หลังจากเผิงเหยียนเฉิงเล่าเรื่องราวอันขมขื่นของตนจนจบ ลู่หยวนฉีมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาลุ่มลึกปรากฏประกายหนักแน่น
เขามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าใจเขาปวดหนึบอย่างนึกไม่ถึง ชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ ครั้งหนึ่งเคยเปล่งประกายถึงเพียงนั้น แต่กลับถูกโลกโหดร้ายบดขยี้จนเกือบมอดดับ
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ตราบที่ยังมีลมหายใจ วันหนึ่งเจ้าจะลุกขึ้นได้ใหม่ และในครั้งนี้ จะไม่มีผู้ใดพรากศักดิ์ศรีของเจ้าไปได้อีก” สายตาของลู่หยวนฉีอ่อนลง เขาตบไหล่เผิงเหยียนเฉิงเบาๆ ราวต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านสัมผัสนั้น
เผิงเหยียนเฉิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เคยหม่นหมองเหมือนจุดประกายเล็กๆ ขึ้นในความมืดมิด สบตากับชายตรงหน้า ในแววตานั้น ไม่มีความสมเพชเวทนา มีแต่ความนับถือและเชื่อมั่นในตัวของเขา
“เหยียนเฉิง เจ้ามีบุญคุณกับตระกูลข้า” ลู่หยวนฉีเอ่ยเสียงทุ้มชัดเจน
“ต่อให้ไม่มีเรื่องบุญคุณ เพียงแค่เจ้าตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าก็ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าร่อนเร่ไปเผชิญชะตากรรมเดียวดายอีก” เขาหยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างมั่นคง
“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนสกุลลู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย หรือเรื่องจะรบกวนใคร เรือนด้านทิศตะวันออกว่างอยู่ และกว้างขวางกว่า ข้าจะย้ายเจ้าไปพักที่นั่น จนกว่าจะหายดี”
เผิงเหยียนเฉิงเบิกตากว้างเล็กน้อย คำพูดหนักแน่นจริงใจของลู่หยวนฉี ทำให้บางสิ่งในใจเขาสั่นสะท้าน เขาอ้าเล็กน้อยเหมือนจะเอ่ยปฏิเสธ ทว่าอีกฝ่ายยกมือขึ้นห้ามเบาๆ
“อย่าคิดว่าข้าทำเพราะสงสาร ข้าเพียงเห็นว่า บุรุษเช่นเจ้า ไม่ควรถูกโลกเหยียบย่ำจนมอดดับ” ลู่หยวนฉียิ้มบางๆ ด้วยเสียงจริงจัง
“เมื่อเจ้ารักษาตัวหายดีแล้ว ข้าจะให้ท่านอาจารย์ของสำนักศึกษามาเป็นครูส่วนตัวให้เจ้า วิชาความรู้ของเจ้าย่อมไม่ด้อยกว่าผู้ใด เพียงแต่โชคชะตาเล่นตลก ข้าจะช่วยเจ้ากู้ศักดิ์ศรีที่เจ้าสมควรมีคืนมา”
ถ้อยคำเหล่านั้นดุจเปลวไฟอุ่นสว่างในใจบัณฑิตหนุ่มที่เคยมืดมนมานาน เขากัดฟันแน่น ความรู้สึกตื้นตันจุกอยู่ในอก
“ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ตราบสิ้นชีวิต”
“ไม่ต้องมีคำว่าบุญคุณใดๆ ทั้งสิ้น ตอบแทนกันไปมา เมื่อไหร่บุญคุณจะหมดเสียที เจ้าเพียงมีชีวิตอยู่ต่ออย่างกล้าหาญ แล้วสร้างชีวิตใหม่ที่เจ้าสมควรได้รับ นั่นก็พอแล้ว” เขากล่าวเรียบๆ
“ข้าจะรักษาให้ท่านหายดี รับรองว่าไม่กี่เดือนต้องหายแน่ ในช่วงนี้ก็อ่านตำราเตรียมตัวสอบไปด้วยเลย” หมอหลินเองก็กล่าวขึ้นด้วยความยินดี
ในลมหายใจที่ค่อยๆ คลี่คลายนั้น ดวงตาของเผิงเหยียนเฉิง ค่อยๆ สว่างขึ้น แววตาที่เคยหมองเศร้า กลับปรากฏประกายของความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
************************
เช้าวันต่อมา หมอหลิวผู้มากประสบการณ์เพิ่งเก็บเข็มเงินในกล่องไม้ หันมาค้อมตัวให้เผิงเหยียนเฉิงที่นอนพักอยู่บนเตียง
“โรคอ่อนแรงนี้ มิใช่ว่าไม่มีทางรักษา เพียงต้องใช้เวลากับความอดทนอย่างมาก ข้าฝังเข็มขับพิษ เปิดจุดลมปราณให้แล้ว ช่วงนี้ต้องดื่มยาบำรุงเลือดลมทุกวัน ห้ามละเลยเด็ดขาด” หมอกล่าวเสียงหนักแน่น
เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้ารับอย่างนอบน้อม แม้สีหน้ายังคงซีดเซียว แต่ในดวงตากลับฉายแววตั้งใจจริง
เมื่อหมอเดินจากไป เหลือเพียงกลิ่นยาขมกรุ่นคละคลุ้งในอากาศ ผ่านไปไม่นาน ลู่ซือหนานก็เดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ มือเรียวประคองถ้วยยาอุ่นๆ ด้วยความระมัดระวัง
“พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยเรียกเสียงเบา น้ำเสียงมีทั้งความอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว
เผิงเหยียนเฉิงลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างยากลำบาก ลู่ซือหนานรีบวางถ้วยยาลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนเข้ามาประคองเขาอย่างเบามือ
“ข้าต้มยานี้เอง” นางยิ้มบางๆ ดวงหน้าที่มักจะสุขุมมีรอยเขินอายจางๆ
”หมอบอกว่าต้องกินขณะยังร้อนอยู่ ถึงจะได้ผลดีที่สุด”
เผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยาอย่างเชื่องช้า
ขณะที่ปลายนิ้วแตะกันเพียงนิดเดียว นางก็รีบชักมือกลับ ใบหน้าใสแดงซ่านเล็กน้อย“ขอบคุณ” เขารับถ้วยยา พลางพึมพำเบาๆ
กลิ่นยาขมจัดตีจมูก เผิงเหยียนเฉิงหลับตาลงรวบรวมใจ แล้วกระดกดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย
เมื่อเขาวางถ้วยลง ลู่ซือหนานก็นั่งลงข้างเตียงอย่างไม่ถือตัว นางรวบรวมความกล้า สูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้ารู้เรื่องของท่านแล้ว ท่านพ่อบอกข้า” เสียงนางอ่อนโยน ทว่าก็แฝงด้วยความโกรธแค้นแทนเขา
เผิงเหยียนเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ลู่ซือหนานเม้มปากแน่น แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน
“หญิงผู้นั้น ตาต่ำนัก มองไม่เห็นค่าของพี่เหยียนเฉิงเลยสักนิด” ดวงตานางเป็นประกายเจิดจ้า
“ข้าเชื่อมั่นในตัวพี่ ข้าจะช่วยพี่ ในการปีหน้าพี่เหยียนเฉิงจะต้องสอบเคอจวี่ให้ได้ที่หนึ่ง ให้ผู้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าท่านคือสุดยอดบัณฑิต เป็นจอหงวนแห่งแคว้นสือ” นางเอ่ยอย่างแน่วแน่
เผิงเหยียนเฉิงมองนางอย่างตื้นตันใจ น้ำเสียงนางจริงจังเกินวัย แม้แต่ดวงตาคู่งามก็เต็มไปด้วยความตั้งใจจริง จนเขาอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้
“เช่นนั้น...ข้าคงต้องฝากความหวังกับลู่แล้ว” เขากล่าวกลั้วหัวเราะแผ่วเบา
ลู่ซือหนานเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ท่าทางเหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังโอ้อวดความเก่งกาจ
“ท่านวางใจเถิด ข้าไม่ยอมให้พี่เหยียนเฉิงต้องพ่ายแพ้อีกเป็นครั้งที่สอง” นางกล่าวเสียงขึงขัง
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในห้องอันอบอุ่น
ใต้แสงแดดที่สาดลอดหน้าต่างไม้ เสมือนเวลาได้หยุดนิ่ง ณ ช่วงเวลานั้น************************
เช้าวันถัดมา อากาศแจ่มใส แสงแดดอ่อนโยนโปรยปรายลงบนพื้นเรือน ผ่านช่องหน้าต่างไม้ที่เปิดรับลมเข้ามาในห้องพักฟื้นของบัณฑิตหนุ่มที่กำลังนั่งดื่มยาจากชามกระเบื้องลู่ซือหนานเดินนำหน้าสาวใช้คนสนิทที่ถือถาดใบเล็กในมือ เดินเข้ามาในห้องของเผิงเหยียนเฉิงอย่างร่าเริง ในถาดมีทั้งผลไม้สดที่ปอกและจัดเรียงอย่างน่ากิน และขนมที่นางทำเอง“พี่เหยียนเฉิง วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมากแล้ว” เผิงเหยียนเฉิงที่เพิ่งดื่มยาเสร็จ เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาที่เคยหมองเศร้าก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้น เมื่อได้เห็นลู่ซือหนานมาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ ก่อนจะกล่าวต่อ“หมอหลินบอกว่าข้าควรจะเดินเหินบ้าง จะได้ฟื้นตัวเร็วๆ อีกหน่อยก็ว่าจะให้อาหมิงพาออกไปเดินเสียหน่อย” เขากล่าวถึงบ่าวหนุ่มวัยสิบหกที่ลู่หยวนฉียกให้รับใช้ข้างกายเขา“เช่นนั้นก็ดี” นางกล่าวเสียงใส“ข้านำของว่างมาให้ท่านลองชิมดู” นางกล่าวต่อแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน“ลำบากคุณหนูอีกแล้ว” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา ยังคงเรียกสรรพนามที่รักษาระยะห่างแก่ตนกับนางเอาไว้“ไม่ลำบากหรอก ข้าอยากทำเองต่างหาก” ลู่ซือหนานยิ้มกว้างขณะวางจานขนมลงบนโต๊ะไม่นานเสียงฝีเท้าจากบ่าวในเรื
ที่สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสดใสปราศจากเมฆหมอก ลมอ่อนพัดโชยกลิ่นหอมของดอกเหมยกระจายไปทั่วบริเวณบัณฑิตหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น เขาใช้ไม้เท้าที่ถูกสั่งทำให้เป็นพิเศษในการช่วยพยุงเดิน โดยมีบ่าวข้างกายนามว่าอาหมิง ช่วยพาออกจากห้องไปรับลมที่สวนดอกไม้ขณะก้าวเดินอย่างเชื่องช้า มือจับไม้เท้าแน่น เขาสูดกลิ่นหอมของดอกไม้เข้าสู่ปอด รู้สึกว่าร่างกายที่อ่อนแรงเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากศาลากลางสวน เรียกความสนใจจากบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาเรียวคมของเขาเหลือบมองไปเห็นลู่ซือหนาน นางยืนเคียงข้างกับบุรุษผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเผิงเหยียนเฉิงยืนนิ่ง มองภาพนั้นเงียบๆ ใต้เงาไม้ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ลู่ซือหนานก้มหน้าด้วยความเขินอาย ไป๋ซื่ออันที่นั่งอยู่กลับเลื่อนสายตาไปมองสาวใช้คนหนึ่งที่ถือป้านน้ำชาอยู่ใกล้ๆเพียงชั่วพริบตา เผิงเหยียนเฉิงก็เห็นได้ชัดเจนสายตาคู่นั้น เต็มไปด้วยความเจ้าชู้ ลึกซึ้งผิดวิสัยชายที่ควรเอาใจจดจ่ออยู่กับคู่หมายของตนเอง แม้ว่าสาวใช้คนนั้นจะหลบตาอย่างสุภาพ แต่ไป๋ซื่ออันกลับอมยิ้ม ส่งสายตาเชิงเกี้ยวพาอย่างไม่ปิดบังเผิงเหยียนเฉิงหลุบตาลงช้
ภายในห้องพักที่อบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ เผิงเหยียนเฉิงนั่งลงช้าๆ บนตั่งไม้ หันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นสบายยังไม่ทันได้หลับตาพักผ่อน เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นหน้าห้อง“พี่เหยียนเฉิง” ลู่ซือหนานก้าวเข้ามาพร้อมถาดไม้ในมือ ในนั้นวางกาน้ำต้มยาอยู่“ข้าให้ห้องครัวเตรียมยาตามใบสั่งของหมอไว้ให้ท่านดื่ม ข้าอยากต้มด้วยตัวเอง จึงมาเองเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาใสบริสุทธิ์เปี่ยมไปด้วยความห่วงใยเผิงเหยียนเฉิงมองนางเงียบๆ แวบหนึ่งในดวงตาคมกริบมีแววอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางค่อยๆ รินน้ำยาอุ่นร้อนลงในถ้วย แล้วยื่นให้เขาด้วยมือของตนเอง“ยานี้แม้จะขมหน่อย แต่หมอบอกว่าดื่มเป็นประจำจะฟื้นฟูเส้นเอ็นได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มให้กำลังใจเผิงเหยียนเฉิงยื่นมือไปรับถ้วยยามา ดวงมือที่สัมผัสกับปลายนิ้วของนางเพียงแผ่วเบา แต่กลับส่งผ่านความอบอุ่นที่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้านเขารับยามาเงียบๆ ดื่มยาขมเฝื่อนนั้นจนหมดโดยไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย“เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ หลบสายตาอ่อนโยนของนางอย่างระมัดระวังลู่ซือหนานพยักหน้า ยิ้มอ่อนหวาน “เช่นนั้นข้าจะไปดูหม้อยาอีกที ว่
เผิงเหยียนเฉิงในชุดผ้าแพรเนื้อดีสีฟ้า ถือถาดน้ำชาด้วยมือที่กลับมาแข็งแรงมั่นคง เดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักอย่างสง่างามลู่หยวนฉีและอันเหม่ยฉินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเรียบง่ายทว่ามีอำนาจอย่างสงบ เผิงเหยียนเฉิงหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้น“เผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะท่านลุงลู่ ท่านป้าลู่ ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เมตตาช่วยเหลือ ให้ที่พักพิง และให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่ ข้าจะจดจำพระคุณนี้ไปชั่วชีวิต”ลู่หยวนฉีหัวเราะเบาๆ รับถ้วยน้ำชา ยกขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นก็วางลง“เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ้าคือบุตรชายของผู้มีพระคุณเก่าแก่ของข้า” เขาหันไปมองภรรยาของตนอย่างอบอุ่นอันเหม่ยฉินยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นบ้าง“ตอนพวกเราเพิ่งย้ายมาเมืองเจียงเฉิน ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ไม่มีแม้กระทั่งเรือนใหญ่โตอย่างในตอนนี้” นางมองใบหน้าของเผิงเหยียนเฉิงด้วยสายตาเอ็นดู เหมือนมองเด็กคนหนึ่งที่เคยรู้จักมานาน“จำได้ว่าตอนนั้น...เจ้ามักจะตามพ่อเจ้ามาเรือนข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนหนานเอ๋อร์ของข้า เล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแฝงด้วยความคิดถึง“ข้าไม่เคยลืมเ
ขณะที่ภายในห้องโถงใหญ่ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการพูดคุยอย่างดุเดือดด้วยความมุ่งหวังและความโกรธแทนเผิงเหยียนเฉิง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นที่ประตูลู่ซือหนานในชุดผ้าแพรสีอ่อน เดินยิ้มแย้มเข้ามาอย่างร่าเริง นางก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเสียงใส“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินชมตลาดกับเสี่ยวหลานสักครู่เจ้าค่ะ วันนี้ตลาดกลางเมืองคึกคักนัก”ลู่หยวนฉีจึงปรับสีหน้าให้อารมณ์ดีขึ้นจากการพูดคุยกับเผิงเหยียนเฉิง เขาหัวเราะเสียงดัง ลูบเคราไปพลางกล่าว“ไปเถิดๆ แต่พาเหยียนเฉิงไปเดินผ่อนคลายด้วยกันเสียหน่อยสิ เห็นอยู่ว่าข้าสั่งให้พักฟื้นนานแล้ว ออกไปเดินสูดอากาศย่อมดีต่อร่างกาย”ลู่ซือหนานชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเผิงเหยียนเฉิงที่นั่งนิ่งอยู่ไม่ไกลนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าอย่างสุภาพ“ท่านพ่อเจ้าคะ... ข้าว่าให้พี่เหยียนเฉิงพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ เขาเพิ่งหายดี ยังเดินไม่สะดวก หากต้องฝืนเดินกลางตลาดอาจเหนื่อยเปล่าๆ อีกอย่างข้ากับเสี่ยวหลานก็เดินซื้อของตามประสาสตรี พี่เหยียนเฉิงอาจจะเบื่อเอาได้”“ใช่แล้ว ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะ อีกสองสามวันร่างกายแข็งแรงกว่านี้ค่อยว่ากัน” อันเหม่ยฉ
ตลาดเมืองเจียงเฉินครึกครื้นไปด้วยเสียงผู้คน ร้านรวงเปิดเรียงราย กลิ่นขนมอบใหม่และเครื่องหอมลอยตลบไปทั่วลู่ซือหนานเดินทอดน่องไปตามถนนกลางตลาด ดวงตาเปล่งประกายสดใส นางเดินชมข้าวของอย่างเพลิดเพลิน โดยมีเสี่ยวหลานสาวใช้เดินอย่างใกล้ชิด และห่างออกไปเป็นบ่าวอีกสองคนที่ติดตามห่างๆ ตามคำสั่งของลู่ฮูหยินขณะกำลังมองดูร้านเครื่องหอมอยู่นั้น ดวงตาก็พลันเหลือบเห็นเงาคุ้นตาอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ เขาสวมอาภรณ์สีดำทอง ท่าทางหรูหราโอ่อ่า นั่นคือไป๋ซื่ออัน คู่หมายของนางนั่นเองหัวใจของลู่ซือหนานพองโตทันที นางก้าวเท้าจะเข้าไปหา ทว่าในชั่วเวลาถัดมาฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไป๋ซื่ออันกำลังยื่นมือเลือกปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งจากแผง สายตาของเขาเปล่งประกายราวกับมองของล้ำค่าอย่างหวงแหนเสี่ยวหลานที่เดินตามมา เห็นท่าทีผิดปกติของคุณหนู จึงเอียงคอถามเสียงเบา“คุณหนู เหตุใดไม่เข้าไปทักล่ะเจ้าคะ”“ไม่เป็นไร คุณชายไป๋คงกำลังเลือกของขวัญให้ข้า หากข้าเข้าไปตอนนี้ก็จะรู้ล่วงหน้าเสียก่อน จะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้รับน่ะสิ” นางหัวเราะเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มไปอีกทาง“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นตอนได้รั
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์สีเงินที่เริ่มสาดส่องลงมายังสวนกว้าง สายลมเย็นโชยพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสว กลิ่นหอมบางเบาแผ่ซ่านในอากาศยามราตรีลู่ซือหนานเดินเคียงข้างบัณฑิตหนุ่มที่พยุงตัวด้วยไม้เท้าตรงไปที่ศาลา โดยมีบ่าวคนสนิทติดตามอยู่ด้านหลังลู่ซือหนานเหลือบมองเขาอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเผิงเหยียนเฉิงดูสดชื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก สีหน้าซีดเซียวก็มีเลือดฝาดขึ้น“ท่านดูดีขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ พี่เหยียนเฉิง” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจแท้จริงเผิงเหยียนเฉิงหัวเราะเบาๆ เอียงหน้าหลบสายตาอ่อนโยนนั้น“ขอบคุณคุณหนูลู่ที่ดูแลข้ามาตลอด หากมิใช่เพราะครอบครัวของเจ้า ข้าคงมิอาจมีวันนี้”ลู่ซือหนานส่ายหน้าเบาๆ “อย่าได้เกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่...อยากให้ท่านดีขึ้นเร็วๆ เท่านั้น”คำพูดของนางอ่อนหวานและจริงใจนัก จนเผิงเหยียนเฉิงรู้สึกใจอ่อนยวบเขาก้าวข้างกันไปช้าๆ กับนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ปล่อยให้เสียงลมและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเย็นคลอเคล้าเป็นเพื่อนในใจของเขาได้แต่ภาวนาเงียบๆ ขอเพียงให้ช่วงเวลานี้ ยืดยาวออกไปอีกสักนิด ก็ยังดีเมื่อไปถึง เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่บนศาลา
เช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ริมลานเรือนรองมีการจัดโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าขาวสะอาด บนโต๊ะวางเครื่องเขียนอย่างพู่กัน กระดาษไผ่ และจานหมึกไว้อย่างเป็นระเบียบอาจารย์หวัง หัวหน้าผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสำนักศึกษา สวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้ามีริ้วรอยบางเบาแต่ดวงตากลับยังคมกริบเผิงเหยียนเฉิงในชุดบัณฑิตสีคราม เดินด้วยท่าทางที่ไม่ถนัดนัก แม้ท่าเดินยังไม่มั่นคงแต่เขาก็มีความตั้งใจ เดินไปหยุดต่อหน้า ประสานมือคำนับด้วยความเคารพ“ข้าน้อยเผิงเหยียนเฉิง ขอคารวะอาจารย์”อาจารย์หวังพยักหน้าช้าๆ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างนักปราชญ์ผู้มากประสบการณ์“นายท่านลู่ฝากฝังเจ้ากับข้า หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเล่าเรียน เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ที่เมตตาเจ้า”“ข้าน้อยย่อมเต็มกำลัง” เผิงเหยียนเฉิงตอบหนักแน่นหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้น อาจารย์หวังเริ่มจากการทบทวนศาสตร์พื้นฐาน ทั้งวรรณคดี ปรัชญาขงจื๊อ เมิ่งจื้อ ตลอดจนข้อสอบแบบประเมินความรู้ในชั้นสูงเผิงเหยียนเฉิงแม้เพิ่งฟื้นตัวไม่นาน แต่สมาธิกลับแน่วแน่ พู่กันในมือเขาเขียนตัวอักษรได้มั่นคงและสวยงามกว่าที่อาจารย์หวังคาดคิดขณะที่เขาเขียน อาจารย์ห
ตามระเบียงทางเดินทอดยาว ลู่ซือหนานเดินด้วยกิริยาที่อ่อนช้อย ด้านหลังมีเสี่ยวหลานและมู่ผิงเดินถือถาดไม้ที่วางถ้วยยาสมุนไพรและน้ำแกงบำรุงตามหลังอย่างไม่ห่างเมื่อมาถึงหน้าห้องพักหนังสือของเรือนรับรอง นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเคาะประตูเบาๆ“เข้ามาได้” เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังลอดออกมาลู่ซือหนานผลักบานประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดเบาๆ เข้าไป ภายในห้องนั้นบัณฑิตหนุ่มกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในชุดคลุมสีครามเรียบง่าย ข้างกายมีตำราปรัชญาวางกองอยู่เป็นตั้งเมื่อเห็นลู่ซือหนานเข้ามา เขาชะงักมือที่ถือพู่กันไว้กลางอากาศ มองนางด้วยสายตาอบอุ่นแต่แฝงด้วยความสงบ“เจ้าเอาอะไรมาด้วยน่ะ” เผิงเหยียนเฉิงเอ่ยถาม น้ำเสียงแม้นุ่มนวลแต่ฟังออกว่าประหลาดใจเล็กน้อย เพราะนอกจากถ้วยยาแล้วยังมีถ้วยอีกใบที่สาวใช้นำมาลู่ซือหนานยิ้มบางๆ ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะข้างเขา ตอบเสียงอ่อนว่า“ข้าทำน้ำแกงไก่บำรุงมาให้ท่านด้วยตัวเอง ดื่มยาฟื้นฟูร่างกายแล้ว ต้องดื่มน้ำแกงเพื่อเพิ่มพละกำลัง ท่านต้องหายดีเร็วๆ นะ”เผิงเหยียนเฉิงมองนางครู่หนึ่ง ราวกับจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เพียงเอื้อมมือหยิบถ้วยยาอย่างเงียบๆ กลิ่นขมของตัวยาค่อยๆ ลอยฟุ้งในอาก
สายลมพัดต้องใบไม้ในสวนกว้างของสกุลลู่ ใบไม้ไหวระริกอยู่ใต้แสงแดดอุ่นเรื่อ พระอาทิตย์อาบแสงบางเบาลงบนระเบียงทอดยาวทุกเช้าเผิงเหยียนเฉิงจะออกมายืนเหยียบบนหินก้อนเรียบในสวน ฝึกการทรงตัว และเดินไปมาช้าๆ เพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้มั่นคงขึ้นเวลาผ่านไปห้าเดือนเต็ม นอกจากท่องตำราอย่างเอาจริงเอาจัง เขายังไม่ละเลยการรักษาตัวเองแม้แต่เพียงวันเดียวมือขวาซึ่งเคยอ่อนแรงก็ค่อยๆ กลับมาใช้การได้คล่องแคล่วขึ้นแล้วถึงสามส่วน ภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่แม้แต่หมอที่ดีที่สุดยังเอ่ยปากชมว่ายอดเยี่ยมเกินคาดเมื่อยามบ่ายมาเยือน เผิงเหยียนเฉิงก็จะนั่งนิ่งบนม้านั่งใต้ต้นหลิวใหญ่ อ่านตำราเกี่ยวกับปรัชญา คุณธรรม และหลักการปกครองบ้านเมือง เนื้อหาที่จำเป็นสำหรับการสอบเคอจวี่ในปีหน้า ซึ่งเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเขาในการกู้ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงกลับคืนมาแม้ความเหนื่อยล้าจะกัดกินร่างกาย แต่สายตาของเขากลับทอประกายแน่วแน่ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความย่อท้ออย่างเช่นในวันนี้ เผิงเหยียนเฉิงนั่งหลังตรงอยู่หน้าตั่งไม้ เคียงข้างด้วยอาจารย์วัยกลางคนจากสำนักศึกษา ดวงตาเผิงเหยียนเฉิงจ้องเขม็งไปยังตำราที่เปิดวางอยู่ตรง
ในห้องโถงของเรือนใหญ่ของสกุลลู่ ทุกอย่างเงียบสงบหลังจากมื้ออาหารเช้า ลู่หยวนฉีและภรรยานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งอย่างอบอุ่น แสงที่สาดส่องเข้ามาทำให้บรรยากาศในห้องอบอุ่นและเป็นกันเองสายตาของทั้งสองคนมองไปทางหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงเล็กน้อย ลมเย็นจากข้างนอกพัดเข้ามาอย่างเบาบาง มองไปยังทิศทางที่ลูกสาวกับเผิงเหยียนเฉิงกำลังนั่งเรียนกลอนกันในห้องเรียนด้านใน“ดูเหมือนว่าลูกเราจะหายเศร้าแล้วจริงๆ” ลู่หยวนฉีพูดเสียงเบาและยิ้มให้กับภรรยาของเขา“ทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะก้าวผ่านความเจ็บปวดของพวกตนมาได้แล้ว” อันเหม่ยฉินยิ้มตาม“ใช่” ลู่หยวนฉีพยักหน้า“ตัวเหยียนเฉิงเอง ถึงแม้เขาจะเคยผ่านความลำบาก แต่ก็เห็นได้ว่าเขามีความสามารถในการตั้งใจศึกษา รู้จักเป้าหมาย และมีความซื่อสัตย์ไม่หยุดยั้ง ข้าเชื่อว่าบุรุษอย่างเขาหากได้รักลูกสาวเราแล้วก็ยากจะเปลี่ยนใจ”อันเหม่ยฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ข้าเห็นว่าเขาทำให้หนานเอ๋อร์ของเราดูมีชีวิตชีวามากขึ้น หลายวันมานี้ข้าไม่เคยเห็นนางยิ้มสดใสขนาดนี้มาก่อน” “มันเป็นเรื่องธรรมชาติของหนุ่มสาวที่จะมีความรู้สึกแบบนี้ เห็นไหม ทุกครั้
เมื่อกลับมาถึงเรือน ลมเย็นยามค่ำเริ่มพัดผ่านสวนในเรือนสกุลลู่ ใบไม้ปลิวไหวส่งเสียงแผ่วเบาดั่งบทเพลงกล่อมใจลู่ซือหนานเดินนำอยู่ข้างหน้า ก้าวเท้าเบาๆ ทว่าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย ราวกับแม้ร่างกายจะกลับมาได้ แต่ใจยังคงว้าวุ่น เผิงเหยียนเฉิงกับเสี่ยวหลานเดินตามมาเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรพอถึงระเบียงหน้าห้องโถง ลู่ซือหนานก็หยุดเท้า หันกลับมาเผชิญหน้ากับบัณฑิตหนุ่ม ดวงตาคู่งามที่มักเปล่งประกายเสมอ บัดนี้คล้ายมีม่านหมอกบางเบาปกคลุมไว้“วันนี้ข้าต้องขอบคุณท่านจริงๆ” นางเอ่ยเสียงเบา ดวงตาหลุบต่ำเล็กน้อยเผิงเหยียนเฉิงยิ้มบางๆ ส่ายศีรษะช้าๆ ราวกับไม่ต้องการให้เรื่องเล็กน้อยนี้ถูกยกมาพูดถึง“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ หากข้าอยู่ตรงนั้น แต่ปล่อยให้เจ้าถูกดูหมิ่นเสียชื่อ ข้าคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้” น้ำเสียงของเขาทั้งอ่อนโยนและมั่นคงลู่ซือหนานเม้มริมฝีปากแน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่ใจนางโดยไม่ทันรู้ตัว ดวงตากะพริบถี่ๆ เพื่อไล่ความร้อนผ่าวที่เริ่มก่อตัว“แต่เรื่องในวันนี้ คงทำให้ท่านเดือดร้อนด้วย” นางเอ่ยอย่างลังเล น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงเผิงเหยียนเฉิงกลับหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นนุ่มนวลและอบอุ่นดั่ง
ถนนหินเรียบทอดยาวไปเบื้องหน้า ตลาดเย็นเริ่มคึกคัก ผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงแม่ค้าร้องเรียกขายของดังระงมกลบเสียงอื่นๆ ไปหมด กลิ่นขนมหอมๆ ลอยฟุ้งปะปนกับกลิ่นเครื่องหอมและผ้าไหมที่พ่อค้าแม่ค้านำมาตั้งแผงขายตลอดสองข้างทางลู่ซือหนานเดินนำหน้าเล็กน้อย ดวงตากลมใสเปล่งประกายขณะกวาดมองร้านรวงอย่างตื่นเต้น เสี่ยวหลานเดินตามติดอยู่ไม่ห่าง คอยส่งเสียงกระตุ้นเร้าให้แวะชมร้านนู้นร้านนี้เป็นระยะเผิงเหยียนเฉิงเดินตามมาช้าๆ ไม่เร่งรีบ ใบหน้าคมสงบแต่ดวงตากลับอบอุ่นเมื่อทอดมองภาพตรงหน้า“พี่เหยียนเฉิง ท่านเคยมาที่ตลาดเช่นนี้บ้างหรือไม่” ลู่ซือหนานหันกลับมาถามด้วยรอยยิ้มสดใส แก้มนวลขึ้นสีเรื่อด้วยอากาศเย็นเผิงเหยียนเฉิงยกมือไขว้หลัง เดินเทียบข้างนาง พลางส่ายศีรษะเล็กน้อย “เคยมาบ้าง แต่ก็เพียงเพื่อซื้อของจำเป็น ไม่ได้เดินชมเช่นนี้”“เช่นนั้น ท่านต้องลองขนมของร้านนั้นนะเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าวันนี้มีขนมถั่วกวนรสใหม่ด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลานชี้ไปยังร้านขนมข้างทางอย่างตื่นเต้น“ไปกันเถอะ” ลู่ซือหนานหัวเราะเสียงใส นางหันมาเอียงหน้าเล็กน้อย พลางมองบัณฑิตหนุ่ม“พี่เหยียนเฉิงยังไม่เคยลิ้มลองขนมร้านนี้แน่”เผิงเหยียนเ
วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำที่ไหลเอื่อย บาดแผลในหัวใจของลู่ซือหนานไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน แต่ก็ค่อยๆ จางเบาลงทุกครั้งที่นางเลือกจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่หลบหนีทุกเช้าเมื่อลืมตาตื่น นางไม่ได้รอคอยเสียงก้าวเท้าของผู้มาเยือนอีกต่อไป ทุกค่ำคืนเมื่อเอนกายลงบนหมอน นางไม่เฝ้าฝันถึงอดีตอีกแล้ว นางเรียนรู้ที่จะยิ้มให้ตัวเองในกระจก แม้ในวันที่ยังรู้สึกเจ็บลึกอยู่บ้างนางรู้สึกได้ว่าตนเอง แข็งแกร่งขึ้น ความผิดหวังทำให้นางเติบโต ไม่ใช่เพราะไม่มีน้ำตา แต่เพราะแม้มีน้ำตา นางก็ยังสามารถเช็ดมันเองได้ และยืนหยัดต่อไปด้วยหัวใจที่สงบนิ่งกว่าเดิมลู่ซือหนานเดินทอดน่องอย่างไร้จุดหมายอยู่ในเรือน สองมือประสานกันอยู่หน้าท้อง ดวงหน้าเศร้าสร้อยยังไม่คลายจากความผิดหวังในหัวใจเมื่อเดินผ่านศาลาใหญ่ นางก็ชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นอย่างเงียบงันเบื้องหน้าภายในศาลา เผิงเหยียนเฉิงนั่งเรียนอยู่กับอาจารย์ผู้เป็นนักปราชญ์ ตรงหน้ามีตำราหลายเล่มที่กางเปิด วางพู่กันในมือลงเป็นจังหวะราวกับกำลังขีดเขียนคำสำคัญลงไปด้วยความตั้งใจจริง สีหน้าแน่วแน่ มั่นคง ดวงตาทอประกายเคร่งขรึมอย่างที่นางไม่เค
หลังจากคืนนั้น ลู่ซือหนานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แม้นางยังคงเศร้าอยู่บ้าง แต่ไม่หมกตัวอยู่ในห้องเหมือนก่อนอีกแล้ว นางเริ่มออกมาเดินเล่นบ้างในสวน ออกมานั่งอ่านตำราที่ศาลาชมดอกไม้บ้าง แม้จะยังยิ้มได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม ทว่าความสดใสในดวงตาของนางก็ค่อยๆ กลับคืนมาเผิงเหยียนเฉิงคอยสังเกตอยู่เงียบๆ ในใจโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก คงเพียงคอยอยู่ไม่ไกล เฝ้ามองอย่างอ่อนโยน และอยู่เคียงข้างโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดวันหนึ่ง ในขณะที่ลู่ซือหนานกำลังนั่งก้มหน้าคัดลอกบทกลอนอยู่ที่ศาลา เผิงเหยียนเฉิงก็ถือกระดานหินหมึกและพู่กันเดินเข้ามา“เจ้าบอกว่าอยากเรียนแต่งกลอนมิใช่หรือ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ลู่ซือหนานเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยแววตาแปลกใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างบางเบา“ข้ายังอยากเรียนอยู่” นางเอ่ยเสียงแผ่วเผิงเหยียนเฉิงวางกระดานหินลงตรงหน้า เริ่มสอนการเลือกคำ การเรียงวรรคตอนเบื้องต้นอย่างใจเย็น ลู่ซือหนานตั้งใจฟัง นางจับพู่กันด้วยท่าทีจริงจัง แม้มือยังสั่นเล็กน้อยเพราะความประหม่า แต่ก็มีความพยายามอย่างเต็มที่“ดีมาก” เขาชมเบาๆ เ
เวลาล่วงเลยไปหลายวัน บัณฑิตหนุ่มเริ่มเดินได้อย่างมั่นคงขึ้น มือจับพู่กันเขียนได้อย่างคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อน เขาเดินถือตำราในมือซ้ายยกขึ้นอ่าน ในขณะที่มืออีกข้างกำพัดบีบๆ คลายๆ ตามที่หมอหลินแนะนำเอาไว้ขณะกำลังนั่งอ่านตำรา ท่ามกลางความเงียบสงบ เผิงเหยียนเฉิงได้ยินเสียงไอเบาๆ ลอยมาตามลมเขาละสายตาจากตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เดินออกมายังระเบียง เห็นเพียงร่างบางของลู่ซือหนาน กำลังยืนพิงเสาต้นหนึ่ง ดวงหน้าซูบซีด ผิวขาวจัดจนแทบจะกลืนไปกับชุดสีอ่อนที่นางสวมสายลมพัดกระโปรงของนางปลิวเบาๆ นางไอออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพยายามฝืนยืนตัวตรงเผิงเหยียนเฉิงกำหมัดแน่นอยู่ข้างลำตัว ความห่วงใยถาโถมจนแทบจะระเบิดออกมา‘ซือหนาน...’ เขาเรียกนางในใจ แต่ริมฝีปากกลับแน่นสนิท มองสบตากับเสี่ยวหลานที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล ราวกับนางจะบ่งบอกให้เขาช่วยพูดปลอบประโลมคุณหนูผู้โศกเศร้าแต่ในที่สุด เขาทำได้เพียงถอดผ้าคลุมไหล่ของตนวางเอาไว้บนรั้วไม้ใกล้ตัวนาง ไม่แม้แต่จะกล้าสวมให้ แล้วหันหลังกลับไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดนางหันมาเห็นผ้าคลุมไหล่ที่วางอยู่ ก็รับไปกอดไว้แน่น ดวงตาสั่
ที่เรือนสกุลลู่เมื่อไป๋ซื่ออันไปถึง เขาขอเข้าพบลู่ซือหนาน แต่นางไม่ต้องการเจอในตอนแรก จึงให้สาวใช้ไปปฏิเสธที่หน้าประตู ทว่าอันเหม่ยฉินที่ยืนอยู่ด้วย เห็นว่าควรเผชิญหน้ากันให้รู้เรื่อง จึงเอ่ยเสียงหนักแน่น“ออกไปเถอะ พูดให้จบๆ จะได้ไม่มีอะไรค้างคา”หญิงสาวผู้โศกเศร้าจึงจำใจเดินออกไปยังศาลาหน้าเรือนเพื่อพบกับไป๋ซื่ออันที่ยืนรออยู่ สีหน้าของเขาทั้งขุ่นเคืองและกระวนกระวาย“ทำไมเจ้าถึงปฏิเสธของหมั้น” เสียงของเขาแข็งกร้าว แต่พยายามระงับโทสะไว้ลู่ซือหนานเงยหน้ามองเขา ดวงตาฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใส แต่แววตากลับแน่วแน่“ข้าเห็นเจ้าซื้อปิ่นหยกให้สตรีที่หอชมจันทร์ นางเป็นหญิงงามที่เหมาะสมกับท่าน เหตุใดไม่ยกของหมั้นให้นางเสียเล่า”ไป๋ซื่ออันหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบเอ่ยด้วยความลนลาน“นั่นแค่ความผิดพลาด ข้า... ข้าจะให้เจ้าขึ้นเป็นภรรยาเอก อี้จีนางนั้นจะเป็นเพียงอนุ ข้าให้สัญญาได้”แต่คำพูดของเขากลับทำให้หัวใจของลู่ซือหนานเจ็บปวดจนชา นางสั่นศีรษะ น้ำตาคลอเบ้า“ข้าไม่อยากเป็นเพียงภรรยาเอก ข้าอยากเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของสามีของข้า ข้าไม่ต้องการแย่งชิง ไม่ต้องการความเมตตา ข้าอยากได้เพียงความสัตย์ซื่อ” นางเอ่