ไม่ง่ายกว่าจะได้ออกรบ เฝิงมู่หลานดีใจมาก จนแทบอยากจะเข้าไปต่อสู้กับกองทัพศัตรูทันทีแต่ฉู่หนิงกลับส่ายหน้าหัวเราะเสียงค่อย “ทหารม้าฝ่ายศัตรูแข็งแกร่งมาก หากออกไปทำศึกตอนนี้กลับไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายเรา”เฝิงมู่หลานกลอกตามองบน “เจ้านะขี้ขลาดตาขาว!”เฉินอันที่อยู่ข้างกันยิ้มเจื่อน พร้อมอธิบาย “คุณหนูเฝิง ต้าจ้าวมีกองทัพที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะทหารม้าของพวกเขา ถือเป็นสุดยอดทหารเหนือสุดยอด พวกเราล้วนเป็นทหารราบ ออกไปรับศึกไม่เป็นผลดีกับพวกเรา!”ในฐานะที่เป็นแม่ทัพซึ่งเคยต่อสู้กับกองทัพต้าจ้าว เฉินอันเข้าใจความสามารถของกองทัพต้าจ้าวเป็นอย่างดี ก่อนเปิดศึกได้บอกเล่าให้ฉู่หนิงรับรู้แล้วแผนรับมือของฉู่หนิงทำให้เขารู้สึกดีกับองค์ชายผู้นี้ ไม่ได้รีบร้อนอยากสร้างผลงาน โดยการออกไปรับศึกทันทีแม้ตอนนี้พวกเขารวมถึงกำลังพลที่ออกมาจากในเมืองจะมีเกือบสามหมื่นคน แต่ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทหารม้าอย่างอีกฝ่ายเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีจำนวนคนมากมาย อย่างน้อยก็ต้องมีทหารม้าแปดพันนาย จำนวนทหารม้าที่มากมายขนาดนี้บุกอยู่แนวหน้า ทหารราบสามหมื่นคนต้านทานไม่อยู่แน่นอน!แต่เฝิงมู่หลานกลับไม่ฟังคำอธิบายของเฉินอัน ทำ
ยามค่ำคืน ดวงดาวเต็มฟ้า แสงจันทร์กระจ่างสาดส่องทรายสีเหลืองภายใต้ความมืดมิด กองทัพต้าจ้าวราวกับเสือร้ายลงเขา มุ่งหน้าไปเมืองติ้งเซียงพวกเขาแบ่งเป็นสี่ทาง บุกไปประตูทั้งสี่ เวลาเพียงเสี้ยววินาที เสียงบุกกระหึ่มฟ้า ดังสะเทือนไปทั่วบริเวณ“แย่แล้ว ทัพศัตรูลอบโจมตี!”“เร็ว...รีบเป่าแตรสัญญาณแจ้งท่านแม่ทัพ!”ทหารต้าฉู่ภายในเมืองตกใจลนลาน เมื่อเห็นนอกเมืองคลาคล่ำไปด้วยกองทัพศัตรู พลางรีบร้อนเตรียมรับศึก พลางเป่าแตรสัญญาณไปด้วยเสียงแตรสัญญาณที่ทุ้มต่ำทำให้ทุกคนในเมืองตกใจตื่น ฉางหงป๋อกางสองแขนออกเพื่อให้บ่าวสวมชุดเกราะ พลางมองทหารที่รีบร้อนมาแจ้งข่าว แล้วกล่าวเสียงเย็น “ลนลานทำไม กำแพงเมืองติ้งเซียงสูงใหญ่ กองทัพศัตรูไม่อาจบุกเข้ามาอย่างง่ายดาย ตามข้าไปรับศึก คอยดูว่าข้ากำราบศัตรูอย่างไร!”“อีกอย่าง แจ้งแม่ทัพทุกคน ให้พวกเขาเฝ้าประจำการประตูทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศตะวันตกทั้งสามแห่งของเมือง หากไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามเคลื่อนพลออกจากเมือง!”“ขอรับ!”เมื่อได้รับคำสั่ง ฉางหงป๋อที่เตรียมทุกอย่างไว้แต่แรกรีบพากำลังทหารไปทิศเหนือของเมือง แม่ทัพคนอื่นต่างไปประจำการที่ประตูเมืองอีก
ส่วนที่ว่าเหตุใดฉู่หนิงยังไม่เข้าเมือง น่าจะกังวลว่าฉางหงป๋อจะลงมือกับเขาในเมือง”เมื่อได้ยินว่าเป็นข่าวที่ส่งมาจากต้าฉู่ เหล่าแม่ทัพดีใจอย่างมาก“หากเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ย่อมทำได้!”“เหอะเหอะ ขอท่านแม่ทัพให้กำลังทหารแก่ข้าสองหมื่นนาย ข้าน้อยยินดีนำทัพไปตัดหัวฉู่หนิง!”“ข้าน้อยต้องการกำลังทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายก็ปราบฉู่หนิงได้แล้ว!”“ข้าน้อยขอเพียงแปดหมื่นนายก็ได้แล้ว!”เมื่อแน่ใจแหล่งที่มาของข่าว รับรู้ว่าภายใจต้าฉู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด อีกทั้งเบื้องหน้ายังมีเสบียงและเงิน ทำให้เหล่าแม่ทัพดีใจมาก จนแทบอยากนำกำลังทหารบุกไปทันทีทั่วป๋าเหยียนพยักหน้าอย่างยินดี “แม่ทัพทั้งหลายมีความตั้งใจเช่นนี้ ต้าจ้าวของเรามีคนสืบทอดแล้ว ทว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องรัดกุม แม่ทัพมู่หรงคิดว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นคืออีกฝ่ายกำลังแสดงละคร จงใจหลอกล่อให้ฝ่ายเราบุกโจมตี”มู่หรงจู๋พูดไปตามรูปการณ์ “ถูกต้อง ฝ่ายเรามีกำลังทหารมากมาย หากตั้งรับไม่บุก อีกฝ่ายคงทำอะไรพวกเราไม่ได้ส่วนฉู่หนิงผู้นั้นพอมาถึงก็มีความเคลื่อนไหวที่เอิกเกริกเช่นนี้ ยากจะไม่ให้สงสัยว่าเป็นแผนการของพวกเขา ถ้าเกิดเป็นแผนหลอกล่
ทางทิศเหนือของเมืองติ้งเซียง กองทัพต้าจ้าวตั้งค่ายอยู่ที่นี่ มองไปไกลสุดลูกหูลูกตาแม้ที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยทรายเหลือง แต่รอบด้านสิบกว่าลี้ถูกกองทัพต้าจ้าวทำการป้องกันไว้แล้ว ทั่วทั้งค่ายมีรั้วไม้ล้อมรอบ ใต้รั้วไม้ยังมีถุงกระสอบป่านกองไว้จำนวนมากเพื่อป้องกันทรายเหลืองพัดเข้ามาในค่ายพื้นที่กว้างขวางภายในค่าย ขณะนี้มีทหารของต้าจ้าวกำลังฝึกซ้อมในตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังขึ้น เมื่อทุกคนหันมอง เห็นแม่ทัพมากมายสวมชุดเกราะมุ่งหน้าไปที่กระโจมศูนย์บัญชาการคนมากมายขนาดนี้ แทบจะรวมนายทหารระดับสูงทุกคนที่อยู่ที่นี่!พวกทหารต่างตกตะลึง เข้าใจว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนมากมายมารวมตัวกันที่กระโจมศูนย์บัญชาการวินาทีนี้ ความคิดของคนมากมายเริ่มโลดแล่นขึ้นมาเสบียงของพวกเขาถูกรองแม่ทัพต้าฉู่เผาไปแล้ว ช่วงเวลานี้จึงไม่กล้าบุกโจมตีเมือง เสบียงคือปัญหาใหญ่ที่สุดขณะนี้แม่ทัพทุกคนรวมตัวกัน หรือจะบุกโจมตีเมืองติ้งเซียงแล้ว?ท่ามกลางความประหลาดใจของเหล่าทหาร พวกแม่ทัพเข้าไปในกระโจมศูนย์บัญชาการตำแหน่งประธานภายในกระโจมมีเก้าอี้สองตัว ซึ่งมีบุคคลสองคนนั่งอยู่ด้านซ
แม้แต่เหล่าแม่ทัพและทหารที่จงรักภักดีต่อสกุลฉาง ยามนี้ยังมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้พวกเขาไม่เคยนึกถึงปัญหานี้ ทว่าตอนนี้เมื่อฉู่หนิงเตือนสติ ในใจจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างลืมตัวกำลังทรัพย์ของสกุลฉางไม่ต้องสงสัย แต่เหตุใดถูกขังมาครึ่งปีแล้ว ถึงได้ไม่ยอมเอาเงินและเสบียงออกมาเล่า?ไม่เอาเงินและเสบียงออกมาก็ช่างเถอะ เหตุใดยามนี้ยังบังคับให้เผิงไหลจวิ้นอ๋องนำออกมา?ชั่วขณะนั้น ที่แห่งนั้นเงียบสงัดมาก มีเพียงสายลมฤดูใบร่วงพัดผ่านไม่หยุด บางครั้งมีเม็ดทรายเหลืองตกกระทบใบหน้า ทำให้เจ็บปวดยามนี้พ่อลูกสกุลฉางรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้า ราวกับถูกใครฟาดฝ่ามือตบอย่างแรง!ฉางเจิ้งหยางยิ่งโกรธจนตัวสั่นเทิ้มไปหมด อยากจะโต้แย้งแต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเขาควรโต้แย้งอย่างไรดีฉางหงป๋อถลึงตาใส่ลูกชายตัวเองอย่างโกรธจัด ในใจแอบด่าว่าเจ้าลูกล้างผลาญเรื่องนี้ฉางเจิ้งหยางเป็นคนทำให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก ตอนนี้กลับทำให้ฉู่หนิงฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์!เมื่อเห็นเหล่าทหารรอบด้านที่เงียบขรึม ฉางหงป๋อใจหายวาบหากใจคนแตกซ่าน ก็จะนำขบวนได้ยาก!สูดหายใจเข้าลึกๆ ฉางหงป๋อบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง จ้องเขม็งไปที่ฉู่หนิง เอ่ยจริ
“เข้าเมืองตอนนี้?”ฉู่หนิงมองฉางหงป๋อบนกำแพงเมือง มุมปากมีรอยยิ้มหยอกล้อผุดขึ้น “วันนั้นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ฉางเป็นคนเอ่ยด้วยตัวเอง ให้ข้าตั้งค่ายก่อกระโจมอยู่นอกเมือง ทำไมผ่านไปเพียงไม่กี่วัน หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ฉางก็ไม่ยอมรับแล้วล่ะ?”อยากหลอกให้ข้าเข้าเมือง ฝันไปเถอะขอแค่เข้าไปในเมือง เสบียงและเงินทั้งหมดจะกลายเป็นสมบัติของฉางหงป๋อแต่อยู่นอกเมืองไม่เหมือนกัน อย่างน้อยฉางหงป๋อไม่กล้าแย่งเสบียงและเงินอย่างโจ่งแจ้งเรื่องเข้าเมืองคงเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงทหารในเมืองทนกลิ่นหอมของเนื้อที่หลอกล่อไม่ไหว เป็นฝ่ายออกจากเมืองเอง ถึงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแท้จริงถึงตอนนั้น หากอยากแย่งอำนาจทางทหาร คงง่ายราวพลิกฝ่ามือภายนอกมีทัพสามแสนนายคอยกดดัน หากยามนี้ต้าฉู่เกิดความวุ่นวายภายใน ถือเป็นการให้โอกาสกองทัพศัตรูวิธีที่ดีที่สุดคือชิงอำนาจทางทหารโดยไม่เสียเลือดเสียเนื้อฉางหงป๋อในยามนี้สีหน้าเหี้ยมเกรียม ถลึงตาใส่ลูกชายที่ไม่เอาไหนของตัวเองแวบหนึ่งพูดอะไรไม่พูด ดันพูดจาเช่นนั้นออกไป ตอนนี้ดีละ อยากปฏิเสธก็ทำไม่ได้แล้วเพราะอย่างไรคำพูดนั้นพูดต่อหน้าทุกคน หากตอนนี้ปฏิเสธ กลับจะโด