เช้าวันใหม่ที่แสนอบอุ่นแสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านผ้าไหมเนื้อนุ่มในตำหนักกว้าง องค์รัชทายาทหลี่หยวนเจ๋อลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกแปลกใหม่ มีบางสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาอบอุ่นมากกว่าปกติ เขาหันไปมองข้างกาย เห็นเหวิ่นจือหยูที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าหวานของนางทำให้เขานึกถึงนางฟ้าในภาพวาดโบราณเขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มบาง ๆ กับตัวเอง มือหนาค่อย ๆ เกลี่ยปอยผมของนางที่ตกลงมาอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกอิ่มเอิบในใจบอกเขาว่านี่คือช่วงเวลาที่เขาต้องการเก็บไว้ตลอดไปหลี่หยวนเจ๋อนิ่งมองหน้าท้องของนาง สัมผัสได้ถึงชีวิตน้อย ๆ ที่อยู่ข้างใน เขาก้มลงไปจุมพิตหน้าท้องของนางเบา ๆ ความรักท่วมท้นที่ไม่อาจเก็บไว้ได้ทำให้เขากระซิบเสียงอ่อนโยนว่า“ลูกของพ่อ เจ้าและแม่ของเจ้าคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตพ่อ”ทันใดนั้นเหวิ่นจือหยูค่อย ๆ ขยับตัว ดวงตาคู่หวานปรือขึ้นด้วยความงุนงง“ท่านทำอะไรอยู่เพคะ” เสียงหวานของนางดังขึ้นแผ่ว ๆ“ข้ากำลังพูดกับลูก” เขาตอบ พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้นางเผลอใจเต้นแรง“หยวนเจ๋อ ท่านนี่ ” เหวิ่นจือหยูหน้าแดง แต่ไม่สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้ “ท่านอ่อนโยนเหลือเกิน หม่อมฉัน
หลังจากส่งเสด็จองค์ชายหลงอวี่จากแคว้นหลงซานเสร็จเรียบร้อย หลี่หยวนเจ๋อกับเหวิ่นจือหยูก็กลับมายังตำหนักของนางอย่างเงียบสงบ“ขอบพระทัยที่มาส่งเพคะ ท่านคงเหนื่อยมากแล้ว ไปพักเถิดเพคะ” เสียงของเหวิ่นจือหยูอ่อนโยนอย่างห่วงใย ขณะเอ่ยกับพระสวามีที่เดินเคียงกันมาตลอดทาง นางรับรู้ได้ถึงความใส่ใจของเขา แม้เพียงการมาส่งที่ตำหนักก็ยังไม่ปล่อยให้นางต้องเดินลำพังแต่คำพูดนั้นกลับทำให้หลี่หยวนเจ๋อชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาคมทอดมองนางนิ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดมานาน“จือหยู ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับเจ้า ขอเวลาข้าสักครู่”น้ำเสียงทุ้มจริงจัง และแววตามมุ่งมั่นของเขาทำให้เหวิ่นจือหยูรู้สึกแปลกใจ นางพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนที่เขาจะโอบเอวนางอย่างแผ่วเบา พานั่งลงที่ขอบเตียงด้วยกันหลี่หยวนเจ๋อนั่งเคียงข้าง กุมมือเล็ก ๆ ของนางขึ้นมาในอุ้งมือของตน สายตาจดจ้องใบหน้าที่เขารักยิ่งนัก ราวกับกำลังหาคำตอบในดวงตาคู่งามนั้น“จือหยู…”“องค์รัชทายาท ท่านมีเรื่องอันใดก็ตรัสเถิดเพคะ” เหวิ่นจือหยูทนไม่ได้อีกคนไม่ยอมพูดออกมาเสียทีหลี่หยวนเจ๋อลูบหลังมือของนางเบา ๆ ก่อนจะพูดช้า ๆ แต่ชัดเจนในความ
เช้าวันถัดมา ณ ห้องโถงใหญ่ของตำหนักรัชทายาท บรรยากาศภายในห้องสงบเงียบจนน่าอึดอัด ทั้งที่องค์ชายหลงอวี่ยืนอยู่ด้วยท่าทีสุภาพ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และหลี่หยวนเจ๋อนั่งบนบัลลังก์อย่างสง่างาม โดยมีเหวิ่นจือหยูเคียงข้าง แต่มวลอารมณ์กลับขุ่นมัวราวกับเมฆฝนปกคลุมองค์ชายหลงอวี่โค้งเล็กน้อย สีหน้ายังคงสุภาพนอบน้อม “ข้าได้ยินว่าองค์รัชทายาทไม่พอใจเรื่องเมื่อวาน ข้ารู้สึกเสียใจและต้องขออภัย หากสิ่งที่ข้าทำทำให้เกิดความเข้าใจผิด”หลี่หยวนเจ๋อเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เย็น “หากองค์ชายรู้ตัวก็ดี แต่สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจคือ เหตุใดต้องให้พระชายาของข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้งที่นางตั้งครรภ์”คำพูดนั้นแม้จะไม่ดุดัน แต่ก็ชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลงอวี่ยิ้มบาง ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงถ่อมตน “ข้ามิได้มีเจตนาให้พระชายาของท่านต้องลำบาก ข้าเพียงชื่นชมในสติปัญญาและความสามารถของนาง จึงหวังเพียงจะขอคำแนะนำ ไม่ได้คิดเกินเลยไปมากกว่านั้นเลย”หลี่หยวนเจ๋อปรายตามองเหวิ่นจือหยูที่นั่งอยู่ข้างกาย ซึ่งแม้นางจะเงียบ แต่แววตาก็เปี่ยมด้วยความกังวลเหวิ่นจือหยูเห็นเช่นนั้น จึงยิ้มบาง ๆ เพื่อผ่
“พระชายา” เสียงของหลี่หยวนเจ๋อเรียบนิ่ง แต่แฝงแรงกดดันจนบรรยากาศเงียบกริบสายตาคมหันไปสบตานางคล้ายจะตัดบทสนทนาทันที“เจ้าควรได้พักผ่อน เจ้าเหนื่อยมากพอแล้ว”เหวิ่นจือหยูชะงัก ปลายตาหันไปยิ้มให้องค์ชายหลงอวี่ อย่างเกรงใจหลงอวี่พยักหน้าอย่างสุภาพ “พระชายามีความสามารถ แต่ก็ควรระวังเรื่องสุขภาพด้วย ถ้าเช่นนั้น ข้าจะรอความช่วยเหลือจากพระชายาในเวลาที่เหมาะสม”“ข้าเห็นด้วย แต่ข้าจะเป็นคนตัดสินเองว่าเมื่อใดเหมาะสม” กรามของหลี่หยวนเจ๋อขบแน่น เขาตอบทันที น้ำเสียงเย็นจัด จากนั้นเขาหันกลับไปจ้องเหวิ่นจือหยูอีกครั้ง แววตาเรียบนิ่งแต่กดดัน “วันนี้ พอแค่นี้ เจ้าต้องพักผ่อน”นางถอนหายใจเบา ๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อย “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”องค์ชายหลงอวี่ยังคงยิ้ม แต่อ่อนลงเล็กน้อย “ข้าต้องขออภัย หากทำให้ท่านไม่สบายใจ”“ไม่มีอะไร” หลี่หยวนเจ๋อตอบสั้น ดวงตาเย็นเยือก “ข้าแค่ห่วงสุขภาพของพระชายา”หลังจากบทสนทนาในห้องโถงจบลง เหวิ่นจือหยูรู้สึกโล่งใจที่หลุดออกจากสถานการณ์ตึงเครียด แม้นางตั้งใจดี แต่ก็รู้สึกได้ถึงแววตาไม่พอใจของพระสวามีที่ฝังลึกในหัวใจกลับถึงตำหนัก หลี่หยวนเจ๋อยังคงเงียบ สีหน้า
วันถัดมา หลังจากการประชุมที่ท้องพระโรงใหญ่ องค์ชายหลงอวี่ทรงมีพระดำริที่จะมอบของกำนัลแด่เหวิ่นจือหยู เพื่อแสดงความขอบคุณในคำแนะนำที่มีค่าและแบบแปลนอันล้ำเลิศของนาง การมอบของครั้งนี้มิใช่เพียงการแสดงไมตรีธรรมดา หากแต่สะท้อนถึงความยอมรับและชื่นชมอย่างลึกซึ้งต่อความสามารถของนางท้องพระโรงถูกประดับประดาด้วยม่านผ้าไหมเนื้อดี โคมระย้าสาดแสงนุ่มนวล ขุนนางและแขกผู้ทรงเกียรติทยอยกันเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยาน องค์ชายหลงอวี่ก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม นำหน้าผู้ติดตามที่ถือกล่องของขวัญที่ตกแต่งอย่างหรูหรา สะท้อนถึงฐานะอันสูงส่งของพระองค์องค์ชายหยุดลงเบื้องหน้าเหวิ่นจือหยู ดวงตาสีเข้มของเขาทอประกายอ่อนโยน ขณะเอื้อมมือไปรับกล่องของกำนัลจากผู้ติดตาม และยื่นให้นางด้วยท่าทีให้เกียรติ “พระชายา โปรดรับของกำนัลนี้จากแคว้นหลงซาน เพื่อเป็นที่ระลึกถึงความร่วมมือในครั้งนี้ด้วยเถิด” น้ำเสียงขององค์ชายเต็มไปด้วยความจริงใจและชื่นชมขณะยื่นกล่องของขวัญไปยังเหวิ่นจือหยูเหวิ่นจือหยูยิ้มละไม โน้มกายรับของด้วยท่าทางสำรวม แม้ภายในใจจะรู้สึกตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่ของพิธีนี้ “ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย หม่อมฉันรู้สึกเป็นเกีย
ดึกสงัด ความเงียบภายในห้องทรงงานมีเพียงเสียงพู่กันที่ลากผ่านกระดาษ ทว่าหลี่หยวนเจ๋อไม่ได้มีสมาธิกับเอกสารตรงหน้าเลย ความคิดของเขากลับวนเวียนอยู่กับข่าวที่ว่าแคว้นต่าง ๆ เตรียมส่งธิดาเข้ามาเป็นพระสนมแม้จะเข้าใจว่าการเมืองระหว่างแคว้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความคิดเรื่องการรับสตรีอื่นเข้ามา กลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหวิ่นจือหยูเพิ่งเริ่มดีขึ้น ความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ นั้น เขาไม่ต้องการให้สิ่งใดมาแทรกแซงหลี่หยวนเจ๋อวางพู่กันลง สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นและมุ่งไปยังตำหนักของพระชายา นี่เป็นอีกคืนที่นางเลือกจะไม่กลับมานอนที่ตำหนักของหลักของเขา หลังจากที่เขาไม่เปิดประตูให้นางเข้าตำหนัก ที่ทำให้นางอาจจะคิดว่าเขาไม่ต้องการนาง เมื่อก้าวเข้าไปในตำหนักของเหวิ่นจือหยู แสงเทียนอ่อนโยนส่องกระทบสตรีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ นางกำลังอ่านตำราอย่างตั้งใจ ใบหน้างามสงบ ทว่าในความสงบนั้น เขาอดสงสัยไม่ได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่“จือหยู”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลมโตฉายแววประหลาดใจ “หยวนเจ๋อ ท่านมีเรื่องใดหรือเพคะ”หลี่หยวนเจ๋อเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวด้วยน
ค่ำคืนในพระราชวังเปล่งประกายไปด้วยแสงโคมที่จัดเรียงอย่างงดงาม ท้องพระโรงเต็มไปด้วยแขกเหรื่อที่มาร่วมเฉลิมฉลอง ทั้งขุนนางและผู้แทนจากต่างแคว้นที่ได้รับเชิญอีกครั้งหลังจากงานเฉลิมพระชนมพรรษาของฮ่องเต้ ค่ำคืนนี้พิเศษกว่าครั้งไหน เพราะนอกจากเป็นการเฉลิมฉลองความรุ่งเรืองของแผ่นดิน ยังเป็นการต้อนรับข่าวดีเรื่องการตั้งครรภ์ของพระชายาเหวิ่นจือหยู องค์ชายอวี้หรงจากแคว้นเหอหรง หนึ่งในแขกผู้ได้รับเชิญ พินิจมองบรรยากาศรอบตัวพลางระลึกถึงความประทับใจในตัวพระชายาแห่งองค์รัชทายาท เขาเคยเห็นนางแสดงความสามารถในการประลองความรู้ วาดภาพพระตำหนัก สนทนาเรื่องสถาปัตยกรรม และรังสรรค์งานปักอันวิจิตร นางหาใช่สตรีธรรมดา แต่เป็นหญิงที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาและพรสวรรค์ เสียงสนทนาและเสียงหัวเราะแว่วดังไปทั่วท้องพระโรง องค์ชายอวี้หรงกำลังสนทนากับขุนนางชั้นสูง ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาร่วมวง เมื่อสบโอกาส องค์ชายอวี้หรงกล่าวชื่นชมพระชายาอย่างจริงใจ “ฝ่าบาท” เขาโค้งคำนับด้วยความนอบน้อม “กระหม่อมยังคงประทับใจในพระชายาเหวิ่นจือหยูอย่างยิ่ง นางมิใช่เพียงสตรีผู้เพีย
คืนนี้ หลี่หยวนเจ๋อเดินตรงไปยังตำหนักของพระชายาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ปล่อยให้ระยะห่างระหว่างพวกเขายืดเยื้อต่อไปอีกแล้วเมื่อมาถึง แสงตะเกียงยังคงส่องสว่างอยู่ด้านใน เขาเปิดประตูเข้าไปเงียบ ๆ ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของเขากระตุก เหวิ่นจือหยูยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือเรียวพลิกเอกสารนางดูสงบนิ่งและตั้งใจทำงาน แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเขาก้าวเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเคย“ดึกมากแล้ว เหตุใด้เจ้ายังนอน”เหวิ่นจือหยูเงยหน้าขึ้นมองเขาเพียงแวบเดียว ก่อนจะก้มลงทำงานต่อ“หม่อมฉันเพิ่งจัดการเอกสารเสร็จ เพคะ”คำตอบของนางสุภาพ ราบเรียบ แต่ห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด หลี่หยวนเจ๋อเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกถึงกำแพงที่กั้นระหว่างพวกเขา มันไม่ใช่ความเย็นชาหรือการต่อต้าน แต่มันเป็นความเฉยชา ที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบเขาเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะนั่งลงข้างนาง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าอยากให้เจ้าพักผ่อน ช่วงนี้เจ้าทำงานหนักเกินไป”เหวิ่นจือหยูชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หม่อมฉันเพียงทำในสิ่งที่ควรทำเพคะ”เขารู้ดีว่าตลอดมา นางพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ
“ข้าจะคิดเรื่องนี้ให้มากขึ้น เสด็จแม่” เขาตอบเสียงเรียบ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน“หยวนเจ๋อ” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ลูกควรดูแลพระชายาให้มากกว่านี้ อย่าปล่อยให้นางรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะหากวันหนึ่งลูกเสียสิ่งสำคัญไปแล้ว ลูกจะเสียใจ”องค์รัชทายาทชะงักไปเล็กน้อยกับคำเตือนของพระมารดา ดวงตาคมของเขาหลุบต่ำลงคล้ายครุ่นคิด ก่อนจะตอบเสียงเรียบ“เสด็จแม่ ลูกเพียงต้องการให้นางดูแลตัวเองและลูกในครรภ์ให้ดีที่สุด”ฮองเฮาถอนพระทัยเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง“แล้วลูกเคยถามนางบ้างหรือไม่ ว่านางรู้สึกอย่างไร”หลี่หยวนเจ๋อเงียบไป นางใช้โอกาสนี้กล่าวต่อ“ตั้งแต่ลูกอภิเษกกับนางมา นางทำทุกอย่างเพื่อลูก ไม่เคยบ่น ไม่เคยร้องขอสิ่งใด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีผู้กล่าวหาว่านางเป็นสตรีเอาแต่ใจ แต่ลูกเคยเห็นหรือไม่ว่านางเคยเรียกร้องอะไรจากลูกเลย”ดวงตาของหลี่หยวนเจ๋อวูบไหวเล็กน้อย แม้สีหน้ายังคงสงบนิ่ง แต่ภายในใจก็เริ่มเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับ“นางอาจดูเข้มแข็ง แต่ในใจลึก ๆ สตรีที่ตั้งครรภ์ย่อมต้องการกำลังใจ ต้องการให้สามีของนางเป็นที่พึ่ง ลูกอ