ระยะปลอดเพื่อน
ตอนที่ 6
วันต่อมา
หลังจากนอนคิดมาแล้วทั้งคืนว่าถึงยังไงก็คงจะต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะให้ย้ายออกก็เปลืองเงินโดยใช่เหตุ แม้จะอยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็แยกห้องนอนอยู่ดี ฉันเลยพยายามจะไม่คิดมากเรื่องที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมชายคากับสอง
แค่พยายามไม่ใกล้ชิดมากไปก็คงพอ…
แต่มันก็ได้แค่คิด เพราะดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน…
แค่เดินออกมาจากห้องก็เห็นว่าสองนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แต่วันนี้เจ้าตัวแต่งตัวเตรียมออกไปทำงานเรียบร้อย ในมือถือมาม่าคัพรสเย็นตาโฟเหมือนเคย
ฉันละสายตากลับมา พยายามดึงสติไม่ให้คิดถึงภาพในอดีตตอนที่เราอยู่หอรวมกับเพื่อนคนอื่น สองมักจะเป็นคนที่ตื่นก่อนทุกคนเสมอ และทุกเช้าก็จะต้องกินไอ้ถ้วยสีชมพูนั่นราวกับเป็นกิจวัตรประจำวัน
หลายปีผ่านไปก็ยังชอบอะไรเหมือนเดิม…
ฉันรีบใส่รองเท้าเพื่อที่จะเลี่ยงการสนทนา แล้วรีบเดินออกจากห้องโดยไม่คิดจะเอ่ยปากทักทายใด ๆ
แต่ระหว่างที่ยืนรอลิฟต์อยู่นั่นเอง อีกคนก็เดินตามออกมา ทั้งปากก็ยังคงเคี้ยวอยู่ ยกถ้วยมาม่าขึ้นกินด้วยท่าทีชิลล์ ๆ ก่อนจะเดินมาหยุดยืนที่ข้าง ๆ
“ติดรถไปด้วยได้ปะ?”
“ไม่เอา” ฉันปฏิเสธทันที
“เอา เดี๋ยวนี้น้ำมันแพง”
“แพงมากก็โบกวินมอเตอร์ไซค์ไปสิ”
“แค่ขอติดรถไปเอง แล้งน้ำใจโคตร”
“ไม่เอา เราอยากไปคนเดียว”
“ไปก็ไปที่เดียวกัน จะไปทำไมสองคันให้เปลืองน้ำมัน”
“…”
สุดท้ายก็ได้แต่กลอกตามองบนอย่างเหนื่อยใจ ขี้เกียจจะเถียงต่อ เพราะดูท่าอีกคนจะไปด้วยให้ได้อยู่ดี เรื่องเปลืองเงินอะไรนั่นไม่ใช่ปัญหากับลูกคนมีกะตังค์อย่างสองหรอก คงแค่อยากจะกวนกันมากกว่า
ถึงสองจะไม่ได้รวยเหมือนโซ่ซึ่งที่บ้านทำธุรกิจอสังหาฯ แต่เจ้าตัวก็รวยในระดับที่มีเบนซ์ขับเพราะฉันเห็นกุญแจรถวางส่งเดชทิ้งไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง แม้เราจะทำงานที่เดียวกัน แถมสองยังมีสถานะเป็นลูกทีม แต่ฉันก็รู้ดีว่าบ้านเพื่อนเป็นคนมีฐานะพอสมควร
และใช่… ไม่กี่นาทีถัดมาก็ได้เห็นคนตัวโตนั่งอยู่ข้าง ๆ กันบนรถ มือจับนู่นจับนี่ไปเรื่อย ฉันได้แต่นั่งเงียบอย่างจำใจ แม้จะยอมให้มาด้วยกันเพราะก็เห็นด้วยกับที่สองอ้างเรื่องไปที่เดียวกันก็ควรไปคันเดียวกัน
กระนั้นอีกฝ่ายชวนคุยอะไร ฉันก็แกล้งทำเป็นเมิน ตั้งหน้าตั้งตาขับรถท่าเดียว
ถามว่าอีกคนหยุดพล่ามไหม?
ก็ไม่…
ไอ้ที่ตั้งใจว่าจะอยู่ห่าง ๆ คงจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด บอกไปหรือยังว่าเพื่อนที่หน้าด้านหน้าทนที่สุดเท่าที่ฉันเคยมี ก็สองนี่ไง…
13.00 น.
“คุณแยมรู้ถึงสาเหตุที่ต้องย้ายมาช่วยที่นี่แล้วใช่ไหม?”
“แยมทราบมาแค่คร่าว ๆ ค่ะพี่อ้อย”
เอกสารปึกใหญ่ถูกเลื่อนมาตรงหน้าฉัน ในห้องทำงานของพี่อ้อยมีแค่เราสองคนเท่านั้นที่กำลังคุยกันอยู่คนละฝั่งของโต๊ะทำงานตัวใหญ่
เจ้าของห้องยกยิ้มเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นนัยน์ตาก็มีแววเคร่งเครียดจริงจัง ในขณะที่ฉันเปิดเอกสารดูทีละหน้า อีกฝ่ายก็พูดต่อ
“ยอดขายของบริษัทเราตกอย่างต่อเนื่องมาสองสามปีแล้ว”
“ค่ะ”
“เห็นว่าตอนคุณแยมอยู่ที่นู่นช่วยงานคุณกานต์ได้เยอะเลย”
“แยมทำเท่าที่ทำได้ค่ะ”
“แต่เท่าที่พี่ฟังมา คุณกานต์บอกว่าคุณแยมมีความสามารถ และเป็นคนทำงานเก่ง นี่คือสาเหตุที่ทางนู้นส่งคุณแยมมาช่วยดึงยอดของบริษัทเราไง”
“แยมจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ”
ฉันยิ้มให้พี่อ้อย พลางก็เลื่อนสายตาดูกราฟยอดขายของปีที่แล้วในแผ่นกระดาษที่ดิ่งลงทุกไตรมาส อันที่จริงก็รู้อยู่ก่อนแล้ว แต่พอมาเห็นของจริงก็แอบหนักใจไม่น้อย
“มันไม่ใช่แค่เรื่องวัดผลที่เราจะต้องมาดูกันทีหลัง พี่มีอีกเรื่องต้องบอกคุณแยมไว้ด้วย”
น้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง ประกอบกับการขยับตัวนั่งหลังตรงของพี่อ้อยทำให้ฉันต้องปิดเอกสารลงเงยหน้าขึ้นมอง
“ทีมบริหารคุยกันเรื่องนี้เมื่อเดือนก่อนเพราะยอดขายมันย่ำแย่อย่างที่ได้เห็น…”
“…”
“เราคิดว่าอาจจะต้องยุบทีมนี้ลง หากว่ายอดขายยังไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้”
“พี่อ้อยหมายถึง…”
“ไม่เกี่ยวกับคุณแยมหรอก ที่ดึงเอาคุณแยมมาเพราะเราต้องการคนเก่งมาช่วยงาน แต่พี่กำลังหมายถึงคนอื่น ๆ”
“ในทีมเหรอคะ?”
“ทุกคน”
“…”
“จริง ๆ ทางบริษัทจะเชิญออกโดยให้เงินชดเชยเลยก็ย่อมทำได้ แต่เพราะหลายคนก็อยู่กันมานานตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เลยอยากจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย”
“…”
“พี่ต้องบอกคุณแยมเพราะอย่างน้อยคุณก็เป็นหัวหน้าโปรเจกต์นี้ แต่เรื่องที่พี่จะขอก็คือรบกวนคุณแยมอย่าบอกเรื่องนี้ให้คนในทีมรู้”
“ทำไมล่ะคะ?”
“เพราะเราอยากจะทดสอบความสามารถของทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย หากบอกไปบางคนอาจจะตั้งใจทำงานขึ้นมาก็จริง แต่ก็ไม่รับรองผลการทำงานในอนาคต แต่บางคนอาจไม่มีแก่จิตแก่ใจทำงาน และอาจจะลาออกกลางคันเลยก็เป็นไปได้”
“ค่ะ”
“ยังไงทุกคนก็อยู่กันมานาน พี่ก็อยากให้รอดไปด้วยกัน ถึงแม้จะเพิ่งมาร่วมงานกัน แต่พี่ก็หวังว่าคุณแยม…”
“พี่อ้อยไม่ต้องห่วงค่ะ แยมจะพยายามเต็มที่”
ฉันยิ้มให้คนตรงหน้าที่มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ปากจะยิ้มแต่ใจฉันเองก็ตระหนกกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไม่น้อยเหมือนกัน
การมารับงานในตำแหน่งนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เสียแล้ว เพราะมีเรื่องของตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อีกนัยหนึ่งก็หมายรวมไปถึงต้องการพิสูจน์ความสามารถของฉันไปในตัว
เจองานช้างเข้าแล้วสินะแยม…
ตอนค่ำ
ตอนแรกฉันก็กะว่าจะไม่ไป…
แต่เพราะเพื่อนทุกคนเอาแต่เร่งเร้าให้ไปเจอหน้ากันหลังจากที่ไม่ได้นัดครบทีมกันมานาน สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาแต่งตัวตอนเกือบจะหนึ่งทุ่ม
และสองก็นั่งรออยู่ก่อนแล้วที่โซฟา แค่เห็นว่าฉันเดินออกมา เจ้าตัวก็ดีดตัวลุกขึ้นยืนหันไปคว้าเอาหมวกมาสวมทันที
เรือนร่างสูงโปร่งของเพื่อนต่างไปจากตอนกลางวันซึ่งแต่งตัวไปทำงานด้วยเชิ้ตกับสแล็กส์เรียบร้อย สองอยู่ในชุดหล่อที่เห็นแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าดูดีมาก
ดวงหน้าขาวสะอาดยกยิ้มมุมปากเลื่อนสายตามองกันไม่ต่างจากที่ฉันมอง แม้จะไม่ได้เอ่ยปากแซวใด ๆ แต่ฉันก็ขัดเขินกับสายตาแบบนั้นอยู่ดี
นอกเวลาทำงานฉันมักจะเลือกใส่เสื้อผ้าสไตล์เซ็กซี่อยู่เสมอเพราะความชอบส่วนตัว แต่เพราะสายตาของสองทำให้อยากจะเข้าไปเปลี่ยนเอาเสื้อยืดกับกางเกงขายาวมาใส่แทนเดรสสั้นสีเลือดนกแหวกกลางอกที่กำลังใส่อยู่ให้รู้แล้วรู้รอด
ก็ยังดี… ที่อีกคนไม่มาปากมากอะไรเอาเวลานี้ ไม่งั้นคงได้เปลี่ยนเข้าให้จริง ๆ สองก็แค่มอง…
“ไปรถเราก็ได้” คนที่เดินนำออกจากห้องไปก่อนเอ่ยขึ้น “ตอนไปทำงานก็ไปรถแยม เวลาไปข้างนอกก็ไปรถเราแบบนี้ดีปะ?”
“ต่างคนต่างไปก็ได้” ฉันตอบส่ง ๆ แต่ก็ขี้คร้านจะขัด
“ตามนี้แหละ” ก็เพราะสุดท้ายแล้วสองก็เอาแต่ใจตัวเหมือนเคย
ไม่นานเรามาถึงสถานที่ซึ่งนัดกันกับคนอื่นไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงจากรถ คนขับก็หันมาคว้าแขนฉันเอาไว้เสียก่อน พอหันไปมอง เจ้าตัวก็ทำหน้าแปลกไปกว่าทุกที
“มีอะไร?”
“จริง ๆ เราไม่อยากจะก้าวก่าย”
“งั้นลง”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”
“มีอะไรก็พูดมาสิ”
“…”
คนข้าง ๆ ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยักพเยิดมาทางฉัน สายตามองต่ำลงที่ช่องว่างระหว่างทรวงอกซึ่งมองเห็นร่องนมที่ก็อาจจะมากเกินพอดีไปหน่อย
“ตอนแรกก็ว่าสวยดี…”
“ทะลึ่งอีกแล้ว!”
“เฮ้ย อย่าเพิ่งตี”
“ก็เอาแต่ลามก!”
“เออ ไม่ปฏิเสธหรอก ผู้ชายก็ลามกงี้ทั้งนั้น”
“ทุเรศ!”
“เฮ้ย! เจ็บ ๆ เล็บยาวขนาดนี้ เนื้อเราหลุดขึ้นมาทำไง?”
“เจ็บสิดี!”
“ก็นมเท่าหัวเด็ก ใครมันจะไม่มอง!”
“สอง!”
ฉันตั้งท่าจะทึ้งหัวเพื่อนสักที แต่สองกลับคว้ามือเอาไว้ได้ทัน หัวเราะเสียงดัง ไม่ได้สำนึกอะไรทั้งนั้น นัยน์ตาเป็นประกายมองกันอยู่ครู่ก็เอี้ยวตัวไปที่เบาะหลัง คว้าเอาอะไรสักอย่างมาโยนให้
“นี่อะไร?”
“ใส่คลุมหน่อยเหอะ นี่ขนาดเราไม่ได้ตั้งใจจะมองยังเห็นไปถึงไหนต่อไหน เมื่อกี้นี่แทบไม่มีสมาธิขับรถเลยนะ”
“นี่แอบมองนมเราตลอดทางเลย?”
“นิดหน่อยเอง”
“…” ใกล้จะบ้าแล้วนะเอาจริง ๆ
“เราแค่เป็นห่วง ถึงไอ้พวกนั้นจะเป็นเพื่อนเรา แต่ยังไงก็มีแต่ผู้ชาย” น้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อยเอ่ยต่อ แต่ย้ำว่าแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ฉันส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“เราต้องห่วงตัวเองที่อยู่กับสองมากกว่า”
“โห! แล้วจะแรงเพื่อ?” ถึงจะร้องบอกแบบนั้น แต่สีหน้าสองก็ไม่ได้สลดลงแม้แต่น้อย ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเหมือนเดิม
“เราไม่ใส่ เราอยากแต่งตัวสวย ๆ ถ่ายรูป” ฉันปฏิเสธด้วยการโยนเสื้อคืนไป
“ไม่เอา”
“อย่างอแงดิ๊” ประโยคนี้ฉันพูดเอง และนั่นทำให้คนที่โตแต่ตัวเริ่มจะกลอกตามองบนส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ
ใช่ว่าไม่เคยเห็นไอ้อาการแบบนี้… บอกเลยว่าเห็นมาจนชิน…
ก็แค่ไม่ได้เห็นมานานแล้วเท่านั้น…
สุดท้ายเราก็เดินลงมาจากรถ โดยที่ฉันก็ยังยืนยันที่จะไม่คลุมอะไรทั้งนั้น ถึงอีกคนก็เลิกโน้มน้าว กลับเดินมาทิ้งแขนคล้องคอกันแบบที่เล่นเอาฉันสะดุ้งสุดตัว
“สอง”
ฉันพยายามจะสะบัดเอาแขนคนข้าง ๆ ออก เพราะไม่ได้เจอกับการกระทำแบบนี้มานานมากแล้ว แต่คนสูงกว่ากลับโน้มใบหน้าลงมาจนใกล้
“เราคิดถึง”
“…”
“ไม่ได้กอดคอแยมแบบนี้ตั้งนาน”
“…”
สองยังคงยิ้มกว้างอยู่อย่างนั้น เป็นฉันเองที่แทบจะเสียอาการกับน้ำเสียงแหบห้าว กับนัยน์ตาเป็นประกายที่จดจ้องกันในระยะประชิด
ก็โชคยังดีที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้ทัน รีบสะบัดแขนสองออก ก่อนจะสับเท้าหนี แบบที่เกือบจะเรียกได้ว่ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเลยทีเดียว
เสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของอีกคนยังคงดังไล่หลังตามมา…
รู้หรือยัง…
ว่าทำไมฉันในตอนนั้นถึงได้หลงรักเพื่อนสนิทตัวเองเข้าเต็มเปา…