“ตวนอ๋องจำใจต้องแต่งกับข้า ข้ารู้ว่าเขาเกลียดข้า แต่ถึงขั้นต้องส่งบุรุษอื่นมาให้ข้าดูแลปรนนิบัติเลยหรือ...”
view moreกระแสลมกระโชกแรงทำให้กิ่งไม้น้อยใหญ่โบกสะบัดราวกับเต้นเริงระบำท่ามกลางสายฝน หากยามปกติคงยากจะมองเห็นได้ ว่ากิ่งก้านเรียวเล็กเหล่านั้นโอนอ่อนลู่ลมได้มากน้อยเพียงไรในยามราตรี ทว่าค่ำคืนนี้มิใช่ค่ำคืนธรรมดา แสงสว่างแสบตาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าทำให้สตรีร่างเล็กมองเห็นความน่าหวาดหวั่นของภัยธรรมชาติ พายุใหญ่เช่นนี้มาไม่บ่อยนัก แต่พอมาแล้ว ก็สร้างปัญหาให้มากพอสมควร
หลังจากประเมินสถานการณ์อยู่เพียงหนึ่งจิบน้ำชา[1] นางจึงตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนไปยังห้องครัวที่อยู่นอกตัวบ้าน รีบหยิบถังไม้ขนาดเล็กที่เก่าจนมอง ไม่ออกว่ามันมีอายุมานานเท่าใดแล้วกลับเข้าห้อง วางมันลงบนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ รอยรั่วของหลังคาอยู่ห่างจากเตียงคงไม่รบกวนการนอน แต่อย่างน้อยวันพรุ่งนี้ก็ขอให้มีสักสองห้องในบ้านหลังนี้แห้งสะอาดก็คงเป็นเรื่องดี
เสวียนซือชิง หนาวสะท้านทั่วร่าง มือเรียวบอบบางลูบต้นแขนเบา ๆ เพราะลมที่พัดลอดประตูห้องนอนทำให้หนาวจนสั่นสะท้าน อีกสองสามวันข้างหน้าประตูอาจพังครืน หากไม่ตอกตะปูยึดไว้สักหน่อยคงแย่
นางยิ้มเศร้ายอมรับชะตากรรม เดินไปตรวจสอบกลอนหน้าต่าง ก่อนสะดุ้งจนตัวโยนเพราะเสียงฟ้าผ่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ยากจะนับได้ไหว
“น่ากลัวเสียจริง” นางรีบถอดเสื้อผ้าตัวนอกออกจากร่างเปียกปอน กระทั่งตู้โตว[2]สีซีดก็ถูกถอดออกไปด้วย นางมีเพียงสองสามชุดให้เปลี่ยนผลัด ทั้งยังเล็กจนน่ารำคาญ สามปีก่อนนางมีรูปร่างผอมบาง ดอกบัวคู่งามเพิ่งเติบโตเต็มที่เมื่อสองปีก่อน ยามนี้รู้สึกอึดอัดบ้างจึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด
หลังจากสวมเสื้อตัวในที่บางจนแทบปกปิดอันใดไม่ได้แล้ว เสวียนซือชิง จึงซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนา พลางขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา บ้านเก่า ๆ หลังนี้จึงยังพอมีของที่มีประโยชน์หลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ใช่ซากปรักหักพังทั้งหมดเสียทีเดียว แต่ให้เรียกว่าบ้านคงไม่ถูกนัก เพราะที่แห่งนี้คือตำหนักของท่านอ๋องผู้มีชื่อเสียง รั้งตำแหน่งแม่ทัพคนสำคัญของแผ่นดิน
เสวียนซือชิงนอนคิดเรื่อยเปื่อย คิดถึงคนที่เคยเข้ามาในชีวิต คิดถึงบิดาที่จากไปได้หลายปีแล้ว คิดถึงแม่นมสุ่ยที่รักนางมากจนไม่อาจปล่อยวาง เดินตามนางที่นั่งรถม้าเข้าตำหนักร้างแทนเกี้ยวเจ้าสาว ช่วยปลดผ้าคลุมหน้าสีแดง หลังจากมั่นใจแล้วว่าเจ้าบ่าวของคุณหนูเสวียนในวัยเพียงสิบห้าปีคงไม่ปรากฏตัว ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการผูกสัมพันธ์ในครั้งนั้นมิได้เกิดขึ้นจากความรัก แทบเรียกได้ว่าถูกบังคับเลยทีเดียว
หลังจากนอนกอดตัวเองพลางนึกถึงเรื่องในอดีตอยู่เกือบหนึ่งก้านธูป[3] เปลือกตาของนางก็เริ่มหนักอึ้ง ความจริงเวลานี้คือปลายยามห้าย[4] เลยเวลาพักผ่อนมานานมากแล้ว ทว่าน้ำฝนที่หลั่งไหลผ่านทางรูรั่วตามห้องต่าง ๆ ทำให้เสวียนซือชิงเสียเวลาไปเกือบสองชั่วยาม[5] มีเพียงห้องเดียวในบ้านที่ยังปลอดภัยจากพายุ
นั่นคือห้องนอนหลักของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง พระสวามีที่นางไม่เคยเห็นหน้าแม้แต่ครั้งเดียว
แม่นมสุ่ยปลอบประโลมว่าเจ้าบ่าวสูงศักดิ์อาจติดภารกิจสำคัญ ไม่อาจอยู่ต้อนรับเจ้าสาวที่เพิ่งพ้นวัยปักปิ่นได้ ทว่าเสวียนซือชิงไม่ใช่คนโง่ เรียกได้ว่าฉลาดเฉลียวและเข้มแข็งไม่ต่างจากบิดาผู้รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพ จึงตระหนักรู้ได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับตนและครอบครัว
สกุลเสวียนสูญสิ้นทุกอย่างแล้ว หากไม่แต่งกับท่านอ๋องตามคำสั่งเสียของบิดา ชีวิตของนางคงไม่เหลือรอดและไร้ผู้ดูแล แม้ทางการละเว้นโทษประหารต่อคนสกุลเสวียน ทว่าทรัพย์ที่แต่เดิมก็มีไม่มากนั้นถูกยึดไปจนหมดสิ้นแล้ว หลายชีวิตหนีกลับบ้านเดิมของตนได้ แต่นางเป็นเพียงบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยา ซ้ำร้ายมารดายังจากไปตั้งแต่แรกคลอด เสวียนซือชิงจึงไม่มีทางเลือก นอกจากยอมแต่งงานเพื่อรักษาเกียรติที่เหลือเพียงน้อยนิดของตนเอง
“หนาวจริง...”
เสวียนซือชิงทนไม่ไหวจึงจำต้องลุกออกจากเตียง ตรงไปยังห้องบรรทมว่างเปล่าของท่านอ๋องผู้เป็นพระสวามี นางสวมเพียงเสื้อตัวในบาง ๆ หนาวจนริมฝีปากกระทบกัน กลีบปากเดิมทีหวานฉ่ำมองดูคล้ายผลอิงเถา[6] ยามนี้ไร้สีสันจนน่าสงสาร หากแม่นมสุ่ยยังอยู่คงจะต้องร้องไห้อย่างแน่นอน
แม่นมของนางจากไปได้เกือบปีแล้ว นางใช้เงินเก็บที่มีติดตัวมาไม่มาก จ่ายค่าหมอค่ายาเพื่อยื้อชีวิต ช่วยรักษานางหญิงชราเต็มกำลัง แต่เหมือนสวรรค์ยังเห็นว่านางเสียใจและโดดเดี่ยวไม่มากพอ จึงพรากคนสำคัญคนสุดท้ายของนางไป ทิ้งให้เสวียนซือชิงต้องเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าตามลำพัง
เสวียนซือชิงร้องไห้เพียงสามวันก็ทำใจได้ ทำงานเลี้ยงชีวิตของตนต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนหน้าเก็บตัวอยู่ในบ้าน ปล่อยให้แม่นมสุ่ยออกไปจับจ่ายซื้อของ พอเหลือตัวคนเดียวจึงต้องจัดการทุกอย่างเอง
ทว่ายามออกไปข้างนอกก็ต้องปิดบังฐานะของตนเองให้ดี หากมีคนรู้ว่านางอยู่ตำหนักของท่านอ๋องแล้วยังแต่งตัวซอมซ่อ ชื่อเสียงของเขาคงต้องเสียหายเป็นแน่
คนในเมืองล้วนไม่ทราบว่านางมีตำแหน่งเป็นถึงพระชายา เว้นแต่บุรุษที่แวะเวียนมาส่งข้าวสารและอาหารแห้งปีละสองสามครั้ง เสวียนซือชิงไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน กระทั่งหลังแม่นมสุ่ยเสีย เขาแวะมาพอดี นางจึงขอความช่วยเหลือหลายอย่าง ทั้งเรื่องพิธีศพของหญิงชราและงานซ่อมแซมหนัก ๆ ที่นางไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง
เสวียนซือชิงพ่นลมหายใจยืดยาว อุ้มเอาผ้าห่มผืนโตออกจากชั้นเก็บของในห้องนอนใหญ่ เตรียมยกกลับห้องของตน พลางคิดไปว่าหลังฝนหยุดแล้วจะต้องเสียเงินอีกมากน้อยเพียงใดในการซ่อมแซมหลังคาบ้านและประตู
“คงต้องปักผ้าเพิ่มในยามค่ำ แต่น้ำมันตะเกียงก็แพงเหลือเกิน”
นางยังคงบ่นพึมพำ คิดอยู่ว่าควรนำเครื่องประดับน้อยชิ้นที่ติดตัวมา เมื่อสามปีก่อนไปขายดีหรือไม่ มีหนทางใดบ้างที่จะหาเงินมาเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย โดยไม่ถูกหลังคาบ้านทับตายไปเสียก่อน
นางอุ้มผ้าห่มผืนโตให้แน่นหนา ไม่ยอมให้สัมผัสกับพื้นห้องแม้ว่ามันจะสะอาดดี เพราะเป็นห้องที่นางเข้ามาทำความสะอาดบ่อยมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามา
ทว่าราตรีนี้กลับต่างออกไป...
เสียงประตูหน้าบ้านดังโครมทำหัวใจดวงเล็กตื่นตระหนกราวกับกระต่ายป่าพบเจอพรานล่าสัตว์ นางไม่ได้หวาดกลัวว่าจะมีภัยอันตราย อย่างไรผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ นี่ก็รู้ความอยู่มาก ไม่เข้ามาวุ่นวายยังตำหนักของท่านอ๋อง ถึงแม้จะเก่าจนแทบพัง แต่ก็ยังมีคนอยู่อาศัย ทั้งขบวนเดินทางที่ดูเล็กและน่าหดหู่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของใครอีกหลายคน เสวียนซือชิงจึงสรุปเอาเองว่าเสียงดังน่าหวาดหวั่นนั่นคงเป็นเพราะประตูชำรุดจนทนแรงลมไม่ไหว หาใช่มีคนบุกเข้ามาแต่อย่างใดไม่
ทว่าเสวียนซือชิงคิดผิดไปถนัด เพราะยังมิทันก้าวออกจากห้องของท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ ประตูห้องนอนก็ถูกกระชากออกอย่างแรง แสงสว่างแปลบปลาบที่เกิดขึ้นเพราะพายุร้าย ทำให้เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ดั่งภูผาดูน่าหวั่นเกรงจนนางไม่กล้าขยับตัว กระทั่งส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ยังทำไม่ได้
“เสวียนซือชิง”
เสียงของผู้บุกรุกทุ้มต่ำและแหบพร่า กดดันให้เจ้าของเรือนร่างบอบบางสั่นสะท้านคล้ายเป็นไข้หนัก ทว่านางก็ยังทำใจกล้า ตวาดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วดูไม่มั่นคงเลยสักนิด
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบุกรุกบ้านผู้อื่นยามวิกาล!”
“เสวียนซือชิง ข้าคือสามีของเจ้า”
“ท่านอ๋อง... เช่นนั้นหรือ”
“ไม่ถูกต้องนัก ข้าไม่ใช่ตวนอ๋อง”
“แล้วเหตุใด...”
นางถอยหลังไปสามก้าว กลิ่นสุราโชยมาจากบุรุษแปลกหน้าทำให้นาง ไม่สบายใจ ทว่ายังไม่ทันตัดสินใจว่าจะทำอันใดต่อ เขาก็ถอดเสื้อตัวนอกที่เปียกโชกออก โยนกองลงบนพื้นโดยไม่สนใจรักษามารยาท ทั้งยังไม่สนว่านางคือสตรีที่รั้งตำแหน่งพระชายาของตวนอ๋อง
ในห้องนอนไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ประกายวาววับจากดวงตาที่จ้องมองผ่านความมืดทำให้เสวียนซือชิงต้องกลั้นลมหายใจ รู้สึกราวกับมองเห็นปีศาจที่พร้อมสังหารนางให้สิ้นได้ทุกเมื่อ เขาจัดการท่อนบนจนเปลือยเปล่า และพอเห็นว่านางยังยืนตกใจอยู่ที่เดิม จึงกล่าวประโยคที่ทำให้เสวียนซือชิงหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจทันที
“ตวนอ๋องยกเจ้าให้ข้าแล้ว จงไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบ เอาตัวเจ้ามาให้ข้านอนกอดคลายหนาว หาไม่แล้ว ข้าจะแจ้งต่อท่านอ๋องว่าเจ้าอกตัญญู ไม่ทำตามคำสั่งของสามี!”
สิ้นคำของคนตัวใหญ่ เสวียนซือชิงทิ้งผ้าห่มลงพื้น รีบสาวเท้าออกจากห้องอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่สองขาจะสามารถทำได้ สมองของนางคล้ายหยุดทำงานไปชั่วขณะ เร่งเข้าครัวก่อไฟต้มน้ำตามคำสั่ง แม้มองไม่เห็นชัดว่าบุรุษที่บุกรุกเข้ามามีลักษณะอย่างไร แต่เขาทำให้นางหวาดกลัวเกินกว่าจะขัดใจได้ไหว ยิ่งอ้างว่าเป็นคำสั่งของพระสวามีตวนอ๋องด้วยแล้ว สตรีอับโชคอย่างนางจะกล้าปฏิเสธได้อยู่หรือ
แม้เคยพร่ำบอกกับตนเองเสมอว่าห้ามอ่อนแอ แต่การถูกยกให้กับ คนแปลกหน้าราวกับนางคือสิ่งของไร้ราคา เปรียบได้ดั่งหม้อไหที่แตกหัก กลับทำให้เสวียนซือชิงมิอาจกลั้นน้ำตาแห่งความอัปยศอดสูไว้ได้ หยาดน้ำสีใสไหลเปรอะเปื้อนดวงหน้างดงาม เสียงหวานเศร้ากล่าวออกมาอย่างอัดอั้นตันใจอย่างที่สุดแล้ว
“ตวนอ๋องจำใจต้องแต่งกับข้า ข้ารู้ว่าเขาเกลียดข้า แต่ถึงขั้นต้องส่งบุรุษอื่นมาให้ข้าดูแลปรนนิบัติเลยหรือ...”
[1] หนึ่งพริบตา
[2] เสื้อชั้นใน
[3] ๓๐ นาที
[4] เวลา ๒๑.๐๐ – ๒๒.๕๙ น.
[5] ๑ ชั่วยาม = ๒ ชั่วโมง
[6] ผลเชอร์รี
เจ็ดปีผ่านไป...น้ำเสียงออดอ้อนของพระชายาคนงามสอบถามบุรุษที่นางรักอย่างเอาใจ ว่าเหตุใดวันนี้จึงไม่ยิ้มแย้มให้อย่างที่เคย ทั้งยังทำหน้าบูดบึ้งมิยอมให้เข้าใกล้ ถามอันใดก็มิค่อยยอมตอบ เดาได้ลำบากว่ามีเรื่องอันใดรบกวนสมองอันชาญฉลาดของเขาอยู่แน่“ท่านพี่...”“พี่ไม่อยากพูด ขอทำใจสักครู่แล้วจึงจะอารมณ์ดีได้”“เกิดเรื่องยุ่งยากที่ค่ายทหารหรือเจ้าคะ”เสวียนซือชิงยังคงไม่ย่อท้อ พยายามหลอกถามเอาความจริงที่ทำให้ตวนอ๋องอารมณ์ดีถึงกับยิ้มไม่ออก เขาเพิ่งกลับจากค่ายทหารนอกเมืองในช่วงสาย เป็นไปได้ว่าอาจอารมณ์เสียมาจากที่นั่น หรือว่าเพราะเห็นนางเพิ่งกลับมาจากร้านค้าสกุลหลี่ที่พี่ชายบุญธรรมยกให้ดูแลไม่สิ ร้านค้านั้นเป็นของนาง เพราะตวนอ๋องเฉินฟาหยางมีนิสัยไม่ชอบติดค้างผู้ใด ที่มิชอบมากกว่านั้นคือให้พระชายาติดค้างผู้ใด เขาจึงยอมเสียเงินเล็กน้อยเพื่อซื้อกิจการของคุณชายหลี่จินหมิงเพื่อตัดปัญหา ในเมื่อนางเป็นเจ้าของแล้วแวะเวียนไปดูร้านบ้างก็นับว่าเหมาะสมมิใช่หรือ“ท่านพี่...”“ที่ค่ายทหารปกติดี อวิ๋นฝูแวะมาดูการฝึกทหารก็กลับไปแล้ว จินหมิงเองก็เช่นกัน เขาฝากขอโทษที่มิได้มาเยี่ยมเจ้าด้วยตนเองเพราะติดธุระเร่งด
สามวันแล้วที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียง โดยมีพระชายาคนงามนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง นางค่อย ๆ หยอดน้ำข้าวต้มและป้อนยาบำรุง พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ถูกเนื้อต้องตัวเพราะเขามักปัดมือออกเบา ๆ นิ่วหน้าคล้ายรังเกียจสัมผัสจากนางก็ไม่ผิดนัก‘หนูสกปรก!’‘เหม็น!’‘อย่าถูกตัวเรา!’นอกจากตวนอ๋องจะไม่สบายเพราะต้องทนอยู่ในคุกน้ำนานหลายวัน เขายังสะเทือนใจกับความสกปรกที่ต้องพบเจอ ดูท่าเรื่องที่ฮ่องเต้เหวินจวินเล่าให้ฟังจะมิใช่เรื่องล้อเล่น เห็นได้ชัดจากการปัดป่ายยามมีอะไรถูกตัว รวมถึงเรื่องบ่นพึมพำว่าเหม็นหรือไม่ก็ทำท่าหงุดหงิดทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่บ่อยครั้งเสวียนซือชิงทำอันใดมิได้นอกจากนั่งเฝ้า ในระหว่างนั้นก็หยิบจดหมายที่เขาเคยส่งให้มาอ่านดู ว่ามีเนื้อความสำคัญอันใดที่นางควรรู้บ้าง ปรากฏว่าข้อความที่ได้อ่านทำให้นางปวดร้าวไปทั้งหัวใจมิใช่เสวียนซือชิงคนเดียวที่เสียใจ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางก็ทรมานไม่แพ้กัน‘ชิงชิงยอดรัก ทราบดีว่าเจ้าคงไม่อยากพบหน้า แต่พี่ก็ยังค้นหาราวกับคนเสียสติ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตายก็ตายไม่ได้เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอเจ้าอีก ยามนี้พี่อยู่ได้ด้วยความหวังว่าสักวันเจ้าจะแวะมาเยี
เหล่าภมรและดอกไม้นานาพรรณที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนยามนี้กลับมิอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้เหวินจวิน เดิมทีเขาก็มิได้ชื่นชอบการออกนอกวังหลวง แต่เพราะต้องการให้ฮองเฮาและบรรดาพระสนม รวมถึงเหล่าองค์ชายได้มีโอกาสใกล้ชิด สร้างความปรองดอง ไม่แตกแยกเหมือนบรรดาพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมบิดา งานน่าเบื่อหน่ายจึงถูกจัดขึ้นในทุก ๆ ปี แต่จะให้มีเพียงเหล่าองค์ชายองค์หญิงก็คงไม่สนุก เหล่าลูกหลานขุนนางชั้นสูงจึงได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานนึกไม่ถึงว่าพระชายาคนงามตวนอ๋องก็มาด้วยหัตถ์หนาโบกไล่ข้าราชบริพารไปให้พ้นจากบริเวณ มิลืมกำชับองค์ชาย รัชทายาทที่เพิ่งจะถูกสตรีร่างเล็กกล่าวโทษให้พาฮองเฮาไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ส่วนบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีหลี่ แม้ได้รับคำสั่งเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังเดินวนเวียนอยู่มิไกลนัก“มินึกว่าจะได้เจอตัวจริงของเจ้า นับว่าฟาหยางเลือกพระชายาได้ดี นอกจากจะงดงามอย่างมากแล้ว วาจายังเชือดเฉือนดุจคมมีด สมแล้วที่ทำให้น้องชายของเราพ่ายแพ้จนสิ้นท่า”“ฝ่าบาท...ท่านอ๋องมิได้เลือกหม่อมฉันนะเพคะ ทุกอย่างล้วนเป็นท่านพ่อที่จัดการ”“เรื่องนั้นเราย่อมรู้ดี จำได้เสียด้วยซ้ำว่าตวนอ๋องทำหน้าตาคล้ายจะอาเจี
นับได้ตั้งแต่รับเถ้ากระดูกของบิดา เสวียนซือชิงก็ตกอยู่สภาวะอารมณ์แปรปรวน พริบตาหนึ่งมีความสุขแทบหุบยิ้มไม่ได้ อยากให้พ่อบ้านชราจัด เตรียมรถม้าเดินทางออกนอกเมือง เลือกหน้าผาสูงชันสักแห่งตามความฝันที่ผู้ให้กำเนิดปรารถนา แต่พอนึกได้ว่าบุรุษที่ทำเรื่องนี้ให้เป็นความจริงยังไม่หวนคืนกลับมา นางกลับทุกข์ใจจนต้องแอบร้องไห้ตามลำพังในยามค่ำคืนเก้าวันแล้วที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่โผล่มาให้เห็นหน้า มิแน่ใจว่าติด ราชกิจในวังหลวงหรือว่าพบเจอเรื่องอันตรายอื่นใด นางร้อนใจจึงขอให้พ่อบ้านชราสอบถามไปทางองค์ชายรัชทายาทเหวินอวิ๋นฝู แต่คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงว่าเสด็จอามีธุระสำคัญต้องจัดการ“เหตุใดการรอคอยจึงทำให้รู้สึกแย่นัก”เสวียนซือชิงตระหนักดีว่าการรอคอยนั้นเป็นเรื่องทรมานอย่างมาก ยามเริ่มรักและรอให้คุณชายเฉินหยางกลับมายังตำหนักเยว่ฉีว่าทุกข์ใจอย่างที่สุดแล้ว แต่กลับเทียบไม่ได้กับการรอคอยให้ตวนอ๋องเฉินฟาหยางกลับออกมาจากวังหลวงที่นางจำได้ดีว่ามิใช่สถานที่ที่เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปโดยง่าย‘...หลังจากสูญเสียสององค์ชาย เขาก็มิได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลวงอีก แม้มิใช่ผู้ที่ตัดสินใจผิดพลาด แต่องค์ฮ่องเต้ปัจจ
หากมีเช้าใดที่หม่นหมองที่สุดในชีวิตของเสวียนซือชิง มันคงหนีไม่พ้นเช้านี้ที่ต้องตอบคำถามเจ้าก้อนแป้งว่าเหตุใดจึงต้องตระเตรียมข้าวของเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง ทั้งยังตอบไม่ได้ว่าบิดาของนางจะร่วมเดินทางไปด้วยหรือไม่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มีหรือที่เสียงร้องไห้อย่างเอาแต่ใจจะไม่ดังลั่นจวน“เช่นนั้นรอหนิงเอ๋อร์คุยกับท่านอ๋องให้เข้าใจก่อน แล้วค่อยเก็บของต่อในภายหลังเถิด”เสวียนซือชิงออกคำสั่งต่อสาวใช้ให้พาเจ้าตัวน้อยไปเล่นในสวนอย่างที่นางชอบทำเป็นประจำ ส่วนตนเองก็นั่งรออย่างใจเย็นเพราะเห็นว่ายังเช้าอยู่มาก ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเพิ่งได้รับมอบหมายงานใหม่ เรื่องนอนดึกตื่นสายจึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเขาเหนื่อยอย่างมากเรื่องนั้นนางย่อมรู้ดีที่สุด แม้ไม่เชี่ยวชาญในเรื่องการใช้ชีวิตคู่จนทุกอย่างพังทลาย แต่ปฏิเสธมิได้ว่าตวนอ๋องเฉินฟาหยางเป็นบุรุษที่มีความสามารถ เรื่องสำคัญที่ต้องใช้งบประมาณ ย่อมเป็นเขาที่ต้องคอยตรวจดูเพื่อมิให้มีข้อผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นในภายหลังแน่นอนว่ามีคนไม่มากที่ทราบเรื่อง เรียกได้ว่าตวนอ๋องคือที่ปรึกษาลับขององค์ฮ่องเต้เหวินจวินก็มิผิดนัก หากจะมีเรื่องอันใดที่มองดูแล้วขัดตาไปบ้
เหตุใดเขาจึงหลอกลวงเก่งยิ่งนัก…เสวียนซือชิงหมดแรงแทบทรุด กว่าจะพาตนเองกลับขึ้นรถม้าได้ไหวก็ต้องใช้เวลาพอสมควร โชคยังดีที่เจ้าตัวน้อยผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของคุณชายหลี่ได้สักพักแล้ว นางจึงมีเวลาได้พิจารณาทุกอย่างเงียบ ๆ ตามลำพัง‘เรื่องนี้เหล่าหมอหลวงล้วนทราบกันดี อาการแพ้ถั่วเหลืองของท่านอ๋องร้ายแรงมากก็จริง แต่ก็หายได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นฝังเข็มหรือดื่มยา...’แม้ในใจนึกยินดีที่เสวียนหนิงอันมิต้องทรมานกับการรักษา แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางขบคิดอย่างไรก็มิเข้าใจ เพราะเหตุผลอันใดเขาจึงไม่พูดความจริง“ไม่ได้ส่งท่านพี่หลี่ ซือชิงเสียมารยาทแล้ว”“ซือชิงอย่าลืมใจเย็นให้มาก เขารักเจ้านั้นเป็นเรื่องจริงที่สุด แม้แต่สวรรค์ก็ปฏิเสธไม่ได้ ส่วนเรื่อง…”“ท่านพี่หลี่ไม่ต้องพูดแทนหรอกนะเจ้าคะ ข้าจะไปคุยกับเขาเอง”นางออกคำสั่งให้สองสาวใช้ดูแลเสวียนหนิงอันให้ดี ก่อนหนีไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ในสวนพักใหญ่ห้ามตะคอก...อย่างไรเขาก็เป็นถึงตวนอ๋องเลื่องชื่อ ย่อมต้องระมัดระวังกิริยาให้มาก หากฟังคำอธิบายแล้วยังพอยอมรับได้ นางก็จะก้มหน้ายอมรับและไม่โกรธเคืองเขาให้เสียเวลาขอเพียงคำอธิบายที่สมเหตุสมผล นางขอเพียงเ
Mga Comments