด!”สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยออกมาอย่างรีบร้อน “พี่หญิงของข้าคือแม่นมอูที่เจ้ารู้จัก นางมิได้ตกอยู่ในมือของข้า แต่ตกอยู่ในมือของอวี๋หลาน!”“อย่าเรียกข้าว่าหลงอวี๋ ข้าชื่อหลิงอวี๋!”เจ้าแห่งทะเลมิได้เห็นว่าตนเป็นบุตรีของเขา ดังนั้นหลิงอวี๋ก็จะมิยอมรับเขาเช่นกัน“ได้ ๆ หลิงอวี๋ก็หลิงอวี๋ แต่ถึงอย่างไรมิช้าก็เร็วสกุลของเจ้าก็จะต้อง
สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถึงตรงนี้ด้วยสีหน้าจนใจ “คนเหล่านั้นอาศัยอยู่บนภูเขากันมาเป็นเวลานาน ทั้งยังมีความคิดซื่อบริสุทธิ์ จึงมิได้สงสัยว่าอวี๋หลานโกหก!”“พวกเขาล้วนเชื่อคำโกหกของอวี๋หลาน บอกกันว่าข้าเป็นแม่มด ข้าสาปแช่งพวกเขา และต้องการจะจับตัวข้าไปเผาสังหารข้าเสีย!”“หลิงอวี๋ คนตระกูลข้าถูกพวกเขาลอบโจมตีอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงสิบปีนี้จำนวนคนจึงลดน้อยลงเรื่อย ๆ”“ข้าเคยคิดว่าจะละทิ้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และมอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์ให้กับอูอวี๋หลานไปเสีย จากนั้นก็จะพาคนของข้าลงจากภูเขาไปหาแนวทางกันใหม่ แต่พวกเขาล้วนมิยอม!”“พวกเขาอาศัยอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์กันมาหลายชั่วอายุคน จึงมิยินดีที่จะไปจากแผ่นดินแห่งนี้!”หลิงอวี๋เข้าใจความคิดของคนเหล่านี้ หากมิได้ถึงขั้นจำใจต้องทำ ใครจะอยากจากบ้านเกิดไปเริ่มต้นใหม่ในสถานที่ที่มิคุ้นเคยกันเล่า!“ข้าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง?”หลิงอวี๋นึกถึงเด็กที่ไม่มีความผิดอะไรเหล่านั้น บิดามารดาทอดทิ้งพวกเขาไป คงจะคิดว่าพวกเขาตายไปแล้วอย่างแน่นอนหากอูอวี๋หลานได้ครอบครองแผ่นดินแห่งนี้ นางจะต้องสังหารเด็กทั้งหมดนี้เป็นแน่“ช่วยข้าช่วยอูจิ่งออกมาที!”เมื่อสตรีศัก
“หลิงอวี๋!” “ในปีนั้นเจ้าวางแผนการชั่วร้ายใส่ข้าอย่างไร้ยางอาย… จากนั้นยังใช้ป้ายทองอาญาสิทธิ์ที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้มาบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า...” “มาตอนนี้ยังลอบขโมยของล้ำค่าที่เสด็จแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ เพื่อเติมเต็มสิ่งที่เจ้าขาดหายไป! ยิ่งไปกว่านั้นคือทำร้ายเฮยจื่อเสียจนปางตาย!” “หากว่าข้ายังไว้ชีวิตเจ้าอีก ข้าก็คงจะไม่แซ่เซียวแล้ว!” ใคร? ใครกำลังพูดอยู่กัน ขณะที่เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแส้ “เพียะ!” ดังขึ้น ทั่วทั้งตัวของหลิงอวี๋เจ็บปวดจนสั่นสะท้าน จนต้องลืมตาขึ้นมาทันที... จากนั้นเมื่อมองเห็นด้านหน้าของเธอ มีชายหนุ่มหล่อเหลา สูงส่งราวกับเทพเจ้านั่งอยู่บนรถเข็น จ้องมองยังเธออย่างแข็งกร้าว “โบย! ห้าสิบแส้! อย่าให้ขาดแม้แต่หนึ่ง!” “โบยให้ตาย แล้วจงลากไปโยนทิ้งที่สุสานรวมซะ!” เพียะ! เพียะ! เพียะ! เสียงแส้ดังออกมาพร้อมกับเสียงลมครั้งแล้วครั้งเล่ากระแทกลงบนกายของหลิงอวี๋ หลิงอวี๋เจ็บปวดจนดวงตามืดมน อีกเพียงนิดเกือบจะเป็นลมไป... หลิงอวี๋ที่เกือบจะสิ้นลมไป เธอนึกไม่ออกว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? ท่านอ๋องอะไรกัน? เฮยจื่ออะไร? เมื่อคร
“อย่าตีท่านแม่ของข้า...” หลังจากที่เสี่ยวเมาล้มบนพื้น กระอักเลือดออกมาแล้วก็คลานเข้าไปหาหลิงอวี๋อย่างไม่ยินยอม ยังคิดที่จะใช้ร่างกายที่อ่อนแอของตนช่วยรับแส้ให้กับนางอีก หลิงอวี๋มองไปยังมุมปากของเสี่ยวเมาที่ยังคงมีเลือดไหลซึม ในใจก็ยิ่งสั่นสะท้านขึ้นมา… ในความทรงจำนั้น หลิงอวี๋ใส่ใจเสี่ยวเมาน้อยนัก ทำให้เสี่ยวเมาที่คลอดมาแข็งแรงมาก กลับยิ่งเลี้ยงดูก็ยิ่งผอมบาง... “ท่านอ๋อง… นี่? โบยต่อหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มือเฆี่ยนเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง “ลากลูกนอกสมรสนั่นออกไป โบยต่อ!” ชายหนุ่มสูงส่งราวกับเทพเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นเสี่ยวเมากระอักเลือดออกมา ก็ยังคงดูเฉยชาไร้ซึ่งอารมณ์ดั่งเก่า “เสี่ยวเมา ไปเถอะ ปกตินางก็ไม่ได้ดูแลเจ้าดีนัก เจ้ายังสนใจว่านางจะเป็นตายไปเพื่อเหตุอันใด!” หญิงชราคนหนึ่งวิ่งเข้ามา เมื่ออุ้มเสี่ยวเมาได้ก็ออกไป “อย่าตีท่านแม่… ปล่อยข้า!” เสี่ยวเมายังคงร้องตะโกนออกมาอย่างเศร้าโศก ไม่สนใจว่าตรงมุมปากของตนจะมีเลือดไหลออกมา ดิ้นรนอย่างแรงอยู่ในอ้อมแขนของหญิงชรา หญิงชรากอดเขาเอาไว้แน่น มือเฆี่ยนยังคงโบยแส้ลงไปบนกายของหลิงอวี๋ เสี่ยวเมาเองก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรง
“ตึกตึก… ตึก...” ไม่รู้ว่าสลบไปนานเท่าใด หลิงอวี๋ได้ยินเสียงนาฬิกาดังตึกตึกแว่ว ๆ จนลืมตาขึ้นมา... ทันใดนั้น ดวงตาของหลิงยวี่ก็สว่างขึ้น เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องทดลองอิสระของตนที่วิทยาลัยแพทย์ หรือว่าตนจะเดินทางข้ามเวลากลับมาแล้ว? หลิงอวี๋ลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้นขึ้นมา ทว่าเพียงเคลื่อนไหวร่างกายก็รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างเจ็บปวด และยังมีเลือดสดไหลออกมา... เธอก้มหัวลงไปมองก็พบว่าร่องรอยบาดเจ็บของแส้ก็ถูกนำกลับมาด้วย! เธออดทนต่อความเจ็บปวดตามหากล่องยา แล้วฉีดยาบาดทะยักให้กับตนเอง ก่อนจะรีบจัดการบาดแผลอย่างรวดเร็ว มีรอยแส้มากมายอยู่ตรงหน้าอก แผ่นหลัง และบนใบหน้า ล้วนแต่ลึกลงสู่ผิวหนัง มองดูแล้วช่างน่าหวาดกลัวและโหดร้าย ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจัดการอาการบาดเจ็บบนร่างกายอยู่ทางนี้นั้น ก็ก่นด่าสาปแช่งเซียวหลินเทียนไปพลาง สาปแช่งให้เขาไม่ได้ตายดี ขาดลูกหลานสืบสกุล... เมื่อคำด่า “ขาดลูก” สองคำนี้ออกมา ก็คิดถึงเสี่ยวเมาที่ปกป้องตนจนไม่อาจสาปแช่งต่อไปได้ เธอไม่ได้หวังให้เสี่ยวเมาตายไป! บาดแผลของหลิงอวี๋เพิ่งจะใส่ยาลงไป ขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมา เ
หลิงอวี๋คิดที่จะหยิบเครื่องมือและยาเพื่อไปช่วยรักษาเสี่ยวเมา ทว่าประตูห้องใหญ่ก็ถูกเปิดขึ้นในทันที นางรับใช้แม่นมที่อยู่ด้านนอกอาจจะเข้ามาได้ทุกเมื่อ หลิงอวี๋จึงไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลาม ทำได้เพียงแต่สงบนิ่งรอคอยเวลา พ่อบ้านฟั่นด้านนอกนั้นถูกแม่นมลี่ถามไถ่จนรู้สึกรำคาญใจ จึงใช้เท้าเตะแม่นมลี่ แล้วเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาไร้ปรานี “ไสหัวไป สุนัขดี ๆ จะต้องไม่มาขวางทาง” เมื่อหลิงอวี๋มองออกไป ก็พบว่าแม่นมลี่ถูกผลักจนล้มลงบนพื้นอย่างแรง ดูเหมือนว่า แม่นมลี่เองก็คงจะถูกแส้หวดมาก่อน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บนใบหน้ายังมีคราบเลือดอยู่ไม่น้อย... “แม่นมลี่ เจ้าอย่ามามัวเสียเวลาอีกเลย รีบจัดการเก็บกวาดอยู่ในเรือนบุหงาเสียดี ๆ เถิด!” นางรับใช้ที่ดูหยิ่งยโสคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของแม่นมลี่ เอ่ยออกมาอย่างได้ใจ “พ่อบ้านฟั่นได้เลื่อนขั้นให้ข้าเป็นนางรับใช้ใหญ่แล้ว ต่อไปทุกคนในเรือนบุหงาจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของข้า” “ท่านอ๋องทรงรับสั่งมาแล้วว่า หากพวกเจ้ายังจะไม่เชื่อฟัง ข้าก็มีอำนาจทีจะทุบตีพวกเจ้าจนตายได้!” “หลิงผิง เจ้าเป็นนางรับใช้ข้างกายของพระชายา สัญญาทาสยังอยู่ในมือของพระชายา เจ้าม
สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถึงตรงนี้ด้วยสีหน้าจนใจ “คนเหล่านั้นอาศัยอยู่บนภูเขากันมาเป็นเวลานาน ทั้งยังมีความคิดซื่อบริสุทธิ์ จึงมิได้สงสัยว่าอวี๋หลานโกหก!”“พวกเขาล้วนเชื่อคำโกหกของอวี๋หลาน บอกกันว่าข้าเป็นแม่มด ข้าสาปแช่งพวกเขา และต้องการจะจับตัวข้าไปเผาสังหารข้าเสีย!”“หลิงอวี๋ คนตระกูลข้าถูกพวกเขาลอบโจมตีอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงสิบปีนี้จำนวนคนจึงลดน้อยลงเรื่อย ๆ”“ข้าเคยคิดว่าจะละทิ้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และมอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์ให้กับอูอวี๋หลานไปเสีย จากนั้นก็จะพาคนของข้าลงจากภูเขาไปหาแนวทางกันใหม่ แต่พวกเขาล้วนมิยอม!”“พวกเขาอาศัยอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์กันมาหลายชั่วอายุคน จึงมิยินดีที่จะไปจากแผ่นดินแห่งนี้!”หลิงอวี๋เข้าใจความคิดของคนเหล่านี้ หากมิได้ถึงขั้นจำใจต้องทำ ใครจะอยากจากบ้านเกิดไปเริ่มต้นใหม่ในสถานที่ที่มิคุ้นเคยกันเล่า!“ข้าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง?”หลิงอวี๋นึกถึงเด็กที่ไม่มีความผิดอะไรเหล่านั้น บิดามารดาทอดทิ้งพวกเขาไป คงจะคิดว่าพวกเขาตายไปแล้วอย่างแน่นอนหากอูอวี๋หลานได้ครอบครองแผ่นดินแห่งนี้ นางจะต้องสังหารเด็กทั้งหมดนี้เป็นแน่“ช่วยข้าช่วยอูจิ่งออกมาที!”เมื่อสตรีศัก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมาเล็กน้อย “แน่นอนว่าย่อมทำนายมิได้อยู่แล้วว่าเจ้าจะมีนามว่าอันใด แต่สามารถทำนายได้ว่าจะมีคนที่เกิดมาเพื่อฝ่าด่านเคราะห์ร้ายและจะมาที่ใต้หล้าแห่งนี้!”“เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลหลง ทั้งยังเป็นคนที่มีเส้นชีวิตถึงสามเส้นอยู่ในฝ่ามืออีก ที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ หยกหล้าสุขาวดีอยู่ในตัวของเจ้า!”“หลงอวี๋ เจ้าเกิดมาเพื่อฝ่าด่านเคราะห์ร้าย มาเพื่อช่วยตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์ และช่วยคนทั้งใต้หล้า!”ก่อนหน้านี้เย่ซงเฉิงก็เคยบอกหลิงอวี๋เช่นนี้ แต่เมื่อหลิงอวี๋ได้เห็นภาพน่าสังเวชที่ดูรกร้างย่ำแย่ในภาพลวงตา แต่นางมิได้รู้สึกว่าตนมีอะไรยิ่งใหญ่พอที่จะสามารถช่วยคนทั้งใต้หล้าได้“หลงอวี๋ ข้าไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าตามลำพังมากนัก พวกเรามาคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเถิด!”สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยออกมาอย่างรีบร้อน “พี่หญิงของข้าคือแม่นมอูที่เจ้ารู้จัก นางมิได้ตกอยู่ในมือของข้า แต่ตกอยู่ในมือของอวี๋หลาน!”“อย่าเรียกข้าว่าหลงอวี๋ ข้าชื่อหลิงอวี๋!”เจ้าแห่งทะเลมิได้เห็นว่าตนเป็นบุตรีของเขา ดังนั้นหลิงอวี๋ก็จะมิยอมรับเขาเช่นกัน“ได้ ๆ หลิงอวี๋ก็หลิงอวี๋ แต่ถึงอย่างไรมิช้าก็เร็วสกุลของเจ้าก็จะต้อง
หลิงอวี๋เดินตามสตรีสวมหน้ากากขึ้นไปบนเรือนยกพื้นสูง มิรู้เช่นกันว่าเรือนแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยใด แต่ว่ามันแข็งแกร่งดุจหินผา และไม้กระดานใต้ฝ่าเท้าก็เช็ดถูจนสะอาดเป็นเงางามเช่นกันในทุกระยะสิบกว่าเมตรของทางเดินจะมีนางรับใช้สวมหน้ากากยืนอยู่หนึ่งคน พวกนางทั้งหมดสวมชุดสีขาว นอกจากส่วนสูงและน้ำหนักแล้ว ก็มิอาจแยกแยะได้เลยว่าใครเป็นใครตามทางเดินจะมีกลิ่นของยาโชยมาและมีอีกกลิ่นบางส่วนที่มิรู้ว่าคือกลิ่นอะไรด้วย จึงทำให้หลิงอวี๋รู้สึกว่าอากาศในนี้สกปรกมากกระทั่งเดินไปจนสุดทางก็เป็นประตูบานหนึ่ง ที่ด้านนอกประตูมีสตรีสวมหน้ากากยืนอยู่สองคน และเมื่อพวกนางเห็นทั้งสองคน จึงโค้งความเคารพพร้อมกัน“แม่นางเฟิ่ง!”สตรีสวมหน้ากากที่พาหลิงอวี๋เข้ามาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นสตรีสวมหน้ากากสองคนก็เปิดประตูให้แม่นางเฟิ่งเดินนำหน้าเข้าไป หลิงอวี๋เองก็เดินตามเข้าไปเช่นกันห้องแห่งนี้ใหญ่โตมาก แต่การตกแต่งก็แปลกประหลาดมาก ตรงคานบนเพดานนั้นมีธงผ้าสีเหลืองแบบโบราณแขวนอยู่เป็นจำนวนมาก บนธงผ้านั้นมีอักษรที่ดูประหลาดเขียนอะไรไว้มากมายทีเดียวด้านหน้าเป็นแท่นทรงกลม และมีสตรีที่สวมชุดสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงก
นั่นคงมิใช่ไม้จินสื่อหนานใช่หรือไม่?หลิงอวี๋สงสัย เพราะถ้าเป็นไม้จินสื่อหนานจริง ๆ หากเป็นในยุคปัจจุบันตระกูลอูก็จะเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอยู่ในอันดับต้นทีเดียวบริเวณรอบ ๆ ลานกว้างมีเรือนยกพื้นสูงอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอูส่วนตรงกลางลานกว้างมีแท่นบูชาอยู่ และด้านหลังแท่นบูชาก็คืออาคารที่มีขนาดใหญ่ราวกับวัง อีกทั้งตัวอาคารทั้งหมดก็เปล่งประกายแสงสีทองอ่อนอีกด้วยขณะที่พวกหลิงอวี๋เดินผ่านลานกว้างไป นางก็เห็นคนจำนวนมากในเรือนยกพื้นสูงเหล่านั้นกำลังจ้องมองพวกตนอยู่พวกเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่ข้าง ๆ ลานกว้างต่างก็เปลือยครึ่งตัว มีเพียงส่วนสำคัญเท่านั้นที่ใช้ผ้ามาปกปิดไว้นี่มิใช่เพราะพวกเขายากจนเสียจนไม่มีอาภรณ์ใส่ แต่เป็นธรรมเนียมประเพณี“คุณหนู ที่ก้นของคนผู้นั้น…”เถาจื่อมิได้มีความสามารถในการควบคุมตนเช่นหลิงอวี๋และเผยอวี้ เมื่อเห็นเด็กเหล่านั้นนางจึงมองไปแล้วก็เห็นในบรรดาเด็กเหล่านั้นมีเด็กคนหนึ่งสวมเพียงกางเกงแบบที่เปิดตรงเป้า และที่หลังก้นก็มีหางห้อยลงมา นางจึงตกใจกรีดร้องออกมา“หาง!”ยังมิทันที่จะได้ตะโกนออกมา ก็ถูกหลิงอวี๋ปิดปาก
หลิงอวี๋มาที่เมืองหลวงแดนเทพได้สักพักหนึ่งแล้ว นางรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลอูเป็นการดำรงอยู่ที่เหนือกว่าตระกูลใหญ่ ๆ หลายตระกูลเนื่องจากพวกนางได้ปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์มารุ่นแล้วรุ่นเล่า และควบคุมเครื่องยาสมุนไพรชั้นยอดอันล้ำค่าที่เหล่าบรรดาตระกูลใหญ่และผู้บำเพ็ญตนในแดนเทพต้องการ ดังนั้นตระกูลเหล่านี้จึงเคารพพวกนางมากอีกทั้งนี่ยังทำให้เกิดเป็นตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ทำตัวสูงส่งมิเห็นหัวใครและอวดดีอีกด้วยแต่ก็เช่นเดียวกับที่ตระกูลหลงนั่งอยู่อย่างมั่นคงในแผ่นดินของแดนเทพมาหลายร้อยปีนี้ พวกตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็มิได้ให้ความเคารพต่อตระกูลสตรีศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปเหล่าตระกูลใหญ่ส่วนมากต่างก็รู้สึกว่าเครื่องยาสมุนไพรของภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ฟ้าดินประทานให้ทุกคน เหตุใดจึงต้องให้ตระกูลหลงและตระกูลอูเป็นผู้ควบคุมและจัดสรรให้ทุกคนด้วยเล่า?ในตอนนี้เมื่อได้ยินมู่ตงบอกว่าตระกูลอูมิได้เห็นฮองเฮาและท่านหญิงอยู่ในสายตา หลิงอวี๋ก็รู้สึกเป็นห่วงตระกูลอูขึ้นมาการยั่วยุอำนาจจักรพรรดิและตระกูลใหญ่เหล่านั้นเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลอูจะปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่ในท้ายที่สุด
กลุ่มของหลิงอวี๋รีบมุ่งตรงไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างรีบร้อน เผยอวี้เอ่ยถามออกไป “พี่หญิงหลิงหลิง เหตุใดเจ้าแห่งทะเลจึงปล่อยท่านออกมาง่ายดายถึงเพียงนี้เล่า?”“ก่อนหน้านี้พวกเราคิดว่าต่อให้นำพระราชโองการจากฮองเฮามา เจ้าแห่งทะเลอาจจะมิปล่อยท่านออกมาก็เป็นได้!”“ข้ายังมีประโยชน์กับเขาอยู่ ตอนนี้เขาทำอะไรข้ามิได้ และมิอาจสังหารข้าได้ด้วย จึงได้ปล่อยข้าออกมา!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาเรียบ ๆ “แต่เจ้าแห่งทะเลรู้ตัวตนของข้าแล้ว เขาน่าจะมีแผนสำรองอยู่!”หลังจากเถาจื่อขึ้นรถม้าก็มิได้พูดอะไรทั้งนั้น จิตใจของนางค่อนข้างอ่อนล้า หลังจากพักผ่อนไปสักพักหนึ่งจึงรู้สึกดีขึ้นแต่หลิงอวี๋และเผยอวี้ต่างก็มิได้สังเกตว่า สายตาที่เถาจื่อมองพวกเขานั้นค่อนข้างแปลก ทั้งยังแฝงความเกลียดชังอยู่ในนั้นด้วย“เช่นนั้นทางที่ดีพวกเรารีบไปจากแดนเทพกันเถิด!”วิกฤตในวันนี้ ทำให้เซียวหลินเทียนและเผยอวี้ตระหนักถึงอันตรายของการอยู่ในแดนเทพต่ออำนาจของพวกเขาในแดนเทพนั้นมิอาจเทียบกับเจ้าแห่งทะเลได้ พลังก็สู้เจ้าแห่งทะเลมิได้ การรีบไปจากแดนเทพต่างหากจึงจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก เมื่อทำเสร็จแล้วค่
เจ้าแห่งทะเลมองท่านอาสุ่ยอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย ท่าทางของท่านอาสุ่ยดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บภายในจริง ๆ ท่าทางของหลิงอวี๋เมื่อครู่ก็มิได้ดูดีนักการประลองของทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย!แต่ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้จริงหรือ?“เจ้าเห็นหรือไม่ว่านางใช้หยกหล้าสุขาวดีอย่างไร?”เจ้าแห่งทะเลซักต่ออย่างมิยอมปล่อยท่านอาสุ่ยส่ายหัว “หม่อมฉันสร้างภาพลวงตาให้หลิงอวี๋ นางเองก็ทำเช่นกันเพคะ นางใช้พลังจิตในการใช้หยกหล้าสุขาวดี ตั้งแต่ต้นจนจบหม่อมฉันมิเคยเห็นหยกหล้าสุขาวดีปรากฏออกมาเลยเพคะ!”“เจ้าแห่งทะเล ท่านเคยตรัสว่าหยกหล้าสุขาวดีหลอมรวมกับหลิงอวี๋แล้วมิใช่หรือเพคะ?”“หยกหล้าสุขาวดีอยู่ในร่างของนาง นางแค่คิดก็สามารถใช้หยกหล้าสุขาวดีได้แล้ว!”เมื่อท่านอาสุ่ยนึกถึงคำสั่งที่หลิงอวี๋ทิ้งเอาไว้ในจิตของตน นางก็อยากจะให้หลิงอวี๋ตายไปเสียใครจะชอบให้คนที่สามารถทำให้ตนกลายเป็นคนโง่ได้ทุกเมื่อมีชีวิตอยู่กัน!ในเมื่อตนมิสามารถจัดการกับหลิงอวี๋อย่างเปิดเผยได้ เหตุใดมิใช้อำนาจของเจ้าแห่งทะเลกำจัดภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้เล่า!“เจ้าแห่งทะเล หม่อมฉันคิดว่าท่านไปนำหยกหล้าสุขาวดีของนางมาใ
หลิงอวี๋แย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “หลังจากออกไปแล้ว หากท่านทำตัวดี มิทำเรื่องชั่วช้าอีก ท่านก็จะมีชีวิตสงบสุขไปจวบจนแก่เฒ่า!”“แต่หากท่านกล้าไปร่วมมือกับคนชั่วแล้วมาหาเรื่องข้าอีก ทะเลทรายแห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ฝังศพของท่าน!”“เจ้าทำอะไรกับข้า?”ท่านอาสุ่ยเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจและสงสัย“ท่านเชี่ยวชาญวิชาดูดกลืนวิญญาณ ก็น่าจะรู้ว่าข้าสามารถทิ้งคำสั่งไว้ในจิตสำนึกของท่านได้ หากมิไปกระตุ้นคำสั่งนี้ ก็จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น!”“ทว่าหากไปกระตุ้นมัน ท่านก็จะกลับมาอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้อีกครั้ง!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาอย่างมีความหมาย “นี่นับว่าเป็นการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ท่านให้ข้าเรียกท่านว่าแม่!”ท่านอาสุ่ยตกตะลึง แต่นางมิได้แข็งแกร่งเท่าหลิงอวี๋ แม้ว่าจะมิพอใจกับวิธีการนี้ของหลิงอวี๋แต่ก็มิอาจต่อต้านได้“ออกไปเถิด ท่านเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรบอกกับเจ้าแห่งทะเลว่าอย่างไร!”หลิงอวี๋จึงเปลี่ยนความคิดในใจ จากนั้นท่านอาสุ่ยและนางก็ออกจากภาพลวงตามาสู่ความเป็นจริงทั้งสองคนต่างก็ล้มลงไปกับพื้นพร้อมกันการประลองพลังจิตครั้งนี้สิ้นเปลืองพลังของทั้งสองคนไปเป็นอย่างมาก แม้ว่าหลิงอวี๋จะชนะ แต่ปฐม
หลิงอวี๋มิได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกเลยแม้แต่น้อย นางและท่านอาสุ่ยยังคงต่อสู้กันอยู่ในภาพลวงตาพลังของท่านอาสุ่ยสูงกว่าของหลิงอวี๋ ดังนั้นหลิงอวี๋จึงต้านอย่างยากลำบากมากขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะต้านมิอยู่นั้น จู่ ๆ นางก็นึกถึงหยกหล้าสุขาวดีขึ้นมาเย่ซงเฉิงเคยบอกไว้มิใช่หรือว่า หยกหล้าสุขาวดีนี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เหนือกว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ความลับของมันมีเพียงตนเท่านั้นที่จะเข้าไปสำรวจได้?ส่วนการสูญเสียความทรงจำสามารถทำให้ตนละทิ้งข้อจำกัดของอดีต ทำความรู้จักตนเองใหม่อีกครั้ง และไปสำรวจความลึกลับของหยกหล้าสุขาวดีได้!เย่ซงเฉิงสามารถสร้างภาพลวงตาที่ใหญ่โตถึงเพียงนั้นให้ตนได้ นี่มิใช่สิ่งที่พลังของเขาสามารถทำได้แน่นอน!เขาแค่ใช้อิทธิฤทธิ์ของหยกหล้าสุขาวดีของตนมาสร้างภาพลวงตาให้กับตนในเมื่อเขาสามารถใช้ตนกระตุ้นศักยภาพของหยกหล้าสุขาวดีได้ แล้วเหตุใดตนที่อยู่ในฐานะเจ้าของหยกหล้าสุขาวดีจะมิสามารถใช้ได้เล่า?หลิงอวี๋คิดแล้วก็หลับตาลง จากนั้นในหัวของนางก็ตั้งสมาธิแน่วแน่นึกถึงทะเลทรายในชั่วพริบตาบริเวณรอบ ๆ ก็เป็นทะเลทรายทั้งหมด ทะเลทรายสีเหลืองทองนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แล้วนางก็