Share

บทที่ 2

Author: อู๋ตู๋จุ้ยหลิง
ช่วงเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมา สองพี่น้องมีวรยุทธ์ด้อยกว่าหยางเฉิน ทุกครั้งล้วนถูกเขาสั่งสอน และไม่กล้าตอบโต้

เมื่อพวกเขารู้ว่าหยางเฉินสูญสิ้นวรยุทธ์ไปแล้ว ก็ตื่นเต้นจนนิ้วทุกนิ้วสั่นระริก

โอกาสในการแก้แค้นมาถึงแล้ว!

ถึงแม้พวกเขาจะไม่กล้าสังหารองค์รัชทายาทผู้นี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการระบายความแค้น ด้วยการซ้อมเขาให้หนำใจเลยแม้แต่น้อย

พลั่ก พลั่ก พลั่ก...

หมัดแล้วหมัดเล่ากระแทกลงบนเนื้อ โลหิตสาดกระเซ็น!

สำหรับองค์ชายทั้งสองแล้ว เสียงเหล่านั้นไพเราะราวกับเสียงดนตรีอันงดงาม ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมราวกับมีพลังเหลือล้น

หยางเฉินกัดฟันแน่น ทนรับความทรมานที่เกินกว่ามนุษย์จะทนไหว ดวงตาทั้งคู่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงดุจมัจจุราช

แม้ในอดีตเขาจะเคยสั่งสอนเจ้าสองคนนี้ ทว่า เขาก็ยังเห็นแก่ความเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด จึงได้ออมมือไว้ ไม่ได้ลงมือหนักถึงตาย

คาดไม่ถึงว่า บัดนี้เมื่อตนสูญสิ้นวรยุทธ์ พวกเขาก็เผยธาตุแท้ออกมา คิดจะจัดการเขาให้ถึงตายให้ได้

นี่น่ะหรือคือพี่น้องร่วมสายเลือด?

หากไม่ใช่เพราะหยางเฉินยังคงเป็นองค์รัชทายาท การสังหารเขาจะนำมาซึ่งปัญหายุ่งยาก เกรงว่าสองพี่น้องคงจะลงมือสังหารเขาไปนานแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง สาวใช้นามว่าหว่านเอ๋อร์ก็รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นว่าพวกเขากำลังทุบตีองค์รัชทายาท ก็ร้องตะโกนเสียงดัง “องค์ชายรอง องค์ชายเจ็ด พวกท่านกำลังทำอะไรกันเพคะ?”

“นังทาสชั้นต่ำ ไสหัวไป!” องค์ชายรองสะบัดมือหนึ่งที หว่านเอ๋อร์ก็ล้มลงไปกองกับพื้น

“ใครก็ได้มานี่ที! ใครก็ได้...” หว่านเอ๋อร์พุ่งเข้าไปหาองค์ชายเจ็ดอย่างไม่คิดชีวิต กอดเขาไว้ แล้วอ้าปากกัดลงไปทันที

“โอ๊ย... นังทาสชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมากัดข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” องค์ชายเจ็ดสะบัดแขนอย่างแรง สลัดหว่านเอ๋อร์กระเด็นออกไป

ทหารยามนอกจวนองค์รัชทายาทได้ยินเสียงของนาง ก็พากันวิ่งตรงมายังห้องนี้

เมื่อองค์ชายทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยาม ก็สบตากัน รู้ดีว่าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงหันหลังเดินออกไปพร้อมกัน

ไป๋หานอีนำคนบุกเข้ามา พอเห็นหยางเฉินกระอักเลือด ก็รีบเข้าไปถามอย่างร้อนรน “องค์รัชทายาท เหตุใดท่านจึงกระอักเลือดอีกแล้ว?”

“ท่านแม่ทัพไป๋ เป็นฝีมือขององค์ชายรองและองค์ชายเจ็ด... พวกเขา... พวกเขาทุบตีองค์รัชทายาทเจ้าค่ะ ฮือ ๆ ๆ ...” หว่านเอ๋อร์ที่เพิ่งพยุงตัวลุกขึ้นมาได้ เอ่ยขึ้นพลางร้องไห้ฟูมฟาย

“ว่ากระไรนะ? พวกเขากล้าทุบตีองค์รัชทายาทหรือ ข้าจะไปจับตัวพวกเขากลับมา” ไป๋หานอีกล่าวเสียงเย็น

“เดี๋ยวก่อน...” หยางเฉินเรียกเขาไว้

“องค์รัชทายาท ท่านวางใจเถิด ข้าน้อยไม่ฆ่าพวกเขาหรอก เพียงแค่สั่งสอนบทเรียนให้เท่านั้น” ไป๋หานอีกล่าวอย่างเดือดดาล

“เจ้า... เจ้าอย่าไป พวก... พวกเขาเป็นองค์ชาย หากเจ้าล่วงเกินเบื้องสูง พวกเขาก็จะฉวยโอกาสนี้สังหารเจ้าได้!” หยางเฉินกล่าวอย่างติด ๆ ขัด ๆ

รองแม่ทัพผู้นี้สู้จนสุดชีวิตเพื่อช่วยเขาออกมาจากสนามรบ ระหว่างทาง ก็เกือบถูกยอดฝีมือลึกลับที่สวมหน้ากากสังหาร ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ต้องการให้ไป๋หานอีไปหาเรื่ององค์ชายทั้งสอง เพื่อที่จะได้ไม่ตกหลุมพรางอันชั่วร้ายของพวกเขา

“แต่ว่า ท่าน... ท่านบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้!” สีหน้าของไป๋หานอีเขียวคล้ำ กัดฟันจนแทบจะแหลกละเอียด

“ข้ายังไม่ตายง่าย ๆ หรอก! อั่ก...” หยางเฉินกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง แล้วก็หมดสติไปอีกครั้ง

องค์ชายเจ็ดเจ้าสารเลวนั่น เพื่อที่จะทรมานเขา จึงทุบตีจนใบหน้าเขาบวมปูด ไม่ได้คิดจะเอาให้ถึงตาย แต่คิดจะค่อย ๆ ทรมานเขาไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ไม่ถึงชีวิต

อุตส่าห์พักฟื้นมาได้หลายวัน ตอนนี้กลับต้องมาเริ่มต้นใหม่ ดูเหมือนว่าอาการจะหนักหนาสาหัสกว่าเดิมเสียอีก

...

เมื่อหยางเฉินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตากลับเป็นฮ่องเต้อู่เต๋อและพระมารดาฉิงเฟย

“เสด็จพ่อ เสด็จแม่...” หยางเฉินประหลาดใจอย่างยิ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่มาเยี่ยมเขา หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ

ฮ่องเต้อู่เต๋อหยางเฉิงเทียนมีพระชนมายุห้าสิบกว่าพรรษา อยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม สวมเสื้อคลุมมังกรและกวานบนศีรษะ ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของผู้ปกครองแผ่นดินออกมาอย่างเข้มข้น

“เฉินเอ๋อร์ ลูกที่น่าสงสารของแม่ ฮือ ๆ ๆ ...” ฉิงกุ้ยเฟยมองดูสภาพของบุตรชายแล้ว ก็โศกเศร้าจนแทบขาดใจ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น

หมอหลวงเวินจากสำนักแพทย์หลวงหลัง จากจับชีพจรให้หยางเฉินแล้ว ก็ลุกขึ้นรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท เส้นลมปราณขององค์รัชทายาทขาดสะบั้นสิ้น วรยุทธ์สลายไปทั้งหมด อาการบาดเจ็บภายในรุนแรงมาก กระดูกขาแตกละเอียด เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะฟื้นฟูกลับมาดังเดิมพ่ะย่ะค่ะ”

“หมอหลวงเวิน หมายความว่าชั่วชีวิตนี้เฉินเอ๋อร์จะลุกขึ้นยืนไม่ได้อีกแล้วหรือ? แม้แต่เจ้าก็ไม่มีวิธีรักษาหรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อตรัสถามเสียงเย็น

“ฝ่าบาท กระหม่อมพอจะลองดูได้ แต่ถึงแม้จะรักษาหาย องค์รัชทายาทก็อาจจะกลายเป็นคนขาเป๋พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงเวินทูลตอบตามความจริง

อะไรนะ? คนขาเป๋?

หากเป็นเช่นนั้น องค์รัชทายาทก็กลายเป็นคนพิการแล้วมิใช่หรือ?

เมื่อฉิงกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนั้น ก็คารวะหมอหลวงเวินเล็กน้อย แล้วกล่าวอ้อนวอน “หมอหลวงเวิน ได้โปรดคิดหาวิธีด้วยเถิด เฉินเอ๋อร์ยังเยาว์วัยนัก หากเขาลุกขึ้นยืนไม่ได้ จะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร!”

“ทูลฉิงเฟย มิใช่ว่ากระหม่อมไม่ช่วย แต่คนที่ลงมือโหดเหี้ยมเกินไป กระหม่อมเองก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงเวินตอบด้วยใบหน้าขมขื่น

“หมอหลวงเวิน เจ้าจงพยายามอย่างสุดความสามารถในการรักษาองค์รัชทายาท อย่างน้อยที่สุดต้องรักษาชีวิตของเขาไว้ให้ได้!” ฮ่องเต้อู่เต๋อตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กระหม่อมรับพระบัญชา!” หมอหลวงเวินรีบรับคำสั่ง

“เอาละ พวกเจ้าออกไปก่อน เรามีเรื่องจะพูดกับองค์รัชทายาท” ฮ่องเต้อู่เต๋อโบกพระหัตถ์

เมื่อทุกคนออกจากห้องและปิดประตูลงแล้ว หยางเฉิงเทียนก็ค่อย ๆ นั่งลงข้างเตียง

“เจ้าห้า วันนี้เจ้าสองกับเจ้าเจ็ดมาตีเจ้าหรือ?”

“เสด็จพ่อ ลูกยังทนไหวพ่ะย่ะค่ะ!” แววตาของหยางเฉินแน่วแน่

“การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ล้วนโหดร้ายเสมอมา พ่อเกรงว่าพี่ ๆ ของเจ้าจะเล่นงานเจ้า เจ้ายอมสละตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียเถิด” ฮ่องเต้อู่เต๋อตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เสด็จพ่อ ไหนพระองค์เคยตรัสกับลูกว่า ในภายภาคหน้าแผ่นดินนี้จะเป็นของลูก และจะให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างไม่ใช่หรือ?” สีหน้าของหยางเฉินเย็นชา

“แต่ว่า ยามนี้วรยุทธ์ของเจ้าถูกทำลายสิ้น ทั้งยังเป็นคนพิการ แผ่นดินนี้ เจ้าจะปกครองอย่างมั่นคงได้หรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อก็เริ่มมีโทสะขึ้นมาเช่นกัน

เขาคือองค์ฮ่องเต้เชียวนะ อยากจะแต่งตั้งโอรสองค์ไหนเป็นองค์รัชทายาท ก็แค่พูดประโยคเดียว แต่เพื่อเห็นแก่หน้าตาและความรู้สึกของหยางเฉิน พระองค์จึงได้เสด็จมาเกลี้ยกล่อมให้หยางเฉินยอมสละตำแหน่งรัชทายาทด้วยตนเอง

อันที่จริงแล้ว นี่ก็เป็นการปกป้องหยางเฉินเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่ไม่สำนึกในบุญคุณ กลับยังพูดอีกว่าแผ่นดินนี้เป็นของเขาอีก

“เหตุใดจะปกครองอย่างมั่นคงไม่ได้? การปกครองแผ่นดิน ไม่ใช่การต่อสู้ชิงแผ่นดิน สิ่งที่ต้องใช้คือสมอง สมองของลูกไม่ได้พิการเสียหน่อย เหตุใดจะปกครองอย่างมั่นคงไม่ได้? ในเมื่อแผ่นดินนี้เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อมอบให้ลูก มันก็ย่อมเป็นของลูก!”

“แผ่นดินของข้า ข้าย่อมเป็นผู้ตัดสินใจ! ผู้ใดกล้าแตะต้องแผ่นดินของข้า ข้าจะกำจัดผู้นั้นเสีย!”

ดวงตาทั้งสองของหยางเฉินปรากฏเจตนาสังหารขึ้น ยังคงองอาจและเปี่ยมด้วยอำนาจบารมีเหมือนเช่นเคย

นี่คือจุดที่ฮ่องเต้อู่เต๋อชื่นชมในตัวเขาที่สุด และก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท

“ลิขิตสวรรค์มิอาจฝ่าฝืน เจ้าอยากจะตายจริง ๆ หรือ?” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงกริ้วจนหนวดกระตุก

“ลิขิตสวรรค์ก็แค่ผายลม! หากสวรรค์ขวางข้า ข้าก็จะท้าทายสวรรค์! หากปฐพีขวางข้า ข้าก็จะทลายปฐพี! สู้กับสวรรค์ สุขอย่างไร้ที่สิ้นสุด! สู้กับปฐพี สุขอย่างไร้ที่สิ้นสุด! สู้กับคน สุขอย่างไร้ที่สิ้นสุด!” หยางเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชาอย่างต่อเนื่อง เปี่ยมด้วยอำนาจบารมี

“เจ้าลูกอกตัญญู แม้แต่คำพูดของเราก็ไม่ฟังแล้วหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าเราจะตัดหัวเจ้าเสีย?” ฮ่องเต้อู่เต๋อทรงตวาดอย่างเกรี้ยวกราด

หยางเฉินไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ยืดคอขึ้นแล้วกล่าวอย่างท้าทาย “มาเลยพ่ะย่ะค่ะ ฆ่าลูกเสียเถิด หากท่านไม่ฆ่าลูก ไม่ช้าก็เร็วลูกจะก่อกบฏต่อท่าน!”

อะไรนะ? ก่อกบฏ?

“เจ้าลูกอกตัญญู เจ้าจะทำให้เราโมโหจนตายหรือไร!” ฮ่องเต้อู่เต๋อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะถูกโอรสองค์นี้ยั่วโมโหจนจะสิ้นพระทัยอยู่แล้ว

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 100

    เวลานี้ ภายห้องโถงใหญ่ของพระตำหนัก ฮ่องเต้อู่เต๋อกำลังนำฮองเฮาถวายพระพรและถวายของขวัญให้ไทเฮา ไทเฮาที่นั่งอยู่ตรงกลางดีพระทัยจนแย้มสรวลไม่หยุด รีบสั่งให้คนจัดที่นั่งให้ฮ่องเต้และฮองเฮาผู้ที่มาร่วมงานคล้ายวันพระราชสมภพในวันนี้ ถูกฮองเฮาแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มที่เข้ามาอวยพรวันเกิดเป็นกลุ่มแรกย่อมเป็นบรรดาพระญาติพระวงศ์ ที่สำคัญก็คือเหล่าองค์ชายและพระราชนัดดา แม้แต่องค์หญิงใหญ่หยางจิ่นอวี๋ก็มาด้วยแล้วต่อจากฮองเฮาก็คือเหล่าพระสนมวังหลัง ที่ตามมาติดๆ กันคือเซวียกุ้ยเฟย เซียวซูเฟย และยังมีเจาหรง เจาอี๋ ไฉเหริน และกุ้ยเหรินจากตำหนักในด้วยแม้แต่มารดาของหยางเฉิน ‘พระสนมฉิงกุ้ยเฟย - หลีหว่านฉิง’ ก็ยังมาอวยพรวันเกิดไทเฮาด้วยทว่านอกจากฮองเฮาและกุ้ยเฟยอีกไม่กี่นางแล้ว เหล่านางสนมที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นไม่มีแม้แต่ที่นั่ง จึงทำได้เพียงจากไปทางประตูข้างหยางเฉินในฐานะองค์รัชทายาทและผู้นำของทายาทรุ่นที่สาม แม้จะสูญเสียวรยุทธ์ไปจนสิ้นและต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ทว่าฐานะของเขายังคงตั้งอยู่ตรงนั้น ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่เข้าสู่ห้องโถงเช่นกัน“หลานหยางเฉินขออวยพรเสด็จย่า ขอพระองค์ทรง ‘โชควาสนาเปี่

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 99

    ด้วยความสามารถระดับสามัญวชิระของเขาในอดีต ต่อให้เป็นเพียงพลังยุทธ์สามส่วน ก็สามารถต่อกรกับยอดฝีมือขั้นแปดลงไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีวิชาลับอันร้ายกาจที่เพิ่มพูนความสามารถได้อีกวันนี้เป็นวันเกิดของเสด็จย่า หยางเฉินเลือกของขวัญที่ดูเข้าเกณฑ์สองชิ้น เตรียมไปอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่าเรื่องใหญ่อย่างงานคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ย่อมมีฮองเฮาประมุขแห่งวังหลังเป็นผู้กำกับดูแล และมีการเชื้อเชิญเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊กับครอบครัว กล่าวได้ว่าครึกครื้นอย่างที่สุดพระตำหนักฉือหนิง เป็นตำหนักที่ประทับของไทเฮา ผู้เป็นพระพันปีหลวงในตอนที่หยางเฉินมาถึงที่นี่ บรรดาเสด็จพี่เสด็จน้องชายทั้งหลายก็ต่างมาถึงกันแล้ว ต่างกำลังเข้าแถวรออยู่นอกตำหนัก เพื่อเข้าไปมอบของขวัญและอวยพรวันเกิดแก่พระพันปี“เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่รอง วันนี้พวกท่านไม่ไปเจรจาสันติภาพหรือ?” หยางเฉินแกล้งถามอย่างประหลาดใจ“พอองค์หญิงได้ยินว่าเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา ก็ให้พวกเรามาอวยพรวันเกิดให้เสด็จย่า พรุ่งนี้ค่อยเจรจากันต่อ” องค์ชายใหญ่ตอบด้วยรอยยิ้มองค์ชายรองยิ้มแทรกขึ้นมาว่า “องค์รัชทายาท องค์หญิงผิงหยางผู้นี้คิดได้รอบ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 98

    คนที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงทั้งสองต่างวางแผนเล่นงานอีกฝ่าย เจ้าวางแผนใส่ข้า ข้าก็วางแผนใส่เจ้า!ในขณะที่องค์หญิงผิงหยางกำลังยินดีนั่นเอง สาวใช้ทั้งสองคนของนางก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงัน คุกเข่าลงกับพื้นทั้งคู่“ทูลองค์หญิง ภารกิจล้มเหลวแล้วเพคะ!”“ว่าอย่างไรนะ? ล้มเหลวแล้ว? หรือถูกเขาค้นพบเข้าแล้ว?” องค์หญิงผิงหยางตกตะลึง“องค์หญิง พวกเราวางกำลังดักซุ่มถึงสองครั้ง แต่ในขณะกำลังจะเข้าสู่หลุมพราง เจ้าหยางเฉินผู้นี้ล้วนวกรถม้ากลับไป ทำให้แผนการของเราล้มเหลวทั้งหมด!” ถัดมา อวิ๋นจือก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดอีกรอบหนึ่งองค์หญิงผิงหยางฟังคำรายงานของสาวใช้ ในใจพลันกระตุกขึ้นมา โพล่งออกมาว่า “หรือหยางเฉินจะพบว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขาจริงๆ ?”“องค์หญิง พวกเรามิได้ถูกเปิดโปงเพคะ เขาน่าจะไม่รู้ว่าพวกเราคิดลอบสังหารเขา!” ชูเซี่ยส่ายหัว คิดว่าหยางเฉินไม่มีทางสังเกตเห็นพวกนาง“หรือเขาคิดได้ระหว่างทางจริงๆ เลยยอมรับข้อเสนอของข้าแล้วย้อนกลับมาบอกข้า?” องค์หญิงผิงหยางคาดเดา“ข้อเสนออะไรหรือเพคะ?” สาวใช้อวิ๋นจือถาม“ข้าคิดขจัดความสงสัยของเขา จึงบอกไปว่าจะแต่งงานกับเขา แล้วช่วยให้ตำแ

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 97

    “เป็นไปไม่ได้ หากฮ่องเต้กล้าปลดท่าน ข้าก็จะให้จักรวรรดิตงเซิ่งเริ่มทำสงคราม หรือฮ่องเต้จะไม่กลัวราษฎรต้องทุกข์ร้อนหรือ?” องค์หญิงผิงหยางเต็มไปด้วยความอหังการหยางเฉินขมวดคิ้ว กล่าวหน้ามุ่ยว่า “องค์หญิง ท่านก็อย่างได้จ้องจะจับข้าอีกเลย ไม่งั้น ท่านไปทำร้ายเสด็จพี่ใหญ่ หรือเสด็จพี่รองแทนเถอะ?”“หยางเฉิน…เจ้ามัน…” องค์หญิงผิงหยางรู้สึกว่าโมโหจนแม้แต่ปอดก็จะระเบิดแล้ว“องค์หญิง ขอลาก่อนล่ะ!” หยางเฉินกลัวจนต้องรีบเผ่นองค์หญิงผิงหยางมองเงาหลังที่จากไปของเขา ความโมโหบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป กลายเป็นรอยยิ้มเยาะหยันที่แสนเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอกแทน……หลังหยางเฉินขึ้นรถม้าแล้ว ก็มุ่งหน้าไปทางพระราชวัง เตรียมกลับไปที่ตำหนักรัชทายาททว่า หลังจากรถม้าแล่นออกไปได้ไม่ไกล หัวใจของหยางเฉินที่นั่งอยู่ในรถม้าก็สั่นสะท้านขึ้นมา เขารีบเปิดใช้วิชาสดับฟ้าแผ่ขยายออกไปทันที“หยุดรถ!” หยางเฉินออกคำสั่งเสียงดังยอดฝีมือที่สำนักตรวจการส่งมาคุ้มครองเขามีราวยี่สิบคน แต่ฝีมือของคนพวกนี้กลับมิได้สูงมากนัก“องค์รัชทายาท เกิดสิ่งใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนผู้หนึ่งเข้ามาใกล้รถม้าแล้วกระซิบถาม“พวกเจ้าไม่สังเกตเห็นว่า

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 96

    ซยงหนูเคลื่อนลงใต้มารุกรานที่ราบภาคกลาง นี่เป็นภัยคุกคามที่มีมานานของจักรวรรดิส่วนการรุกรานในครั้งนี้ของพวกซยงหนู จะเป็นการร่วมมือกับจักรวรรดิตงเซิ่งหรือไม่ หรือจะเป็นเพราะซยงหนูเห็นจักรวรรดิตงเซิ่งปิดล้อมป้อมปราการเกอเอ่อเติง อยากฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ จับปลาในน้ำขุ่น จึงเคลื่อนทัพลงใต้ก็ยากที่จะบอกได้อันที่จริงแล้ว ในสายตาของหยางเฉิน ทุกสิ่งที่กล่าวมาล้วนไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้น ยามนี้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นตัวกลับมาได้สามส่วนแล้ว ขอเพียงฟื้นฟูกลับมาได้ห้าส่วน ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเก้าเขาก็ไม่กลัว สามารถนำทัพออกศึกได้แล้วตามการขยายขอบเขตของ ‘วิชาสดับฟ้า’ ตอนนี้เพียงพอที่จะครอบคลุมระยะยี่สิบเมตรแล้ว หากเขาฝึกฝนต่อไป ระยะหลายร้อยหรือกระทั่งหลายพันเมตรก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาขอเพียงมีวิชาลับนี้อยู่ เขาก็จะไม่มีทางตกสู่หลุมพรางของศัตรูอีกเมื่อเผชิญกับท่าทีบีบคั้นผู้คนขององค์หญิงผิงหยาง หยางเฉินก็มิได้ใส่ใจเลย เขากลับหลุดหัวเราะออกมาราวได้ยินเรื่องตลกว่า “องค์หญิง ท่านคิดว่าคำข่มขู่เล็กๆ นี้ของท่าน จะทำให้พวกเรายอมแพ้ได้หรือ?”“ความหมายขององค์รัชทายาทคือ จะรอจนพวกเราตีป้อมปรา

  • รัชทายาทผงาดฟ้า: แผ่นดินนี้ข้าเป็นใหญ่   บทที่ 95

    การเจรจาสันติภาพของนางกับองค์ชายทั้งสองในวันนี้ ไม่อาจเรียกว่าการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งเลยสักนิด รู้สึกเพียงว่ามีแมลงวันสองตัวกำลังส่งเสียงหึ่งหึ่งอยู่ข้างหูนาง และทุกครั้งที่พูดถึงประเด็นสำคัญ พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงไม่ยอมคุยที่น่าโมโหกว่านั้นก็คือ องค์ชายใหญ่จะเชิญนางไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ ส่วนองค์ชายรองก็จะเชิญนางไปร่วมชมจันทร์ทันทีที่นึกถึงองค์ชายทั้งสองผู้ใช้ร่างกายท่อนร่างแทนสมอง องค์หญิงผิงหยางก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย ทว่า เมื่อนางแสร้งส่งสัญญาณเป็นนัยว่าตนสนใจหยางเฉิน ก็สามารถปลุกเพลิงโทสะในตัวองค์ชายทั้งสองขึ้นมาได้สำเร็จหากกระตุ้นพวกเขาต่อไป ไม่แน่อาจทำให้พวกเขากำจัดหยางเฉินทิ้งก็ได้นับแต่โบราณมา ‘อุบายหญิงงาม’ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ร้อยครั้งสัมฤทธิ์ผลร้อยครา องค์หญิงผิงหยางใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ องค์ชายทั้งสองย่อมติดกับเป็นธรรมดาในความเป็นจริงแล้ว เพื่อต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ องค์ชายทั้งสองก็มีความคิดจะสังหารหยางเฉินมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ส่งคนไปลอบโจมตีเรือนรับรองทิงเฟิงครั้งนี้ องค์หญิงผิงหยางแค่กระตุ้นพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็พลันเกิดจิตสังหารต่อหยางเฉินแล้ว

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status