ตอนที่ 2 เจรจา
“แล้วเธอจะได้อะไรถ้าฉันตกลงเป็นผัวเธอ เธอคงไม่ได้ลงทุนทำทั้งหมดนี้แค่เพราะอยากได้ฉันเป็นผัวหรอกใช่ไหม”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันทำทั้งหมดนี้แค่เพราะอยากได้พี่เป็นสามีจริงๆล่ะ พี่จะยอมตกลงหรือเปล่า” ถิงถิงพูดด้วยสายตาออดอ้อนถ้าเป็นคนอื่นคงตกบ่วงเสน่ห์ของเธอแล้ว แต่กับผู้ชายที่ผ่านมารยาผู้หญิงมาแล้วทุกรูปแบบอย่างเขาแค่นี้ไม่คณามือเขาหรอก
“พอดีฉันไม่ใช่ไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่จะเชื่อคำพูดกับท่าทีจอมปลอมของเธอ” อี้ฟานตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันรู้สึกแย่จัง นี่ฉันอุตส่าห์สารภาพความในใจกับพี่เลยนะ พี่ไม่เชื่อฉันหน่อยเหรอ” ถิงถิงพูดเสียงเศร้าและท่าทางเสียใจที่ใครได้เห็นเป็นต้องใจอ่อนให้กับเธอ แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับคนตรงหน้าเลยสักนิด เขายังคงมองเธอด้วยสายตาที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขากำลังหงุดหงิดขนาดไหน
“เลิกเล่นลิ้นแล้วพูดมาตรงๆ เลยดีกว่าว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนกับเธอ” อี้ฟานถามด้วยเสียงต่ำด้วยความหงุดหงิดขั้นสุด
แต่ทำให้เขาหงุดหงิดกว่าก็คือตัวเขาเอง อี้ฟานไม่เข้าใจทำไมเขาถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้ถ้าเป็นปกติเขาคงจะลุกหนี้ไปตั้งแต่คำพูดแรกที่เธอพูด ไม่มาเสียเวลานั่งคุยให้เด็กบ้านั่นมาพูดจายั่วโมโหเขาได้แบบนี้หรอก
ถิงถิงยิ้มให้กับท่าทางหงุดหงิดของคนตรงหน้า แต่ก็แอบเสียดายที่คนตรงหน้าไม่หลงกลเธอไม่งั้นอะไรก็คงง่ายกว่านี้ แต่ก็เพราะเขาแบบนี้เขาถึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาเป็นสามีของเธอ
“พี่นี่จัดการยากเหมือนที่คนเขาพูดกันเลยนะ ฉันไม่ล้อเล่นกับพี่แล้วก็ได้ งั้นเรามาคุยเรื่องจริงจังกันเถอะ” ถิงถิงพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ต่างจากตอนแรกที่คุยกับอี้ฟานอย่างกับเป็นคนละคน จนอี้ฟานอดแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอไม่ได้
“ฉันต้องการทำสัญญาแต่งงานกับพี่” ถิงถิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีท่าทางของการพูดเล่นเหมือนตอนแรก
“หึ เธอคงเป็นบ้าไปแล้วสินะ สัญญาแต่งงานเนี่ยนะ ถ้าอยากหาเพื่อนเล่นก็ไปเล่นที่อื่น ฉันเสียเวลากับเธอมามากพอแล้ว อาคังไล่สองคนนี้ออกไป” พูดจบอี้ฟานก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูทันทีโดยไม่สนใจว่าหญิงสาวจะตกใจแค่ไหน เขาทนฟังเรื่องไร้สาระมามากพอแล้ว และจะไม่ทนฟังมันอีกแม้แต่วินาทีเดียว แต่ก่อนที่อี้ฟานจะเดินถึงประตูเสียงของหญิงสาวก็หยุดเขาไว้ได้อีกครั้ง
“คุณปู่ของฉันป่วย” คำพูดของถิงถิงทำให้มือที่กำลังจะเปิดประตูต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ
“เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไร” อี้ฟานถามซ้ำอีกรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฟังผิด
ถิงถิงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดประโยคเดิมให้อี้ฟานอีกครั้งอย่างชัดๆ “ฉันบอกว่าคุณปู่ของฉันป่วย”
“ปู่ของเธอ ผู้เฒ่าจางนะเหรอ” อี้ฟานยังคงทวนคำพูดของหญิงสาวซ้ำ เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อหรือยอมรับว่าเรื่องที่ได้ยินเป็นความจริง
คุณปู่ที่ถิงถิงพูดถึงก็คือคุณปู่จางที่เขาเคารพนับถือ และถือว่าเป็นไอดอลเลยก็ว่าได้เพราะท่านเป็นคนที่ทำงานเก่งและก็นำพาตระกูลจางไปสู่ความยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ และเขาเองก็หวังว่าสักวันเขาจะทำได้อย่างคุณปู่จาง ว่าแต่ท่านป่วยงั้นเหรอป่วยได้ยังไงป่วยตอนไหน ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินข่าวนี้เลย
“คุณปู่ป่วยมาได้เดือนกว่าๆแล้ว ความจริงต้องบอกว่าคุณปู่ป่วยมานานแล้วแต่ท่านไม่ได้ป่วดหนักเท่าตอนนี้ เมื่อสองเดือนก่อนอยู่ๆ อาการของคุณปู่ก็ทรุดลงแต่ท่านไม่ยอมไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลและคุณปู่ก็ไม่ต้องการให้คนภายนอกรู้ถึงอาการป่วยของท่าน” ถิงถิงพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เศร้าและหวาดกลัว ตั้งแต่ที่นั่งคุยกันมาเขาไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกจริงๆ ของผู้หญิงตรงหน้าได้เลย มีแค่ครั้งนี้ที่เขารู้สึกว่าเธอพูดด้วยความรู้สึกจริงๆ
“แล้วตอนนี้ท่านรักษาตัวอยู่ที่ไหน” อี้ฟานกลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะถาม
“คุณปู่รักษาตัวอยู่ที่บ้านพักนอกเมือง” ถิงถิงตอบแล้วก็เงียบไป เพราะเธอพยายามที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เธอพยายามทำตัวเข้มแข็งมากตลอดแต่ทุกครั้งที่คิดถึงอาการป่วยของคุณปู่เธอก็อดที่จะกลัวไม่ได้
“อาการของท่านแย่มากเลยเหรอ” อี้ฟานคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจถามออกไป
“ค่ะ คุณปู่เคยหัวใจหยุดเต้นไปสองครั้งแต่หมอก็ช่วยท่านกลับมาได้ แต่หลังจากฟื้นท่านต้องใส่ท่อช่วยหายใจตลอดเวลา ส่วนตอนนี้ท่านก็นอนหลับมากกว่าตื่น” ถิงถิงพูด เธอยังจำเหตุการณ์ที่คุณปู่หยุดหายใจตอนนั้นได้เป็นอย่างดี เธอเข้าไปเยี่ยมคุณปู่ตามปกติเหมือนทุกๆ วัน แต่อยู่ๆ เครื่องวัดชีพจรก็หวีดร้องเสียงดังแล้วหมอกับพยาบาลก็ต่างพากันวิ่งเข้ามาให้ห้องก่อนที่เธอจะถูกกันตัวให้ออกมารออยู่ข้างนอก
“เธอเลยอยากแต่งงานกับฉันเพื่อให้ท่านสบายใจงั้นเหรอ” อี้ฟานถาม ที่ผ่านมาเขาเคยได้ยินปู่จางพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นห่วงกลัวว่าหลานสาวของท่านจะไม่มีใครดูแล
“นั่นก็ส่วนหนึ่งแต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด พี่ก็คงพอจะรู้เรื่องภายในตระกูลฉันใช่มั้ย” อี้ฟานพยักหน้าตระกูลฮั้วของเขาเองก็สนิทสนมกับตระกูลจางมานานพอสมควร เพราะปู่ของพวกเขาสนิทกันและตระกูลจางก็ได้ช่วยตระกูลฮั้วของเขาไว้หลายครั้งในตอนที่คุณปู่ของเขาเริ่มทำธุรกิจ เขาจึงรู้เรื่องภายในของตระกูลพอสมควร
“ตอนนี้คนในตระกูลจางกำลังแย่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลสินะ” นี่เป็นเรื่องที่เดาได้ไม่ยากเลย ในตระกูลที่ใหญ่โตแบบนี้จำเป็นจะต้องมีหัวหน้าตระกูลเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในตระกูล โดยปกติจะมอบตำแหน่งนี้ให้กับลูกชายคนโตที่เป็นสายเลือดหลัก แต่ลูกชายคนโตเพียงคนเดียวของตระกูลจางก็คือพ่อของหญิงสาวตรงหน้าเขาได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อสิบสองปีก่อน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ฉันต้องแต่งงานกับเธอ” ถึงอี้ฟานจะเข้าใจเรื่องภายในพวกนั้นแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าการแต่งงานจะช่วยเรื่องภายในพวกนี้ได้ยังไง
“ฉันต้องการอำนาจของพี่” ถิงถิงพูดพร้อมกับจ้องหน้าอี้ฟานด้วยสายตาจริงจัง “ฉันอยากให้พี่ช่วยหนุนหลังหวังเหล่ย”
“หวังเหล่ย? น้องชายของเธอนะเหรอ” เขานึกถึงเด็กชายตัวเล็กที่ยืนเกาะแขนของพี่สาวแน่นคนนั้น ตอนที่เจอกันเมื่อสิบสองปีก่อนเด็กนั่นอายุประมาณห้าขวบ ถ้างั้นตอนนี้ก็คงประมาณสิบเจ็ด
“ใช่ ตอนนี้หวังเหล่ยอายุสิบเจ็ดปีแล้วอีกหนึ่งปีก็จะบรรลุนิติภาวะ แต่ก่อนหน้านั้นเขาจำเป็นต้องมีผู้ปกครอง”
“ก็เธอไง เธอเป็นพี่สาวแถมบรรลุนิติภาวะแล้ว เธอเป็นก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องมาแต่งงานกับฉัน ถ้าอยากได้การสนับสนุนฉันสนับสนุนให้ได้ ยังไงน้องชายเธอก็มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการเป็นผู้นำตระกูล” อี้ฟานพูดเรื่องมันไม่เห็นจะยากตรงไหน แต่ถิงถิงกลับส่ายหน้า
“แค่นั้นไม่เพียงพอหรอก ถ้าทำแค่นั้นได้ฉันจะให้พี่แต่งงานกับฉันทำไม” อี้ฟานยังคงไม่เข้าใจในเมืองนี้อำนาจของตระกูลจางยิ่งใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ตระกูลของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลจางเลย ถ้านับรวมอำนาจที่เขาสร้างไว้นอกเมืองอีกเขาอาจจะเหนือกว่าตระกูลจางในตอนนี้เลยก็ว่าได้แค่นี้ยังไงพออีกเหรอ
“พี่คิดว่าการหนุนหลังจากคนภายนอกจะสู้การหนุนหลังของคนภายในได้เหรอ ถ้าพี่อยากช่วยหวังเหล่ยจริงๆ พี่ต้องเขามาเป็นคนใน”
“หมายความว่าถ้าฉันคิดจะช่วยหนุนหลังน้องชายเธอฉันต้องแต่งงานกับเธอใช่มั้ย” อี้ฟานพูดพร้อมกับจ้องหน้าของหญิงสาว
“ใช่ และฉันเองก็จะช่วยโครงการพัฒนาเขตที่อยู่ที่พี่อยากทำ” ถิงถิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ตอนนี้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงแค่สายตาของทั้งสองที่จ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนในที่สุดอี้ฟานก็ต้องเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน
“เธอจะทำได้ยังไง ถ้าคุณปู่จางเสียเธอก็จะไม่มีคนคุ้มกะลาหัว ตอนนั้นเธอจะเอาปัญญาที่ไหนมาช่วยฉัน” สิ่งที่อี้ฟานพูดไม่ต่างจากการดูถูกเธอเลย แต่มันก็คือความจริงที่เธอทำตัวแบบนี้ได้ก็เพราะเธอมีคุณปู่เป็นคนหนุนหลัง แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอกเธอเองก็มีกำลังพอจะดูแลและปกป้องตัวเองได้แต่ไม่จำเป็นต้องบอกให้เขารู้
“แต่ตอนนี้คุณปู่ยังอยู่ และฉันมั่นใจว่าพี่จะได้รับการช่วยเหลือจนถึงที่สุด” ข้อเสนอที่ถิงถิงเสนอมาก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันถ้าแค่แต่งงานแล้วมันแก้ปัญหาทุกอย่างได้ง่ายขนาดนั้นมันก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย เขาได้พัฒนาเขตที่อยู่อาศัยอย่างที่เขาต้องการไม่ต้องปวดหัวรับมือกับพวกตาแก่ที่เห็นแก่เงินด้วยซ้ำ ส่วนยัยเด็กนั่นก็ได้คนคอยหนุนหลังน้องชายและเขายังได้ตอบแทนบุญคุณที่คุณปู่จางเคยช่วยตระกูลเขาไว้ด้วยนับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ติดอยู่อย่างเดียว
“แต่ฉันก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว” อี้ฟานบอก ถิงถิงก็ดูไม่ได้ตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน
“ฉันไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะเป็นปัญหา เพราะถึงยังไงคนที่พี่ชอบก็ไม่ได้ชอบพี่” ยัยเด็กนี่รู้ไปถึงขนาดว่าคนที่เขาชอบคือใครเลยเหรอทั้งๆ ที่เขาไม่เคยบอกใครเลยด้วยซ้ำว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร คนที่สืบข่าวให้เธอเก่งขนาดไหนกันถึงรู้
“ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะต้องแต่งงานกับเธอ”
“แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่พี่ต้องปฏิเสธฉัน” ถิงถิงพูดก่อนจะจ้องหน้าอี้ฟานแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“แต่งงานกับฉันซะ แล้วปัญหาของพวกเราจะได้จบ”
ตอนที่ 34 สัญญาสองปี (NC) จบ“พี่ ฉันช่วยค่ะ” ถิงถิงเดินเข้าไปช่วยรับเสื้อสูทของอี้ฟานมาวางพาดไว้ที่เก้าอี้ส่วนอี้ฟานก็คลายเนคไทออก พร้อมกับปลดกระดุมที่คอเสื้อกับแขน ก่อนจะอุ้มคนตัวเล็กแล้วเดินไปที่โซฟา เขานั่งลงที่โซฟาโดยมีถิงถิงนั่งลงบนตักถิงถิงมองใบหน้าหล่อเหลาของสามีของเธอแล้วขำออกมาจนคนตัวใหญ่ต้องถาม“ขำอะไร”“พอมองหน้าพี่ใกล้ๆแบบนี้แล้วอดคิดถึงงานแต่งไม่ได้เลยค่ะ” ถิงถิงตอบก่อนจะขำออกมาเบาๆพวกเขาสองคนแต่งงานมาได้เดือนกว่าแล้ว แต่คิดถึงวันแต่งงานทีไรถิงถิงก็อดขำไม่ได้ เพราะความขี้หึงของอี้ฟานเกือบทำให้งานแต่งงานเกือบล่ม เพราะเขาให้เหตุผลว่าเจ้าสาวของเขาสวยเกินไปไม่อยากให้ใครเห็น งานตอนเช้าไม่เท่าไรเพราะเป็นงานพิธีการและมีแค่คนในครอบครัวและชุดที่เธอใส่ก็ค่อนข้างเรียบร้อย แต่ปัญหามันมาเกิดในตอนเย็นนี่สิเพราะตอนเย็นเป็นงานฉลองแล้วอี้ฟานก็เป็นคนเปลี่ยนงานในตอนแรกที่จะจัดแค่งานเล็กๆ แต่เขากลับเพิ่มแขกขึ้นมาเกือบสองเท่า นั่นยิ่งทำให้มีคนเห็นเจ้าสาวคนสวยของเขามากขึ้น แล้วชุดตอนเย็นของถิงถิงส่วนหลังยังเป็ยซีทรูถึงจะมีลายลูกไม้ปกปิด แต่เขาก็ยังหวงอยู่ดี“เธอไม่รู้หรอกว่าวันนั้นฉันอยากต
ตอนที่ 33 แต่งงานสักที“ขยับไปทางขวาอีก ใช่ๆตรงนั้นแหละ วางได้เลย เสร็จตรงนี้ช่วยไปดูแจกันดอกไม้ในสวนด้วยนะ” ซิงเยียนสั่งงานลูกน้องด้วยความวุ่นวายเพราะเธอต้องทำงานแข่งกับเวลา“พี่ซิงเยียนพี่ไปดูที่ซุ้มให้หน่อยว่าโอเคหรือยัง” เสียงลูกน้องที่รับผิดชอบที่ซุ้มเรียก“พี่ซิงเยียนดอกไม้ที่สวนไม่น่าจะพอทำไงดีพี่” เสียงลูกน้องอีกคนดังขึ้น“พี่ซิงเยียนแล้วในห้องรับแขกล่ะพี่ เอาไง” ลูกน้องอีกคนถามขึ้นตอนนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่เสียงเรียกพี่ซิงเยียนๆ จนเธอหนวกหูไปหมด สาเหตุที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเธอหรือลูกน้องทำงานไม่ดี แต่มันเป็นเพราะนายจ้างจอมเรื่องมากของเธอต่างหากที่อยู่ๆก็เพิ่มงานมาให้เธอโดยไม่ให้เธอได้ตั้งตัวก่อน ซึ่งนายจ้างของเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนและน้องสาวที่รักของเธอนั่นเอง ใช่แล้วในที่สุดก็ถึงงานแต่งงานของอี้ฟานและถิงถิงก็มาแล้วหลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายทั้งหลายในที่สุดวันพรุ่งนี้เป็นวันจัดงานแต่งของอี้ฟานกับถิงถิง ซึ่งเธอจัดเตรียมงานของทั้งสองเสร็จเรียบร้อยอย่างสวยงาม แต่ว่าเมื่อวานอี้ฟานก็โทรหาเธอแล้วบอกกับเธอว่าเขาอยากเพิ่มงานพิธีการแบบจีนในช่วงเช้า เดิมทีเธอก็ปฏิเ
ตอนที่ 32 ถอนรากถอนโคนก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออกแล้วชายหนุ่มหน้าหวานก็เดินเข้ามา“พี่ซ่งเหยียนมาแล้วเหรอคะ” เสียงหวานทักเข้าขึ้นทันทีที่เธอหันมามองเขา“ครับ” ซงเหยียนตอบรับสั้นๆ เขามองถิงถิงที่ตอนนี้นั่งพิงอกของอี้ฟานอยู่บนเตียงผู้ป่วย โดยมีอี้ฟานกำลังป้อนผลไม้ใส่ปากของเธอ ทำเอาซงเหยียนถึงกับพูดไม่ออกกับการแสดงความรักของทั้งสองคน“ทำไมนายมาช้าขนาดนี้ รู้มั้ยฉันต้องทนนั่งดูสองคนนั้นแสดงความรักกันจนฉันขนลุกไปหมดแล้ว” เฉินตงตงลุกขึ้นมาโวยวายใส่ซงเหยียนจนคนถูกโวยวายขมวดคิ้วใส่“ผมจะมาตอนไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ” ซงเหยียนถามหน้านิ่งๆ “ทำไมจะไม่เกี่ยว ก็ที่ฉันไปไหนไม่ได้ต้องทนดูสองคนนั้นโชว์หวานก็เพราะรอนายอยู่ไง” ตงตงบอก ซ่งเหยียนหันไปมองคุณหนูของเขาก่อนจะขอคำอธิบายเรื่องที่ตงตงพูด“หมายความว่ายังไงครับคุณหนู อย่าบอกนะว่าผมต้องทำงานร่วมกับคุณชายเฉินอีกแล้ว” ซ่งเหยียนถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ“นี้ๆ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง น้ำเสียงนายเหมือนไม่ค่อยพอใจที่ได้ทำงานกับฉันเลย” ตงตงอดที่จะถามไม่ได้“ครับ คุณชายเฉินเข้าใจไม่ผิดหรอกครับ ผมไม่อยากทำงา
ตอนที่ 31 คิดบัญชี“อ๊ากกกกกกก พวกมึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้เลยนะ รู้มั้ยกูเป็นใคร อ๊ากกกกก” เสียงร้องโหยหวนกับคำขู่ของจางหย๋งดังลั่นห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกปิดตาย ซึ่งภายในห้องมีคนอยู่ไม่กี่คน“ไม่อยากเจ็บก็หยุดดิ้นสิ ฉันกำลังทำแผลให้นายอยู่ไม่เห็นเหรอ พวกนายก้จับมันแน่นๆหน่อยอย่าให้มันขยับได้” เสี่ยวปิงพูดขึ้นลูกน้องของอี้ฟานที่กำลังล๊อกแขนขาของจางหย๋งไม่ให้ขยับมองการทำแผลของเสี่ยวปิงด้วยความสยอดสยอง เพราะตอนนี้เสี่ยวปิงกำลังใช้มีดกรีดไปที่แผลถูกยิงของจางหย๋งก่อนจะควักเอาลูกกระสุนออกมาแล้วทำความสะอาจแผลโดยการเทแอลกอฮอราดไปบนแผลทั้งขวด“อ๊ากกกกกกก อีเสี่ยวปิงมึงกล้าทำกูเหรอ อย่าให้กูหลุดไปได้นะมึงกูไม่เอามึงไว้แน่” จางหย๋งร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับขู่อาฆาตเสี่ยวปิงไว้ แต่เสี่ยวปิงก็ไม่ได้สนใจ“หึ ก่อนคิดจะมาแก้แค้น แกหาทางหนีไปให้ได้โดยที่ไม่ตายก่อนดีกว่า” เสี่ยวปิงพูดพร้อมกับลงมือเย็บแผลของจางหย๋งแบบสดๆ จนหมอนั่นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง “แต่แกไม่ต้องห่วงนะ แกจะไม่ได้ตายง่ายๆหรอก เพราะแบบนั้นมันสบายเกินไป คนอย่างแกมันต้องทรมารจนร้องหาความตายแต่ก็ตายไม่ได้ต่างหาก”คำพูดของเสี่ยวปิงที่พ
ตอนที่ 30 ช่วย“อ๊ากกกกกก”หลังจากเสียงปืนดังก็เป็นเสียงร้องด้วยความทรมานของใครบางคนดังขึ้น แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของเสี่ยวปิงและเสียงของถิงถิง เพราะเสียงร้องเจ็บปวดนั่นเป็นเสียงของผู้ชายและเสียงนั่นก็คือเสียงของจางหย๋ง หมอนั่นถูกปืนยิงเข้าที่มือและที่ขา จนต้องลงไปร้องโอดครวญที่พื้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก อยู่ๆถิงถิงก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของใครบางคนที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะเธอจำความอบอุ่นและสัมผัสนั้นได้ โดยเฉพาะกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ซึ่งเป็นกลิ่นที่เธอเคยบอกว่าเหมาะกับเขาอี้ฟานกอดลูกพีชของเขาไว้แน่ เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของคนตัวเล็ก ยิ่งได้เห็นเธอที่กอดเขาพร้อมกับสะอื้นร้องไห้มันทำให้เขายิ่งแทบคลั่ง“จัดการมันแต่อย่าให้มันแต่อย่าให้มันตายเพราะมันต้องทรมานยิ่งกว่านี้” อี้ฟานสั่งลูกน้องของเขาที่พามาด้วยน้ำเสียงที่ใครได้ฟังต่างก็ต้องหวาดกลัว เพราะมันทั้งเย็นชาและเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ“พะ พี่” คนตัวเล็กเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ที่กอดเธออยู่ก่อนจะส่งเสียงเรียกเบาๆ จนแทบจะเหมือนเสียงกระซิบอี้ฟานก้มมาสพตาหญิงสาวก่อนที่เขาจะเห็นรอยแดงกับคราบเลือดที่ใบหน้าของเธอ และนั่นยิ่งท
ตอนที่ 29 จางหย๋งถิงถิงเริ่มได้สติแต่เธอรู้สึกว่าไม่สามารถขยับตัวได้ดังใจเพราะว่ายังมึนงงอยู่ เธอพยายามฝืนลืมตาด้วยความยากลำบากเพราะรู้สึกว่าหนังตามันหนักและรู้สึกเวียนหัวจนลืมตาแทบไม่ขึ้น แต่เธอก็พยามฝืนมันจนในที่สุดเธอก็ลืมตาได้สำเร็จเธอมองสำรวจรอบๆห้องที่มือมีเพียงแสงไฟสลัวๆที่มาจากหน้าจอทีวีที่กำลังดูหนังฆ่าตกรรม ถึงความสว่างจากแสงทีวีจะมีไม่มากแต่ก็พอให้เธอมองเห็นภายในห้องได้ เธอพยามเพ่งสายตาเพื่อมองว่าคนที่นั่งหันหลังดูทีวีอยู่เป็นใคร“จางหย๋ง” ถิงถิงอุทานชื่อของคนที่นั่งดูทีวีอยู่ในห้องออกมาทันทีที่รู้ว่าเป็นใคร นั่นลูกชายบุญธรรมของอาเว่ยนี่ ทำไมถึงเป็นหมอนั่นที่มาอยู่ที่นี่จางหย๋งพอได้ยินชื่อของตัวเองก็หันกลับมามองถิงถิง ก่อนหมอนั่นจะส่งรอยยิ้มที่ชวนขนหัวลุกไม่ต่างจากฆ่าตกรที่ปรากฏในทีวีที่กำลังฉายอยู่ให้กับหญิงสาว“ตื่นแล้วเหรอ มึงตื่นเร็วกว่าที่กูคิดอีก กูนึกว่ามึงจะนอนจนถึงชาติหน้าซ่ะอีก เสียดายว่ะหลับไปแค่ครึ่งชั่วโมงเองสงสัยยานอนหลับจะอ่อนเกินไป” จางหย๋งพูดขึ้นก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วเดินมาหาถิงถิงที่นอนอยู่บนเตียง“นี่เป็นฝีมือนายเหรอ” ถิงถิงถาม ตอนนี้เธอเข้าใจสถานการณ
ตอนที่ 28 ติดกับ“คุณหนูคะ พรุ่งนี้คุณเว่ยอิงขอนัดพบคุณหนูคะ คุณหนูจะไปพบเธอหรือเปล่าคะ” เสี่ยวปิงรายงานถิงถิงวางปากกาในมือลงก่อนจะมองเสี่ยวปิง เธอใช้เวลาคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าตกลง“เอาสิ พรุ่งนี้ก็ไม่มีงานด่วนอะไร ฉันเองก็มีเรื่องที่อยากจะคุยกับอาเว่ยพอดี” ความจริงช่วงนี้ถิงถิงไม่ค่อยอยากจะพบใครเพราะใกล้ถึงงานแต่งของเธอแล้ว งานของเธอเลยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว“แล้วคุณหนูจะให้แจ้งประธานฮั้วด้วยหรือเปล่าคะ” เสี่ยวปิงถาม เพราะตั้งแต่วันที่แถลงข่าววันนั้น อี้ฟานก็สั่งเธอไว้ว่าไม่ว่าถิงถิงจะไปไหน ไปหาใครต้องรายงานเขาทุกอย่าง เพราะเขากลัวว่าศัตรูของเขาจะทำร้ายเธอ“อืม...บอกพี่แค่ว่าฉันไปพบอาเว่ยเพราะเธอนัดเจอก็พอ แต่ไม่ต้องบอกเรื่องที่ฉันจะพูดกับอาเว่ยหรอก” ถิงถิงบอก“ค่ะ” เสี่ยวปิงรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องไป ซึ่งสวนกับหวังเหล่ยที่เดินเข้ามาพอดี “สวัสดีค่ะคุณชาย” เสี่ยวปิงทักทายตามมารยาท“สวัสดีครับ พี่อยู่ในห้องมั้ย” หวังเหล่ยถาม“ค่ะ คุณหนูอยู่ในห้อง” เสี่ยวปิงตอบ“คนเดียว” หวังเหล่ยถาม“ค่ะ คนเดียว” เสี่ยวปิงตอบยิ้ม พร้อมกับเน้นยำคำว่าคนเดียว เพราะว่าหวังเหล่ยจะไม่เข้าไปถ้าพี่สาวของเขาอ
ตอนที่ 27 ไม่จริง“ตื่น ตื่น จางลี่ตื่นเดี๋ยวนี้”“โอ๊ย...จะปลุกทำไมเนี่ยไม่เห็นเหรอว่าคนกำลังนอน” จางลี่โวยวายเสียงดังเพราะเธอหงุดหงิดที่ถูกปลุก แต่พอเธอเห็นว่าใครเป็นคนปลุกเธอก็ยิ่งอารมณ์เสีย “นายจะปลุกฉันทำไมเนี่ย อย่าบอกนะว่าจะเอาอีก ฉันไม่เอาแล้วที่เอาไปยังไม่พออีกเหรอ” เธอบอกชายหนุ่มคู่ขาของเธอด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนจะพลิกตัวหนีไปอีกทาง“ฉันไม่ได้ปลุกเธอมาเอาหรอกน่า ตื่นมาดูนี่ก่อน” ชายหนุ่มยังไม่ยอมแพ้เขาต้องปลุกเธอมาดูเรื่องที่เขาจะบอกให้ได้“อะไรว่ะ” จางลี่ลุกขึ้นมาอย่างหงุดหงิดไม่ได้สนใจว่าผ้าห่มที่ปกปิดร่างกายของเธอจะตกไปกองที่ต้นขา ทำให้หน้าอกของเธอที่ไม่มีอะไรปกปิดจะออกมาอวดสายตาของใคร “ถ้าเรื่องที่นายบอกไม่สำคัญนะฉันฆ่านายแน่” จางลี่ขู่ก่อนเธอจะรับโทรศัพท์ที่ชายหนุ่มยื่นมาให้แล้วอ่านข้อความที่ปรากฏในนั้น“นี่มันคืออะไรนายไปเอาไร้สาระข่าวพวกนี้มาจากไหน” จางลี่หันไปถามชายหนุ่มด้วยความโกรธ“ก็จากงานแถลงข่าววันนี้ไง วันนี้จู่ๆยัยคุณหนูพี่สาวเธอก็เดินขึ้นไปบนเวทีแล้วประกาศว่าตัวเองเป็นภรรยาของไอ้อี้ฟานนั่น สรุปว่ายังไงกันแน่ ไหนเธอบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม
ตอนที่ 26 จับกุม“ไอ้บ้าอี้ฟานหายมันหัวไปไหนของมันว่ะ อย่าบอกนะว่ารีบไปอยู่กับเมีย” ตงตงที่เดินตามหาอี้ฟานที่หลังเวทีแต่ก็ไม่เจอ เขาทั้งโทรหาทั้งส่งข้อความไป แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อเพื่อนรักที่พ่วงตำแหน่งเจ้านายได้ “ตั้งแต่มีเมียนี่ชักจะเอาใหญ่ ไม่สนใจงานเลย” ตงตงอดบ่นไม่ได้ ถ้าถิงถิงมาได้ยินที่ตงตงบ่นเธอคงจะพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเขาเอาเก่งจริงๆนั่นแหละ แต่ความหมายของคำว่าเอาของเธอกับตงตงมันต่างกัน“ขอโทษนะครับคุณชายเฉิน” ขณะที่ตงตงกำลังหงุดหงิดที่ตามตัวอี้ฟานไม่เจอก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง เขาเลยหันกลับไปมองก่อนจะพบกับผู้ชายคนหนึ่งตงตงมองสำรวจผู้ชายคนนั้นอย่างละเอียดพร้อมกับใช้ความคิดว่าเขารู้จักหมอนี่หรือเปล่า แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าเขาเคยรู้จักหมอนี่ที่ไหน หมอนี่หน้าหวานขนาดนี้ แถมหุ่นก็บาง ถ้าเขาเคยเจอเขาต้องจำได้แน่ๆ“ผมซงเหยียน เป็นทนายที่คุณหนูถิงถิงส่งมาครับ” ซงเหยียนแนะนำตัว เพราะเขารู้ว่าเฉินตงตงกำลังสงสัยว่าเขาเป็นใคร“อ่อ แล้วนายมาหาฉันทำไม” ตงตงถามด้วยความสงสัย“คุณหนูให้ผมเอาเอกสารมาให้ครับ” ซงเหยียนบอกพร้อมกับยื่นซองเอกสารให้ ตงตงมองซองเอกสารนั้นอย่างสงสัย “ในซองนี้มีห