หมอหนุ่มไฟแรงที่ไม่เคยมีความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย กลับต้องมาพัวพันกับหญิงสาวประหลาดที่เอาเเต่พูดเรื่องผีกับเขาทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ‘ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคนเพ้อเจ้ออย่างเธอ’
view more“คุณแม่ครับเรากำลังจะไปไหนกันเหรอครับ?”
เด็กชายพีรดนย์ ธาดาศิริกุล หรือน้องเพิร์ชในวัย 5 ขวบ ลูกเสี่ยวไทย จีน และอังกฤษเอ่ยถามมารดาที่นั่งอยู่ข้างๆ ออกมาด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปมองบิดาของเขาที่กำลังขับรถฝ่าสายฝนอย่างไม่เข้าใจ ทันทีที่เด็กชายลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนตักของคุณแม่ แทนที่จะนอนอยู่บนเตียงนอนหนานุ่มของตัวเองที่คฤหาสน์หลังงามอย่างเช่นทุกวัน
“เรากำลังไปอุบลราชธานีกันครับ”
“ไปทำไมเหรอครับ?” เด็กชายลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยถามหมอพอลคุณพ่อของเขาออกไปด้วยความสงสัยอีกครั้ง
“พ่อมีธุระด่วนต้องไปจัดการที่โรงพยาบาลของเราน่ะครับ”
“...”
“พ่อกับแม่จำเป็นต้องเอาลูกมาด้วย ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกลูกก่อน” แมรี่แม่ของเด็กชายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอย่างเช่นทุกครั้ง มือบางลูบลงที่หัวน้อยของลูกชายอย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไรครับแม่ เรื่องด่วนนี่นา...” เด็กชายเอ่ยบอกกับพ่อและแม่ของเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่สดใสอย่างเช่นทุกครั้ง
เพิร์ชเหม่อมองออกไปยังนอกกระจกรถตามประสาของเด็ก สายฝนที่ยังคงตกกระหน่ำทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของเขาเต้นโครมครามราวกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ภายในรถคันเดียวกันกับเขา
“พี่พอลค่อยๆ ขับนะคะฝนตกหนักมากเลย”
“ครับ...ว่าแต่ถนนเส้นนี้ไม่มีรถสักคันเลยเหรอ?” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยตอบรับคำของภรรยาสาว ก่อนที่เขาจะพึมพำออกมาด้วยความสงสัย พร้อมกับมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างเป็นกังวล ถ้าเขามาคนเดียวเขาคงไม่รู้สึกกังวลขนาดนี้ แต่นี่ลูกกับเมียของเขาติดตามมาด้วยเขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
“นั่นสิคะ? น้องนั่งสังเกตมาสักพักแล้วทั้งๆ ที่พึ่งจะ 1 ทุ่มเอง แต่ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาเลยสักคัน”
“น่าจะเป็นเพราะฝนตกคงไม่มีอะไรหรอกครับ”
“แต่ฟ้าเริ่มมืดแล้วนะครับคุณพ่อ” เพิร์ชขยับเข้าไปนั่งเกาะประตูรถ ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ เด็กชายเพ่งมองไปยังชายคนหนึ่งที่ยืนตากฝน พร้อมกับจับจ้องมาที่รถของเขาอยู่อีกฝั่งของถนน
คิ้วหนาของเด็กชายขมวดเข้าหากันด้วยอย่างไม่เข้าใจ เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นผู้ชายรูปร่างแบบนี้ยืนอยู่ริมถนนที่คุณพ่อของเขาพึ่งขับรถผ่าน แต่ทำไมถึง...?
“...”
“มีอะไรรึเปล่าเพิร์ช?” แมรี่ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยถามลูกชายเพียงคนเดียวของเธอออกมา ก่อนจะมองออกไปยังนอกกระจกรถที่ลูกชายของเธอกำลังจ้องมองอยู่
“คุณพ่อระวังครับ !!!”
เอี๊ยดดดดดดด!!!! โครมมมมม !!!!
“ว๊ายยยยย!! คุณคะ...” แมรี่ดึงลูกชายเข้ามากอดเอาไว้แน่น ก่อนที่เธอจะหันไปมองสามีบังคับรถที่กำลังเสียหลักด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
พอลเงยหน้าขึ้นมาจากพวงมาลัยรถก่อนที่เข้าจะมองเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ยื่นยิ้มอยู่ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ รถหรูของเขาเสียหลักพุ่งชนกับต้นไม้ใหญ่อย่างแรง แต่โชคดีที่พอลยังพอมีสติเขาจึงสามารถควบคุมรถเอาไว้ได้ ถ้าไม่อย่างนั่นรถอาจเสียหลักตกลงไปยังลำคลองข้างทางก็ได้
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” พอลหันมาถามภรรยากับลูกชายเพียงคนเดียวของเขาด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับมือหนาลูบลงที่หัวของภรรยาและลูกชายอย่างต้องการจะปลอบประโลม
“เพิร์ชไม่เป็นอะไรครับ”
“น้องก็ไม่เจ็บตรงไหนค่ะ ว่าแต่เราจะทำยังไงกันดีคะ?” แมรี่เอ่ยถามสามีออกมาเสียงสั่น ก่อนที่สายตาของเธอจะมองไปยังกลุ่มควันสีขาวตรงหน้าที่ค่อยๆ จางหายไปอย่างเป็นกังวล ในขณะที่ฝนด้านนอกยังคงตกลงมาไม่ขาดสายและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่ายๆ เสียด้วย
“รถคงไปต่อไม่ได้แล้วครับ ที่นี่ก็ไม่มีสัญญาณเสียด้วย...” พอลเอ่ยบอกกับภรรยาสาวก่อนที่เขาจะก้มดูโทรศัพท์ในมือของตัวเองอย่างคิดไม่ตก
เขาขับรถมาบนถนนเส้นนี้ได้สักพักแล้วโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาถูกทางหรือไม่ ปกติทุกครั้งที่เขาจะมาตรวจงานที่โรงพยาบาลของเขาในจังหวัดอุบลราชธานีเขามักจะมีคนขับรถมาให้เสมอ แต่ตอนนี้มันต่างไปจากทุกครั้ง...
คนขับรถทุกคนในบ้านต่างไม่ว่างเลยสักคน เกิดเรื่องด่วนที่โรงพยาบาลของเขาเกิดเหตุไฟไหม้ก็ไม่สามารถรอได้เสียด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องไปให้ถึงโรงพยาบาลของเขาให้ไวที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้...
“แม่ครับ...”
“ครับลูก เพิร์ชกลัวรึเปล่าครับ?” แมรี่เอ่ยถามลูกชายในอ้อมกอดออกมาด้วยความเป็นห่วง มือบางลูบลงที่หัวของเด็กชายต้องหน้าเบาๆ อย่างปลอบประโลม
“ไม่กลัวครับ แต่ว่า...”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!
“อุ๊ย!!” แม่รี่อุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่เธอจะรั้งลูกชายเข้ามากอดเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“คุณค่ะ เป็นอะไรรึเปล่าค่ะ?” เจ้าของเสียเคาะกระจกเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่ว่าเธอจะเอ่ยออกมาเท่าไหร่ก็ไม่ได้ทำให้คนในรถรู้สึกวางใจได้เลย
“ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?”
ทั้งสามคนภายในรถมองออกไปตามเสียงเคาะ ก่อนที่พอลผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่เขาจะเลื่อนกระจกข้างเขาลงเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามของหญิงสาวปริศนาด้านนอกกลับไปเสียงเรียบ
“ไม่มีครับพวกเราปลอดภัยดี”
“ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วจ๊ะ” หญิงสาวตอบกลับมาเสียงใส พร้อมกับเดินไปสำรวจรอบๆ รถหรู พร้อมกับคิ้วเรียวของเธอขมวดเข้าหน้ากันเล็กน้อยอย่างหนักใจ
“รถหน้าจะพังไปต่อไม่ได้แล้วจ้ะแม่”
“อยู่ในนี้นะครับ” พอลช่างใจอยู่สักครู่ก่อนที่เขาจะหันมาบอกกับภรรยาและลูกของเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างเช่นทุกครั้ง
“เดี๋ยวค่ะพี่พอล...จะออกไปดีเหรอคะ เราไว้ใจพวกเขาได้รึเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่ต้องห่วงครับ หลังจากที่พี่ลงไปแล้วน้องล็อครถเลยนะครับ”
“แต่ว่า...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเขาน่าจะเป็นชาวบ้านที่อยู่ระแวกนี้”
“ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดีนะคะ”
“หึหึ ไม่เป็นไรหรอกนะครับ เชื่อพี่สิ...” พอลเอ่ยบอกกับภรรยาสาวออกมาเสียงอ่อน พร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้เธออย่างเอ็นดู
“ก็ได้ค่ะ ระวังตัวด้วยนะคะ”
“ครับ”
ปึก!!!
“นี่ร่มจ้ะ”
“ขอบคุณครับ” พอลมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างคิดไม่ตก ก่อนที่เขาจะยกยิ้มออกมา และก้มหัวให้กับเธออย่างนอบน้อม พร้อมกับรับร่มที่เธอยื่นมาให้กับเขามาถือเอาไว้
ตาคมของชายหนุ่มมองไปยังหญิงสาวทั้งสองคนตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยถามพวกเธอออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“แถวนี้มีช่างบางไหมครับ?”
“ฝนตกหนักขนาดนี้หาช่างที่ไหนไม่ได้หรอกหนุ่ม” หญิงวัยกลางคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย
“เหรอครับ แล้วผมจะทำยังไงดีครับ ผมมีธุระต้องรีบไปทำน่ะครับ”
“คืนนี้พักที่นี่ก่อนเถอะ ถ้าขืนดันทุรังไปยังไงก็ไปไม่ถึง”
“หมายความว่ายังไงครับ?” ร่างสูงเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพึ่งจะได้ยิน
“แม่ฉันหมายความว่า...คืนนี้ไม่ว่าคุณจะหาทางออกไปจากที่นี่ยังไงก็ออกไปไม่ได้หรอกจ้ะ”
“ทำไมล่ะครับ?”
“อย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้เลย พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
“คือว่า...” พอลมองสองคนแม่ลูกอย่างไม่ไว้วางใจ เขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนมีวัตถุประสงค์อะไรถึงได้เข้ามาช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้แบบนี้ ถึงสองคนตรงหน้าจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะไม่เป็นภัยต่อเขา และครอบครัวของเขา
“พวกเราจะไม่บังคับคุณ ถ้าคุณคิดว่าอยู่มืดๆ กลางสายฝนตรงนี้แล้วจะปลอดภัยกว่าไปกับพวกเราก็แล้วแต่คุณ”
“...”
“ถ้าเลือกอยู่ที่นี่ก็ให้อยู่แต่บนรถ และไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรก็ตามหลังจากที่พวกเราไปแล้วห้ามลงจากรถมาดูเด็ดขาด”
“ทำไมละครับ?” พอลเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูจากภายนอกเธอน่าจะมีอายุมากกว่าเขาหลายปีออกมาด้วยความสงสัย
“หึหึ เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้หรอกนะคุณ เราไปกันเถอะลูก” เสียงของ ‘แม้น’ หญิงวัย 40 ปีเอ่ยบอกกับชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่เธอจะหันกลับมาบอกกับ ‘น้ำหนึ่ง’ ลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอในวัย 18 ปี ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอย่างเช่นทุกครั้ง
“...”
“เอาเป็นว่าทำตามที่แม่ของหนูบอกนะจ้ะ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”
พอลมองตามหลังหญิงสาวทั้งสองที่กำลังเดินห่างออกไปด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“เดี๋ยวครับ!!!”
ห้องทำงานของนายอาจารย์แพทย์พีรดนย์ ธาดาศิริกุล (ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก)ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!“เชิญครับ”“มาอยู่กันที่นี่เองทั้งคุณพ่อ คุณลูกเลยนะคะ”“ยิ้มมาขนาดนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอครับ” หมอพอลยกยิ้มออกมาก่อนที่เขาจะเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าออกมาสีหวานต่อหน้าต่อตาลูกชายเพียงคนเดียวของพวกเขา“แมรี่จับจองหนูน้ำมนต์ให้กับตาเพิร์ชเรียบร้อยแล้วค่ะ”“ว่าอย่างไรนะครับแม่?” เพิร์ชลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับเอ่ยถามคุณแม่ของเขาออกไปอย่างอึ้ง ชายหนุ่มจ้องมองไปยังหญิงวัยกลางคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพึ่งจะได้ยิน“เพิร์ชลูกต้องแต่งงานกับหนูน้ำมนต์”“ไม่มีทางครับ”“ทำไมล่ะ? น้องไม่ดีตรงไหน?”“ไม่ใช่ว่าน้องไม่ดีครับ แต่เราไม่ได้รักกัน และที่สำคัญเรารู้จักกันยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยนะครับ” เพิร์ชพยายามอธิบายให้กับมารดาของเขาได้ฟัง“นั่นแหละที่แม่กำลังจะบอก...เพิร์ชต้องทำอย่างไรก็ได้ให้น้องตกหลุมรัก และลูกก็ต้องรักน้องด้วย”“อะไรนะครับ?”“เดี๋ยวนี้หูไม่ดีแล้วเหรอเรา” แมรี่ยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยแซวลูกชายเพียงคนเดียวของเธออย่างเอ็นดู“แม่ครับ”“ลูกอาจจะจำไม่ได้เมื่อ 30 ปีที่แล้วยายแม้นเคยบอ
“...” น้ำมนต์ยืนหลบมุมพร้อมกับแอบมองร่างสูงยืนคุยกับหมอหนุ่มอีกคนอย่างหวาดกลัว ก่อนที่เธอจะหันหน้าไปทางซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวง น้ำมนต์เห็นเงาดำเต็มไปหมดจนไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี“อะ!!”น้ำมนต์ชะงักไปเล็กน้อยทันทีที่เธอเผลอหันกลับไปสบตาเข้ากับชายหนุ่มที่เธอพึ่งเดินชนเขา“เธอเป็นอะไรรึเปล่า?”“ญาติคนไข้น่ะไม่มีอะไรหรอก”“แต่เธอดูกลัวอาจารย์หมอนะครับ”“นั่นสิ...หน้าผมดูหน้ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” เพิร์ชพึมพำออกมาในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังลูกสาวของน้าน้ำหนึ่งอย่างไม่เข้าใจในท่าทางของเธอ“เราไปกันเลยไหมครับอาจารย์”“ครับ” “ฟู่!!! ไปได้สักที” น้ำมนต์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนที่เธอจะเดินกลับไปยังห้องรับรองเดิมที่มีแม่น้ำหนึ่งและป้าแมรี่นั่งรออยู่“น่าแปลกจริงๆ นะเนี่ย” ริมฝีปากบางพึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ เพียงแค่หมอเพิร์ชลูกชายของป้าแมรี่เดินห่างออกไปเธอก็ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว ‘อยู่ให้ห่างจากเขาเลยนะน้ำมนต์’ น้ำมนต์เอ่ยบอกกับตัวเองอยู่ภายในใจเช้าวันต่อมา...“ทำไมยายยังไม่ฟื้นอีกล่ะจ้ะแม่?”“ให้ยายพักผ่อนอีกหน่อยนะลูก”“แต่ยายนอนเยอะแล้วนะจ๊ะ”“คิดถึงยายรึไง หึหึ”
31 ปีต่อมา...ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“คุณท่านคะ บัวเองคะ”“เชิญครับ”“มีจดหมายส่งมาถึงคุณท่านค่ะ” แม่บ้านคนเก่าคนแก่ประจำตระกูลเอ่ยขึ้นมาอย่างนอบน้อม ก่อนที่ร่างอ้วนท้วมจะเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นซองกระดาษสีขาวสะอาดตาให้กับร่างสูงตรงหน้า“ขอบคุณครับ”“ถ้าไม่มีอะไรแล้วบัวขอตัวก่อนนะคะ”“ครับ”“จดหมายจากใครเหรอคะ?” แมรี่ที่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกลลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างสามี ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามเขาออกไปด้วยความสงสัย ปัจจุบันนี้การติดต่อสื่อสารทันสมัยขึ้นมากแล้ว ยังมีคนที่ใช้การติดต่อหากันทางจดหมายอยู่อีกอย่างนั้นหรือ...?“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ?”พอลตอบภรรยาของเขากลับไปก่อนที่มือหนาจะค่อยๆ เปิดซองจดหมายตรงหน้าออก ตาคมค่อยๆ กวาดสายตาอ่านตัวหนังสือตรงหน้าไปทีละบรรทัดจนกระทั่ง...“.../...” ทั้งคู่หันมามองหน้ากันทันทีที่อ่านจดหมายตรงหน้าจนจบ ก่อนที่หมอพอลจะต่อสายประสานงานกับทางโรงพยาบาล ADA โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่เขาเป็นเจ้าของในทันที“เดี๋ยวแมรี่ขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ”“ครับ”พอลขานรับคำของภรรยาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะต่อสายหาลูกชายเพียงคนเดียวของเขาในทันที เขาวางมือจากอาชีพหมอมาเกือบปีแล้ว
~~ แต๋น แต๋น แต๋น ~~รถอีแต๋นถูกขับเข้ามาจอดยังลานจอดรถบริเวณหน้าบ้านทรงไทยหลังใหญ่ ก่อนที่สองแม่ลูกจะเดินลงมาหยุดยืนอยู่ที่ท้ายรถของตัวเอง พร้อมกับเอ่ยบอกกับทั้งสามคนตรงหน้าออกไปด้วยน้ำเสียงที่สดใส“ถึงแล้วจ้ะ...”พอลเดินตามสองคนแม่ลูกเข้าไปภายในบ้านทรงไทยอย่างไม่วางใจ แต่เขาไม่ได้มีทางเลือกมากนักจะให้ลูกกับเมียของเขารออยู่ในรถที่จอดท่ามกลางสายฝนไปจนถึงเช้าก็คงจะไม่ปลอดภัย“เชิญตามสบาย ขาดเหลืออะไรก็บอกน้ำหนึ่งได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” แม้นเอ่ยบอกกับทั้ง 3 คนตรงหน้า ก่อนที่เธอจะเดินไปนั่งยังแคร่ไผ่ที่ประจำของเธอ“เดี๋ยวหนูไปเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนนะจ๊ะ”“ขอบคุณค่ะ” แมรี่เอ่ยบอกกับหญิงสาวตรงหน้ากลับไปอย่างนอบน้อม ก่อนที่เธอจะอุ้มลูกชายวัย 5 ขวบเศษไปนั่งลงยังแคร่ไม้ใกล้ๆ กับแม้น ท่าทางที่เป็นมิตรของพวกเธอทำให้แมรี่รู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด ถึงจะพึ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยกับทั้งสองคนอย่างบอกไม่ถูก“พี่แม้นอยู่กับหนึ่งสองคนเหรอคะ?” แมรี่เอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัย ตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่นอกจาก 2 คนแม่ลูกแล้วเธอก็ไม่พบใครอีกแมรี่รู้สึกประหลาดใจตรงที่บ้านหลังใ
“คุณแม่ครับเรากำลังจะไปไหนกันเหรอครับ?”เด็กชายพีรดนย์ ธาดาศิริกุล หรือน้องเพิร์ชในวัย 5 ขวบ ลูกเสี่ยวไทย จีน และอังกฤษเอ่ยถามมารดาที่นั่งอยู่ข้างๆ ออกมาด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นไปมองบิดาของเขาที่กำลังขับรถฝ่าสายฝนอย่างไม่เข้าใจ ทันทีที่เด็กชายลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนตักของคุณแม่ แทนที่จะนอนอยู่บนเตียงนอนหนานุ่มของตัวเองที่คฤหาสน์หลังงามอย่างเช่นทุกวัน“เรากำลังไปอุบลราชธานีกันครับ”“ไปทำไมเหรอครับ?” เด็กชายลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยถามหมอพอลคุณพ่อของเขาออกไปด้วยความสงสัยอีกครั้ง“พ่อมีธุระด่วนต้องไปจัดการที่โรงพยาบาลของเราน่ะครับ”“...”“พ่อกับแม่จำเป็นต้องเอาลูกมาด้วย ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกลูกก่อน” แมรี่แม่ของเด็กชายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอย่างเช่นทุกครั้ง มือบางลูบลงที่หัวน้อยของลูกชายอย่างเอ็นดู“ไม่เป็นไรครับแม่ เรื่องด่วนนี่นา...” เด็กชายเอ่ยบอกกับพ่อและแม่ของเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่สดใสอย่างเช่นทุกครั้งเพิร์ชเหม่อมองออกไปยังนอกกระจกรถตามประสาของเด็ก สายฝนที่ยังคงตกกระหน่ำทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของเขาเต้นโครมครามราวกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอกเสียให้ได้ ซ
Mga Comments