เสียงกระซิบชื่นชมพระชายาหวังหยู่ยังดังไปทั่วงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งกายที่งดงาม ลวดลายผ้าปักที่ละเอียดอ่อน และท่าทางที่สง่างาม บางคนถึงกับเปรียบหวังหยู่กับหงส์ในตำนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนองค์รัชทายาทหลี่หยางที่ยืนอยู่ข้างพระชายาได้ยินคำชื่นชมเหล่านั้นชัดเจน แม้เขาจะยังคงรักษาสีหน้าที่สงบนิ่งและท่าทีมั่นคงตามปกติ แต่ในใจลึก ๆ ของเขากลับรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความรู้สึกนั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาที่จ้องมองมาทางหวังหยู่พระชายาของเขา ไม่ใช่เพียงแค่ความชื่นชมธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าหลายคนจะให้ความสนใจในตัวหวังหยู่มากเกินไปในแบบที่เขาเองไม่เคยสังเกตมาก่อนในขณะที่หวังหยู่ยืนยิ้มและตอบรับคำทักทายของแขกเหรื่ออย่างสุภาพและอ่อนโยน หลี่หยางเริ่มรู้สึกถึงความหึงหวงที่เขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว เขาจ้องมองไปที่พระชายาที่กำลังพูดคุยกับแขกที่เข้ามาทักทาย ดวงตาของหวังหยู่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ท่าทางที่ดูสง่างามทำให้ทุกคนประทับใจ แต่สิ่งเหล่านั้นกลับทำให้องค์รัชทายาทหลี่หยางที่เป็นพระสวามีอย่างเขารู้สึกไม่พอใจอย่
ในที่สุดวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง วันคล้ายวันเกิดของฮองเฮา งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในพระราชวัง แขกเหรื่อจากหลายแคว้นรวมถึงขุนนางและบุคคลสำคัญต่างก็เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ ทุกคนต่างเตรียมตัวอย่างดีเพื่อเข้าร่วมพิธีที่สำคัญ และพระชายาหวังหยู่ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นหลังจากที่ทุ่มเทกับการปักผ้าลายหงส์เพื่อเป็นของขวัญให้ฮองเฮา และดูแลร่างกายด้วยอาหารบำรุงที่หลี่หยางส่งมาให้ วายุในร่างของหวังหยู่ก็รู้สึกพร้อมที่จะเข้าร่วมงานครั้งนี้ ชุดแต่งกายที่องค์รัชทายาทหลี่หยางเตรียมไว้ให้ถูกนำมาใส่พร้อมกับการจัดแต่งผมและเครื่องประดับที่แสดงถึงฐานะพระชายาขององค์รัชทายาท ทุกอย่างถูกเตรียมอย่างประณีตจนไร้ที่ติวายุยืนอยู่หน้ากระจก ยามที่เขามองตัวเองในกระจก เขาแทบไม่เชื่อว่าภาพที่เห็นเป็นตนเอง ชุดสีขาวทองที่เขาสวมใส่ตัดเย็บอย่างพอดี ประดับด้วยลวดลายหงส์งดงาม แต่ละรายละเอียดสะท้อนถึงความสง่างามและฐานะที่สูงส่งของเขาขณะที่วายุยังคงตรวจดูความเรียบร้อยของชุด หลี่หยางเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ เพื่อมารับพระชายาไปร่วมงานในวัง เขาเดินเข้ามาโดยไม่ส่งเสียง แต่ดวงตาคมกริบของเขากลับจับจ้องไปที่ร่างของหวั
หลังจากที่หลี่หยางเดินออกจากตำหนักไป วายุในร่างของหวังหยู่ยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม อยู่กับความรู้สึกประหลาดใจกับการที่หลี่หยางมาแอบดูเขาในขณะที่กำลังปักผ้าและคำชมที่ไม่คาดคิด แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ่งประหลาดใจกว่านั้นก็คือ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เหอเฉียงองครักษ์ของหลี่หยางได้นำของบำรุงต่าง ๆ มามอบให้เขาอย่างไม่ทันตั้งตัว วายุที่นั่งพักผ่อนอยู่ในห้องหลังจากเก็บผ้าที่ปักเสร็จเรียบร้อย ได้ยินเสียงคนรับใช้เคาะประตูห้องเบา ๆเพื่อขออนุญาต ก่อนที่นางกำนัลคนหนึ่งจะเดินนำหน้าร่างสูงขององครักษ์เหอเฉียงที่ถือถาดที่เต็มไปด้วยของบำรุงทั้งอาหารและยาสมุนไพรเข้ามา “พระชายา องค์รัชทายาทให้ข้านำของบำรุงเหล่านี้มาให้ท่านพะยะค่ะ” องครักษ์เหอเฉียงกล่าวด้วยความเคารพ ก่อนจะนำถาดมาวางลงตรงโต๊ะไม้หน้าพระชายาหวังหยู่ วายุขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน เขาไม่คาดคิดว่าองค์รัชทายาทหลี่หยางผู้เย็นชากับเขามาตลอดจะให้คนมาเอาของบำรุงมามอบให้ “องค์รัชทายาท ได้บอกหรือไม่ว่าทำไมถึงได้ให้นำของเหล่านี้มาให้ข้า” องครักษ์เหอเฉียงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ “องค์รัชทายาทเห็นว่าพระชาย
หลังจากที่ได้รับคำสั่งให้เตรียมตัวเข้าร่วมงานวันเกิดของฮองเฮาและต้องเตรียมของขวัญที่มีความหมายเพื่อถวายแด่องค์ฮองเฮา วายุในร่างของหวังหยู่ก็ได้ให้หลิงซีนางกำนัลคนสนิทออกไปหาซื้ออุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องการให้ และกำชับว่าห้ามให้ใครรู้โดยเฉพาะท่านกงกงเวินเหา องครักษ์เหอเฉียงและโดยเฉพาะองค์รัชทายาท เพราะถ้าคนอื่นรู้ก็ต้องบอกหลี่หยาง เขาไม่อยากให้หลี่หยางรู้เพราะเดี๋ยวจะมาดูถูกและคอยป่วนประสาทเขาอีก พอได้อุปกรณ์ที่ต้องการมาครบ วายุก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการปักผ้าลายหงส์ที่ตั้งใจจะนำไปถวายฮองเฮา เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เพียงของขวัญธรรมดา แต่เป็นโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในสายตาของทั้งราชวงศ์รวมถึงแขกต่างแคว้น และที่สำคัญคือให้ประจักต่อสายตาขององค์รัชทายาทหลี่หยางผู้เป็นสวามีที่คอยถากถางเขาดีนัก วายุนั่งอยู่บนโต๊ะภายในตำหนักของตนเอง เขาตั้งใจจดจ่อกับการปักผ้าด้วยความละเอียดและตั้งใจอย่างที่สุด ผ้าไหมสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้าเป็นผืนผ้าที่เรียบง่าย วายุร่างแบบออกมาดูก่อนว่าต้องลงส่วนไหนบ้างคร่าวๆ แต่เมื่อเขาเริ่มลงมือปักด้วยไหมสีทองและแดง ลวดลายหงส์ก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ทุกการแทงเข็
หลังจากที่องค์รัชทายาทหลี่หยางเดินออกจากตำหนักไปได้ไม่นาน เหลือไว้ก็แต่ความขุ่นเคืองใจของวายุ ก็ยังคงรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้หลี่หยางจะเปลี่ยนท่าทีดีขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความยากที่จะเข้าใจเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเหมือนเย็นชาแต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือยังเป็นคนปากร้ายเช่นเดิม ถ้าเป็นยุคปัจจุบันวายุคงเรียกองค์รัชทายาทว่าคนผีเข้าผีออก อารมณ์ราวกับคนวัยทอง พอพ้นร่างสูงของหลี่หยางไปวายุก็นอนต่อด้วยความอ่อนเพลีย แต่ไม่นานนักความสงบในตำหนักก็ถูกขัดจังหวะด้วยการกลับมาขององค์รัชทายาทหลี่หยางอีกครั้ง พร้อมกับข่าวสำคัญที่เพิ่งได้รับสารมาจากฮ่องเต้องค์รัชทายาทหลี่หยางเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าจริงจัง และในมือของเขามีชุดแต่งกายที่สวยงาม ทันทีที่เขาเห็นหวังหยู่ยังนอนหลับอยู่ เขาก็หงุดหงิดก่อนจะเอ่ยปากเสียงดังปลุกอีกคนให้ตื่นขึ้นมาเพื่อแจ้งข่าวสำคัญโดยไม่รอช้า“หวังหยู่ตื่นก่อน อย่ามัวแต่ขี้เกียจนอนกินบ้านกินเมือง“วายุได้ยินเสียงดังของอีกฝ่ายก็งัวเงียตื่นขึ้นมา “ข้าก็เห็นตำหนักของท่านยังอยู่ครบอยู่นี่นา มากล่าวหาว่าข้ากินบ้านกินเมืองได้ยังไง ท่านมีอะไรก็ว่ามา ข้าเพลียอยา
วายุในร่างของหวังหยู่กำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงอย่างผ่อนคลาย ขณะที่รู้สึกถึงมือนุ่มนวลที่ค่อย ๆ นวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยที่แผ่นหลังจากการประลองและการฝึกที่หนักหน่วง เขาค่อย ๆ ปล่อยความตึงเครียดในร่างกายออกไป ลมหายใจของเขาเริ่มสงบและผ่อนคลายมากขึ้น ความเจ็บปวดที่สะสมอยู่เริ่มทุเลาคลายความเจ็บลง จากการนวดที่อ่อนโยนเปลี่ยนเป็นเน้นหนักบริเวณที่กล้ามเนื้อเขาที่มันกำลังตึงเกร็งจากการที่ใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป การนวดแบบนี้มันช่างเหมือนกับการนวดแผนไทยสมัยที่ไปเป็นเพื่อนคุณแม่ไปนวดทำสปาคลายเส้นจริงๆ มันโล่งและเบาสบายมาก “ฝีมือนวดเจ้าดีมากเลยหลิงซี น้ำหนักมือกำลังดี ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไป ทำให้ข้าผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย วันหลังหลิงซีช่วยสอนวิธีการนวดให้ข้าหน่อยได้ไหม ข้าชอบจังเลย เจ้าทำดีมาก ขอบจะ...” วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย โดยไม่ทันได้หันกลับไปมองหลิงซีนางกำนัลส่วนตัวผู้ที่กำลังนวดให้เขา แต่เมื่อวายุกำลังจะหันไปขอบคุณหลิงซี ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น บุคคลที่เขาเห็นกลับไม่ใช่นางกำนัลคนสนิทที่เขาคิดว่ากำลังนวดอยู่ให้ แต่กลับเป็นใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทหลี่หยางที่นั่งอยู่ตรงนั้