ไป๋หลีลดเสียงลงพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าเห็นว่าเขากระโดดสูงถึงเพียงนั้น ที่จริงอย่างน้อยต้องพักฟื้นครึ่งเดือนเป็นแน่”“หือ” ปาฟางทำท่าจะอธิบาย แต่ถูกไป๋หลีถลึงตาใส่จึงได้แต่ยิ้มแหยปิดปากเงียบไปจางอิงเอ๋อร์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งพลางเอ่ยว่า “แต่เขาดูแข็งแรงดีนี่นา”“เฮ้อ แข็งนอกอ่อนในเท่านั้นแหละ” ไป๋หลีถอนใจ ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากพลางว่า “อย่าเอ่ยอีกเลย เอ่ยมากไป เขาอาจลงไม้ลงมือ”ปาฟางได้ฟังดังนั้น ใบหน้าก็แดงก่ำจางอิงเอ๋อร์มองเห็นสีหน้าของปาฟางเข้าก็ตกใจจนรีบปล่อยมือทันทีไป๋หลีเกลี้ยกล่อมว่า “คุณหนู ขึ้นไปเถิด ไปโยนลูกแพรปักอีกคราหนึ่ง ย่อมต้องพบผู้เหมาะสมยิ่งกว่าเป็นแน่”จางอิงเอ๋อร์แทบจะร่ำไห้พลางกล่าวว่า “หาไม่ได้หรอก ข้าอ้วนถึงเพียงนี้ ไม่มีผู้ใดคิดจะรับข้าเป็นภรรยา”“ผู้ใดว่ากัน” ฉู่เฉินขมวดคิ้วเดินเข้ามา พลางกล่าวว่า “ข้าดูออก พื้นฐานเจ้ามิเลว หากผอมลงสักเล็กน้อย พวกที่หมายปองเจ้าคงยาวเหยียดตั้งแต่ถนนตะวันตกจรดถนนตะวันออก”“บังเอิญว่าศิษย์ข้าเป็นหมอ ช่วยเจ้าลดได้ เพียงสองพันตำลึงเท่านั้น เจ้าเห็นว่าอย่างไร”จางอิงเอ๋อร์ได้ฟังก็เกิดความสนใจขึ้น ครั้นได้ยินว่าค่าสม
ฉู่เฉินตกใจกล่าวว่า “แย่แล้ว ถูกใจข้าเข้าจริง ๆ หรือนี่!”เขาหันซ้ายหันขวาไร้ทางหนี เนื่องด้วยผู้คนล้อมรอบมากมายนัก หลีกเลี่ยงมิได้ จึงยกมือขึ้นป้องศีรษะ “น้ำใจอันดีของคุณหนู ข้ารับไว้แล้ว”“น่าเสียดายที่ข้าเป็นคนหัวโบราณ รับไม่ได้กับวิธีหาคู่ที่แปลกใหม่เช่นนี้ หวังว่าคุณหนูจะเข้าใจ...”ฉู่เฉินยังพูดพล่ามไม่หยุด ทว่าเจียงซุ่ยฮวนตบไหล่เขาเบาๆ “อาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว”“ลูกแพรปักไม่ใช่โยนให้ท่าน”ฉู่เฉินเงยหน้ามอง ลูกแพรปักนั้นกลับถูกปาไปยังปาฟางผู้นั้นปาฟางนั่งอยู่บนรถม้า กอดลูกแพรปักไว้ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าสับสนบรรดาชายหนุ่มรอบข้างส่งเสียงทอดถอนใจอย่างเสียดาย หญิงสาวบนชั้นสองหน้าแดงระเรื่อ ถอยหลังไปซ่อนตัวหลังท่านขุนนางจางด้วยความขวยเขินท่านขุนนางจางหัวเราะอย่างแจ่มใส “ดูท่าว่าเชียวเอ๋อร์จะเลือกเรียบร้อยแล้ว”“ทหาร นำตัวว่าที่ลูกเขยของข้าขึ้นมา”ปาฟางตกใจสุดขีด เหวี่ยงลูกแพรปักออกไป “ข้าไม่ใช่เขยพวกเจ้า!”ทว่าคนที่ท่านขุนนางจางส่งมาไม่ฟังคำพูดเขา ปลอบว่า “คุณชาย ตามเราขึ้นไปเถิด คุณหนูรออยู่นานแล้ว”“ข้าไม่ไป!” ปาฟางวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเจียงซุ่ยฮวน “นายหญิง ช่วยกระหม
เจียงซุ่ยฮวนได้เอ่ยเสียง "อ้อ" เบาๆ จากนั้นหลับตาลงเพื่อหยุดพักผ่อนต่อครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าหยุดลง ลิ่วลู่ได้ส่งเสียงเรียกจากข้างนอกว่า "ถึงโรงเตี๊ยมแล้ว!"ผู้คนบนรถม้าทั้งสองคันทยอยลงมาทีละคน เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้ามองโรงเตี๊ยมเบื้องหน้า แม้จะมิหรูหราเลิศเลอเช่นหอเยว่ฟาง หากก็นับว่ายังพอไปวัดไปวาได้ประชาชนโดยรอบเดินกันขวักไขว่ เมื่อเทียบกับพวกเขาหลายคนแล้ว ชุดผ้าของชาวบ้านเหล่านี้เรียบง่ายกว่ามากชาวบ้านเหล่านี้ไม่แปลกใจที่เห็นพวกเขา คล้ายกับชินตา เพราะคงเคยเห็นพวกผู้คนจากเมืองหลวงมาแล้วมากมายเจียงซุ่ยฮวนก้าวเข้าสู่โรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อรีบเข้ามาถามว่า "ทุกท่านจะรับประทานอาหาร หรือพำนักค้างคืนขอรับ""รับประทานอาหาร" เจียงซุ่ยฮวนกล่าว พลางสอดส่ายสายตามองโดยรอบ สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างครึกครื้น อาหารก็น่าจะรสชาติไม่เลวเสี่ยวเอ้อรับคำ แล้วแจ้งให้พวกเขานั่งลง เจียงซุ่ยฮวนกล่าวว่า "ข้าขอสั่งอาหารแนะนำของพวกเจ้าก็แล้วกัน""ได้ขอรับ!" เสี่ยวเอ้อรับคำแล้วรีบวิ่งไปหลังครัวทันทีครู่หนึ่งต่อมา เสี่ยวเอ้อหิ้วถาดอาหารมาวางบนโต๊ะ "มีหมูกรอบหนึ่งจาน กงเป่าจีติง..."อาหารทั้งหมดสิบจานพอดีสำหร
เถี่ยหนิวชี้ไปที่เจียงซุ่ยฮวน “คุณหนู ให้ทอง พวกเรา”หญิงชราตบศีรษะตนเองเบา ๆ “โถ่เอ๋ย ความจำเจ้ากรรม ดันลืมแม้แต่ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตไว้เสียได้!”นางจับมือเจียงซุ่ยฮวนแน่น น้ำเสียงสั่นเครือ “คุณหนู เป็นเพราะท่าน พวกเราจึงได้มีที่อยู่กว้างขวางอบอุ่นเช่นนี้”ดูท่าหญิงชราผู้นี้กับเถี่ยหนิวจะเป็นขอทานในวัดร้างมาก่อนเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไร” เจียงซุ่ยฮวนลูบหลังมือนางเบา ๆ “เจ้ากำลังตามหาถังซาซาอยู่ใช่หรือไม่”หญิงชราเบิกตากว้าง “ท่านรู้ได้อย่างไร”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ฟัง ก่อนกล่าวว่า “พวกเขาคงใกล้กลับมาแล้ว”หญิงชราถอนใจ “แท้จริงแล้วซาซาเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ ข้าเป็นเพียงแม่นมของนางเท่านั้น”“เมื่อเจ็ดปีก่อน คุณชายและฮูหยินนำครอบครัวย้ายไปยังเมืองหลวง กลับประสบภัยพิบัติระหว่างทาง ข้าอุ้มซาซาที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ผลสุดท้ายกลับพลัดพรากจากคุณชายและฮูหยินไป”“ข้าเร่ร่อนขอทานจนพาซาซามาถึงเมืองหลวงได้ ทว่าไม่อาจตามหาคุณชายและฮูหยินพบเลย เวลาผ่านไปเจ็ดปีเต็มแล้ว”เจียงซุ่ยฮวนนึกถึงเสี่ยวถังหยวน พลันรู้สึกสะท้อนใจ ถามขึ้นว่า “บ้านเกิดของพวกเจ้าคือที่ใด ข้าจะให้คนช่ว
เจียงซุ่ยฮวนลูบลำต้นโล้นเกลี้ยงของบัวหิมะเบา ๆ พลางเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ลุงเฉิน บัวหิมะต้นนี้มิอาจเจริญเติบโตในที่แห่งนี้ ข้าขอขุดมันไปนะ”ลุงเฉินตอบรับเสียงดัง “ข้าจะรีบขุดให้เดี๋ยวนี้”“รากของบัวหิมะนั้นเปราะบางนัก เสียหายได้โดยง่าย ข้าทำเองเถอะ” เจียงซุ่ยฮวนค่อย ๆ ยื่นมือออกไปขุดบัวหิมะขึ้นมาด้วยความระมัดระวังนางประคองบัวหิมะไว้ด้วยสองมือ “หงหลัว ไปหยิบกล่องเปล่ามาให้ข้าหน่อย”“เจ้าค่ะคุณหนู” หงหลัวขานรับด้วยความยินดี กระโดดโลดเต้นออกไปด้วยความร่าเริงนี่เป็นครั้งแรกที่หงหลัวออกเดินทางไกล แม้ว่าจะเป็นเมืองกวนหนานที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ในใจก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อหงหลัวนำกล่องเปล่ามาให้ เจียงซุ่ยฮวนก็หันหลังให้คนทั้งหลาย ประหนึ่งว่าวางบัวหิมะลงในกล่อง แท้จริงแล้วกลับนำไปเก็บในห้องทดลองของนางสภาพแวดล้อมในห้องทดลองมีความพิเศษ อาหารไม่เสีย และดอกบัวหิมะก็เช่นเดียวกัน“เสร็จแล้ว” เจียงซุ่ยฮวนปิดฝากล่องทันที และส่งต่อให้หงหลัว “เก็บกล่องนี้ไว้ให้ดี”“จำไว้ให้ดี อย่าได้เปิดกล่อง บัวหิมะเห็นแสงจะตายเอาได้” นางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“เจ้าค่ะ ๆ ” หงหลัวฟังแล้วถึงกับมึนงง รับก
ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนนิ่งกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจนั้น หยวนจิ่วก็เอ่ยถามเบา ๆ ว่า “พระชายา เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ เหตุใดพวกเขาจึงล้วนแต่จัดแจงสัมภาระ”“ข้าจะเดินทางไปยังเมืองกวนหนาน” เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “หากเจ้าไม่อยากไป ก็สามารถอยู่ที่นี่ได้”“ไปพ่ะย่ะค่ะ!” หยวนจิ่วตอบรับโดยไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย“ไปเก็บข้าวของเถิด”เช้าวันถัดมา ทุกผู้คนแต่งกายพร้อมสรรพ ยืนรออยู่ในลานเรือนเจียงซุ่ยฮวนพร้อมองครักษ์สี่นาย รวมทั้งหยิ่งเถา หงหลัว และฉู่เฉิน รวมกันเป็นแปดชีวิตรถม้าหนึ่งคันไม่เพียงพอ ชางอี้จึงส่งมาเพิ่มอีกคันหนึ่งครั้นเก็บสัมภาระเรียบร้อย หยิ่งเถาก็ชี้ไปที่กรงนกพลางเอ่ยว่า “คุณหนูเจ้าคะ แล้วนกพิราบตัวนี้เล่าจะเอาอย่างไรหรือเจ้าคะ”“ปล่อยมันเถิด” เจียงซุ่ยฮวนกล่าว “บาดแผลของมันดีขึ้นมากแล้ว คงบินกลับเองได้ตลอดทาง”หยิ่งเถาเพิ่งเปิดกรงออก นกพิราบก็โผออกมาราวลูกศรจากคันธนู มุ่งตรงไปยังสี่จือ"..."ทุกคนต่างมีความคิดเดียวกันอยู่ในใจ นกตัวนี้ช่างจดจำความแค้นได้ดีนัก“ช่างเถิด พามันไปด้วยก่อน ครั้นถึงครึ่งทางค่อยปล่อยมัน” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนปัญญาลิ่วลู่กั