ในยามสายวันหนึ่งในตำหนักอันเงียบสงบ เหวิ่นลี่หยานั่งอยู่ที่ตั่งไม้แกะสลัก ลูบศีรษะของหลี่อี้เฉิง พระโอรสน้อยของนางที่กำลังหลับอยู่ในอ้อมแขน เสียงนกร้องเพลงขับกล่อมจากสวนด้านนอก ช่างดูสงบสุขจนเหมือนทุกอย่างในชีวิตสมบูรณ์แบบ แต่ลึกลงในดวงตาของเหวิ่นลี่หยา มีแววแห่งความมุ่งมั่นและวางแผนร้าย นางไม่อยาก
“หยูเอ๋อร์ ข้าอยากเอามังกรมุดถ้ำแล้ว”เสียงขอร้องทื่อๆของพระสวามีทำเอาเหวิ่นจือหยูได้ยินถึงกับอายจนหูแดง ก้นงอนของนางโดนตบเบาๆ เป็นสัญญาณให้นางลุกออกจากตัวเขา มีเหรอที่เหวิ่นจือหยูจะยอม นางทำแค่ขยับตัวหันหน้ามาทางใบหน้าหล่อของพระสวามีโดยที่ร่างบางยังคงอยู่ด้านบนคล่อมลำตัวของพระสวามีอยู่ กริยาของพระช
คำพูดที่เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาทำให้เหวิ่นจือหยูเขินหนักกว่าเดิม ยิ่งนึกถึงคำพูดของพระสวามีด้วยแล้วนางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “หยวนเจ๋อ แล้วท่านไม่อายหมอหลวงหรืออย่างไรเพคะ ถึงได้ถามเรื่องน่าอายแบบนี้ออกไป ถึงท่านอาจจะไม่อายแต่หม่อมฉันก็อายนะเพคะ” “ไม่ต้องอายหรอกพระชายา นี่เป็นเรื่องป
ยามสายของวันใหม่ ดวงอาทิตย์อ่อนโยนทอดแสงลงบนตำหนักอันเงียบสงบ เสียงอ้อแอ้เล็ก ๆ ขององค์ชายน้อยดังก้องอยู่ในห้อง เหวิ่นจือหยูที่กำลังอุ้มลูกน้อยไปมา เผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะจ้องมองพระโอรสที่ส่งยิ้มตอบกลับมา“ฮองเฮาเสด็จ”เสียงขันทีดังขึ้นที่ประตูตำหนัก ก่อนที่เสียงฝีเท้าของนางกำนัลดังขึ้นจากด้านนอก ประตู
“ลี่หยา เจ้าอย่าลืมว่าลูกของเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าก็รักเขาไม่แพ้เจ้า ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่การทำอะไรเสี่ยง ๆเช่นนี้ มันอาจส่งผลกระทบต่อลูก ข้าไม่อยากให้ลูกโดนทำร้าย”“หลี่จวิ้น ท่านคิดว่าเราควรปล่อยให้ลูกของเราถูกมองข้ามไปตลอดจริงหรือ ท่านเป็นพ่อ ท่านย่อมรู้ดีว่าเราต้องทำทุกอย่าง
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ ตำหนักตะวันตกของหลี่จวิ้นที่เคยคึกคักกลับเงียบงัน มีเพียงแสงจันทร์อ่อน ๆ ที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องของเหวิ่นลี่หยา นางกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เพื่อคิดแผนการทำลายเหวิ่นจือหยู และความน้อยใจอ๋องหลี่จวิ้นพระสวามี ในหัวของนางมีความคิดมากมายวนเวียนอยู่ท้องที่ใหญ่โตทำให้นางขย