ราชสำนักต้าฉินเคร่งครัดในระเบียบพิธี โดยเฉพาะเสียงถวายพระพร มีข้อกำหนดแน่ชัดจักรพรรดิต้องใช้คำว่า ‘หมื่นปี’ไทเฮา ฮองเฮา องค์รัชทายาท พระชายาองค์รัชทายาท และอ๋องทั้งหลาย จึงจะสามารถได้รับคำถวายพระพรว่า ‘พันปี’สำหรับผู้อื่นหรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่ำกว่านั้น ล้วนไม่มีสิทธิ์ได้รับการถวายพระพรเช่นนี้ขณะที่เสียงถวายพระพร ‘พันปี’ ดังขึ้นข้างหู ซูจิ่นพ่าก็รู้สึกพร่ามัวอยู่ชั่วขณะนับแต่นี้ไป นางจะกลายเป็นสตรีผู้เป็นใหญ่ในตำหนักแห่งนี้การย้ายออกจากที่นี่ในครั้งถัดไป เกรงว่า... คงเป็นยามที่สามีของนางเสด็จขึ้นครองราชย์ และย้ายจากตำหนักบูรพาเข้าสู่พระราชวังหลวงแม้จะเตือนใจตนเองมานับครั้งไม่ถ้วนให้ยอมรับทุกสิ่ง แต่ในเวลานี้ ซูจิ่นพ่าก็ยังรู้สึกสับสนอยู่บ้างนางไม่แน่ใจว่าตนเองพร้อมหรือไม่ นางเพียงรู้สึกเลือนลาง ไม่รู้ว่าหนทางในวันหน้านั้นอยู่ที่ใด“ไปเถิด”หลี่เฉินเอื้อมมือมาจับมือนางไว้ ขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของนางทั้งสองเดินเคียงบ่า ผ่านระหว่างช่องทางที่ผู้คนคุกเข่าเปิดทางให้ ตรงเข้าสู่ชายคาหน้าหอฝึกพระราชกรณียกิจ หลี่เฉินหันหน้าไปทางซูจิ่นพ่าแล้วพูดว่า “จากนี้ไป เจ้าเป็นสตรีผู้
เฉินทงเพียงแค่ไม่ได้ฉลาดเฉียบแหลมนัก หาใช่คนโง่ไม่หากเป็นคนโง่โดยแท้ ก็คงไม่มีทางได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และไต่ขึ้นเป็นบุคคลลำดับที่สองของหน่วยบูรพาได้ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้เขานับได้ว่าเป็นบุคคลลำดับหนึ่งของหน่วยบูรพาแล้วด้วยซ้ำเพราะฉะนั้น หลังจากคิดครู่หนึ่ง เฉินทงก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำถามเมื่อครู่นั้น ทำให้องค์รัชทายาททรงไม่พอพระทัยเรื่องนี้ทำให้เฉินทงรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก และยิ่งรู้สึกขอบคุณที่ซูเจิ้นถิงยื่นมือช่วยไว้ในยามคับขันซูเจิ้นถิงโบกมือพลางกล่าวว่า “เพียงแค่ยกมือเท่านั้น อย่าได้ถือเป็นเรื่องใหญ่เลย”“เพียงแต่ผู้บัญชาการเฉินพึงเข้าใจ การทำงานใต้เบื้องพระบัญชาขององค์ชาย จำต้องรู้จักหยั่งพระทัยอยู่เสมอ เข้าใจความหมายในทุกถ้อยคำขององค์ชาย จึงจะสามารถถวายงานได้อย่างเหมาะสม”เฉินทงพยักหน้ารับ “กระหม่อมเข้าใจแล้ว ขอขอบพระคุณแม่ทัพซูที่ชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงเห็นเฉินทงทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด จึงกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเฉินยังมีเรื่องใดหรือไม่?”เฉินทงยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมมีความคิดอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรกล่าวหรือไม่…”โดยทั่วไป หากเอ่ยถึ
“ในฐานะที่เป็นแม่ทัพภาคแห่งสำนักบัญชาการทหารสูงสุด แม่นยำแล้วว่าแม่ทัพซูเจ้าคือแม่ทัพใหญ่ของกองทัพทั่วทั้งใต้หล้า แล้วเหตุใดอำนาจของสำนักบัญชาการทหารสูงสุดจึงตกต่ำถึงเพียงนี้ เรื่องนี้แม่ทัพซูควรกลับไปใคร่ครวญให้ดี”อำนาจของสำนักบัญชาการทหารสูงสุดนั้น... ใหญ่โตนักตำแหน่งนี้เปรียบเสมือนหน่วยบัญชาการสูงสุดทางทหารของทั้งอาณาจักรทว่าก็เพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่นั้นเอง ทำให้ตลอดหลายรัชสมัยก่อนหน้า ถูกบรรพกษัตริย์ทั้งหลายคอยควบคุมและจำกัดไว้จึงทำให้กรมยุทธนาการค่อยๆ มีอำนาจเพิ่มขึ้น อีกทั้งผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธนาการส่วนใหญ่ ล้วนไม่มีพื้นเพจากสายทหาร เรื่องนี้ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักต้าฉินมายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษเรื่องทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วเป็นผลจากพระราชอำนาจที่ต้องการถ่วงดุลกับอำนาจของขุนนางในยามแผ่นดินสงบสุข การปล่อยให้หน่วยบัญชาการทางทหารตกอยู่ภายใต้อำนาจของทหารกลุ่มเดียว ย่อมทำให้จักรพรรดิพระองค์ใดก็ไม่อาจบรรทมให้เป็นสุขได้และก็เพราะเหตุนี้เอง อำนาจของสำนักบัญชาการทหารสูงสุดจึงค่อยๆ สูญสิ้นจนเหลือเพียงในนาม ข้อกำหนดต่างๆ ที่ควบคุมกองทัพจึงกลายเป็นเพียงตัวหนังส
เฉินทงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันทีแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ก่อนเกิดการก่อกบฏ ตำหนักบูรพาและซานเป่าก็ได้สั่งการไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ให้ฉวยโอกาสนี้เก็บข้อมูลขุนนางที่เคยหลบซ่อน และแอบพัวพันกับฝ่ายคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วนดังนั้น สำหรับเฉินทงแล้ว การจับกุมหาใช่เรื่องยากแต่ที่ยากคือ... ผู้เกี่ยวข้องมีมากเกินไปเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “องค์ชาย... ต้องจับทั้งหมดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”หลี่เฉินขมวดพระขนงเล็กน้อยคำถามนี้ หากซานเป่ายังอยู่ ย่อมไม่มีวันถามออกมาเป็นแน่โชคดีที่ซูเจิ้นถิงเป็นผู้เอ่ยปากขึ้นว่า “แม่ทัพเฉิน ขุนนางระดับเข้า ‘สำนักราชเลขา’ ขึ้นไป จะต้องมีพระราชโองการจากฝ่าบาทหรือองค์ชายเท่านั้นจึงจะลงโทษได้”ประโยคนี้ชัดเจนยิ่งนัก... ต่ำกว่าสำนักราชเลขา จับให้หมด สูงกว่าสำนักราชเลขา... อย่าแตะต้องเฉินทงถึงกับเข้าใจขึ้นมาทันที เขาหันไปคารวะแล้วกล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า “ขอบพระคุณแม่ทัพซูที่ชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงพยักหน้ารับ ถือว่าเป็นการตอบรับคำขอบคุณจากนั้นก็หันไปกล่าวกับหลี่เฉินว่า “หากจับกุมทั้งหมดในคราเดียว เกรงว่าอาจทำให้ทุกกรมกองในราชสำนักหยุดชะงัก การบริหารไม่อาจดำเนินต่อได้
จ้าวเสวียนจีเอ่ยปากออกมาแล้วจริงๆทว่าเขาไม่เพียงไม่คัดค้าน กลับเห็นชอบต่อการตัดสินพระทัยของหลี่เฉินเสียด้วยซ้ำเรื่องนี้ทำให้เหล่าขุนนางสายคณะรัฐมนตรีหลายคนถึงกับรู้สึกว่า ความเชื่อทั้งหมดในใจกำลังพังทลายความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของพวกเขาก็คือ... หรือว่าจ้าวเสวียนจียอมแพ้แล้ว?บางคนไม่พอใจยิ่ง ทว่าอีกหลายคนก็พอเข้าใจได้ท้ายที่สุด ฮ่องเต้ก็ฟื้นคืนแล้ว พวกเขาจะยังกล้าทำอะไรอีกเล่า?แม้ต่างคนต่างมีความคิดมากมาย แต่หลี่เฉินกลับหาได้ใส่ใจไม่“ขุนนางอาวุโสเข้าใจความถูกต้อง ข้าก็สบายใจนัก” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆจ้าวเสวียนจีประนมมือให้หลี่เฉิน แล้วหันไปมองร่างไร้วิญญาณของซานเป่า พลางถอนหายใจเบาๆ “ต่อสู้กันมาหลายปี บัดนี้ก็เสียคู่แข่งเก่าไปอีกคน ส่งเขาไปอย่างสง่างาม ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว”หลี่เฉินพยักหน้า ถือเป็นการยอมรับถ้อยคำของจ้าวเสวียนจีในช่วงเวลานั้น ทั้งสองคนราวกับประสานเสียงกันโดยมิได้นัดหมายหลังหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็เอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่าน เมื่อครู่นี้เสด็จพ่อของข้าได้ทรงฟื้นขึ้นจริง และได้มอบหมายเรื่องสำคัญหลายประการ ข้าก็ได้รับพระราชโองการสามฉบับจากพระองค์ ซึ่งเนื
หลี่เฉินตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่ซานเป่าพูด จากนั้นก็กำมือของซานเป่าแน่น แล้วกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูด ข้ารู้ทั้งหมด”“เพียงแต่เมื่อเจ้ารู้ว่าเบื้องหน้าลำบาก ก็ยิ่งควรอยู่ข้างข้า เดินต่อไปด้วยกันสิ”ซานเป่ายิ้มพลางส่ายหน้า กล่าวว่า “องค์ชายทรงเป็นฮ่องเต้องอาจ ไยต้องยึดติดกับความรัก บ่าวพูดให้ชัดก็คือ ขันทีไร้รากไร้ฐานผู้หนึ่ง หาได้คู่ควรไม่พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าแซ่ว่าน แต่เหตุใดจึงไม่เคยบอกชื่อจริงของเจ้าข้าเลย?”ดวงตาของซานเป่าพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “บ่าวมีนามว่า ว่านตงเซิง”ขณะที่เอ่ยนามตนเองออกมา ซานเป่าก็พลันสำลักเลือดออกมาอีกคราครานี้ เลือดสดไหลทะลักจากทั้งปากและจมูก หลี่เฉินถึงกับเห็นแม้แต่ในรูหูก็ยังมีเลือดไหลซึมออกมาเขารู้ดีว่านี่คือวาระสุดท้ายของซานเป่าแล้ว“ว่านตงเซิง เร็วเข้า! เจ้ายังมีความปรารถนาใดอีกหรือไม่ ข้าจะช่วยเจ้าสำเร็จให้ได้!”ในครั้งนี้ หลี่เฉินผู้ซึ่งไม่เคยเรียกชื่อใครตรงๆ กลับเอ่ยนามจริงของซานเป่าออกมาโดยตรงดวงตาของซานเป่าเลือนราง เขากำมือหลี่เฉินไว้แน่น พูดทั้งที่หายใจแทบไม่ทันว่า “องค์ชาย บ่าวเดียวดาย ไร้สิ
ดูเหมือนซานเป่าจะมองออกว่าหลี่เฉินกำลังเศร้า เขาก็พลันยิ้มออกมา“องค์ชายทรงเศร้าเสียพระทัยเพราะการตายของบ่าว เช่นนี้บ่าวก็มิต้องเสียดายชีวิตอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ทว่าองค์ชายยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องทรงจัดการ บ่าวก็เพียงแต่ทำสิ่งที่ควรทำ ขอองค์ชายอย่าได้โศกเศร้าเพราะบ่าวเลยพ่ะย่ะค่ะ”“หนทางในภายภาคหน้า บ่าวคงมิอาจติดตามองค์ชายไปได้อีกแล้ว”หลี่เฉินรู้สึกได้ว่าการพูดของซานเป่าเริ่มยากลำบาก จึงรีบกล่าวว่า “ซานเป่า เจ้าอย่าเพิ่งฝืน พักก่อนเถอะ อย่าเพิ่งพูดอะไรอีกเลย”ซานเป่าผู้ที่ไม่เคยกล้าขัดคำสั่งหลี่เฉินมาก่อน กลับส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “องค์ชาย บ่าวเหลือเวลาไม่มากแล้ว มีบางเรื่องที่อยากจะพูดกับองค์ชายให้หมดก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ได้ เจ้าพูดเถิด” หลี่เฉินพยุงซานเป่าให้นั่งลงตรงธรณีประตูของตำหนักบรรทม แล้วเขาเองก็นั่งลงด้วยจากนั้นหลี่เฉินก็เงยพระพักตร์ขึ้นแวบหนึ่งบรรดาขุนนางทั้งหลายนิ่งเงียบ รู้ทันทีว่าควรถอยออกไปข้างหลังซานเป่าพิงอยู่กับขอบประตู หายใจหอบเหนื่อย แต่แววตากลับแจ่มกระจ่างขึ้นเรื่อยๆหลี่เฉินรู้ดีว่านี่เรียกว่าแสงสุดท้ายก่อนดับสูญเหมือนกับเมื่อหลายชั่วยามก่อน ฮ่องเต้ต้าสิง
ตำแหน่งผู้บัญชาการบูรพาองครักษ์เสื้อแพรนั้น แม้ยศขุนนางจะมิได้สูงนัก เป็นเพียงขุนนางชั้นเอกระดับสี่หากอยู่ในท้องถิ่น ก็พอถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ทว่าในเมืองหลวงที่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่เดินขวักไขว่ ยศระดับนี้กลับไร้ซึ่งคุณสมบัติแม้แต่จะให้ผู้คนเหลียวแลทว่าหากรวมเข้ากับอำนาจแท้จริงขององครักษ์เสื้อแพรแล้ว ตำแหน่งชั้นสี่นี้กลับกลายเป็นหนึ่งในตำแหน่งขุนนางชั้นสี่ที่ทรงอำนาจที่สุดในราชสำนักต้าฉินอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นเพียงตำแหน่งเดียวด้วยซ้ำขุนนางทั้งหลายในที่นี้ ยศของผู้ใดเล่าจะต่ำกว่าชั้นสี่?แต่แม้พวกเขาจะกล้าดูแคลนขุนนางชั้นสี่ผู้หนึ่ง ทว่ากลับไม่อาจประมาทแม่ทัพองครักษ์เสื้อแพรได้แม้แต่น้อยเพราะนี่คือตำแหน่งที่สามารถประหารขุนนางชั้นเอกได้ที่สำคัญที่สุดคือประโยคครึ่งหลังของพระบัญชานั้นผู้ใดไม่รู้เล่าว่าแม่ทัพหน่วยบูรพาขององครักษ์เสื้อแพรคือซานเป่า ตั้งแต่ฮ่องเต้ต้าสิงจนถึงองค์รัชทายาท ซานเป่าก็ได้รับความไว้วางใจจากพ่อลูกคู่นี้มาตลอด นับแต่ก่อตั้งหน่วยบูรพาก็ไม่เคยเปลี่ยนผู้ควบคุมแต่ตอนนี้ องค์รัชทายาทกลับให้เฉินทงดูแลหน่วยบูรพาชั่วคราวความหมายของเรื่องนี้คือสิ่งใด?น
“คำพูดนี้ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก” หลี่เฉินเบือนหน้าไปอีกทาง พลางตรัสกับซูจิ่นพ่าว่า “คำพูดของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหนึ่งว่าเจ้าไม่ใส่ใจข้าเลยแม้แต่น้อย”ซูจิ่นพ่าขมวดคิ้วงาม นางกล่าวว่า “ใจของท่านว้าวุ่นนัก”หลี่เฉินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนแย้มสรวลเบาๆ “เจ้ากำลังเปลี่ยนเรื่องอย่างฝืนๆ อยู่หรือไม่”“มิใช่ข้าที่เปลี่ยนเรื่อง” ซูจิ่นพ่าหันกายมาเผชิญหน้ากับหลี่เฉิน กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เป็นท่านต่างหาก ที่จงใจหาเรื่องมาพูด เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจตนเอง ท่านมีเรื่องหนักอกอยู่ในใจ ใช่หรือไม่”แววตาของซูจิ่นพ่าแม้จะมิได้ก้าวร้าว หากกลับสงบนิ่งและแจ่มกระจ่างทว่า ก็ช่างกระจ่างใสเสียจนหลี่เฉินรู้สึกราวกับดวงตาคู่นั้นคือกระจกบานหนึ่งสะท้อนให้เห็นความสกปรก เห็นแก่ตัว และความมืดดำในใจของเขาอย่างชัดเจนเขารู้ดีว่าตนสามารถห้ามซานเป่าไว้ได้แต่เพื่อความมั่นคงในอำนาจของตน เขากลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นแม้แต่ผลักไสให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นด้วยซ้ำประโยคสุดท้ายที่เขากล่าวในตำหนักบรรทมนั้น ดูเหมือนจะเป็นการให้โอกาสซานเป่ากลับใจ ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นการตัดหนทางความหวังทั้งหมดของซานเป่าเสียสิ้นซานเ