แสงจากหลอดไฟหัวเตียงสลัว ๆ ฉายเงาร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งสองไว้ในความเงียบ
พี่บอยนอนเอนพิงพนัก หอบหายใจช้าแต่แรง มือข้างหนึ่งยังลูบผมนิรินราวกับกลัวเธอจะละลายหายไป นิรินซบอกเขาอยู่ครึ่งตัว แต่อีกครึ่งกลับคุกเข่าลงต่ำกว่า ดวงตาเธอหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าแท่งเนื้อที่แข็งขึงของเขา ที่ชูตระหง่านแน่นหนา ยาว หนัก และน่าเกรงขามกว่าที่เธอเคยเห็น มันน่ากลัว...แต่น่าดึงดูดยิ่งกว่า ไม่ใช่เพราะหน้าที่ ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพราะนี่คือของคนที่เฝ้ามองและโอบอุ้มเธออย่างเงียบงันมาตลอด นิรินเลียริมฝีปากช้า ๆ ก่อนโน้มหน้า ปลายลิ้นแตะเบา ๆ ที่โคนลำแท่งแล้วลากไล้ขึ้นตามแนวยาวทีละน้อย เสียงหายใจพี่บอยสะดุดต่ำ ๆ “นิริน…” เขาเรียกชื่อเสียงแหบพร่า แต่เธอไม่หยุด ริมฝีปากอุ่นค่อย ๆ ครอบหัวหยักชื้น ๆ ไว้ทั้งดวง แล้วกลืนแท่งเอ็นลงไปทีละคืบ จนแทบสุดลำ ก่อนจะถอนออกพร้อมเสียงดูดดังเบา ๆ พี่บอยกำผ้าปูแน่น สะโพกกระตุกเล็กน้อย แต่ยังไม่กล้าแตะต้องเธอ ปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายเลือกทุกจังหวะ ปากเล็กทั้งดูด ทั้งดุน ทั้งเลีย ปลายลิ้นตวัดวนไม่หยุด มือหนึ่งประคองฐานแน่น อีกมือไล้ตามท่อนข้างลำ ทุกการขยับทำให้เขาสั่นสะท้านจนหายใจติดขัด “พอแล้ว…” เขาครางต่ำเหมือนทรมาน แต่นิรินกลับส่ายหน้าเบา ๆ เธอกดลิ้นแรงขึ้นตรงใต้หัวหยัก จนเสียงครางลึกหลุดจากอกเขา “หนูอยากให้พี่…จำคืนนี้แบบไม่เคยลืม” เธอกระซิบพร่า ก่อนจะกดปากลงอีกครั้ง แท่งเนื้อถูกเธอกลืนกินทั้งแรงและเบา สลับช้าและลึก จนเขาแทบขาดใจ ทุกจังหวะคือการประกาศว่า คืนนี้เธอเลือกแล้วเลือกเขา จนกระทั่งเขาใกล้ระเบิด เธอกลับถอนปากออก เลียปลายหยักครั้งสุดท้าย แล้วกระซิบข้างตรงส่วนนั้นเบา ๆ “คืนนี้…ตรงนี้ของพี่ เป็นของหนูคนเดียว” เสียงหอบพี่บอยยังดังสะท้อนในอก มือใหญ่กำข้างลำตัวแน่นเพื่อกดกลั้นความดิบในกาย นิรินกำลังจะผละออก แต่เขาไม่ยอม แขนแข็งแรงกระชากเอวเธอขึ้นมาอย่างเด็ดขาด แล้วพลิกพาร่างเล็กนอนราบลงในทันที ลมหายใจพร่าเป่าข้างหู “หนูไม่ควรปลุกของแบบนี้…ถ้าไม่คิดจะรับมันจนสุด” ไม่รอคำตอบ ปลายลิ้นร้อนซ่านก้มลงเลียร่องเนื้ออวบ แรงกว่าเดิม คราวนี้ไม่ละเมียดเหมือนก่อน แต่ดุดันจนเธอร้องเสียงสั่น ต้นขาสั่นสะท้าน หมอนถูกจิกยับ ฝนข้างนอกถล่มแรงขึ้น แต่เสียงครางของเธอดังกว่า เขาจับขาเธอพาดไหล่ แล้ว ดันแท่งเนื้อพรวดเดียวจนสุดร่องลึก เสียงน้ำหวานแตกกระจายดังเฉอะแฉะ “พี่…!” เธอครางแหลม น้ำตาเอ่อหางตา ร่องกลีบบีบรัดแน่นจนเขาต้องกัดฟัน พี่บอยโน้มจูบปากเธอแรง ๆ ขณะขยับสะโพก จังหวะช้าแต่ลึก แทบทะลวงหัวใจทุกครั้งที่ถอนออกแล้วดันกลับ “อย่ากินพี่…ถ้าหนูไม่คิดจะโดนกินกลับ” เสียงทุ้มต่ำดังกลางความเงียบ แรงกระแทกหนักขึ้นจนเตียงสั่น เสียงเนื้อกระทบกันประสานกับเสียงฝนอย่างบ้าคลั่ง นิรินกัดไหล่เขาแน่นเพื่อกลั้น แต่เขาตรึงข้อมือเธอเหนือหัวแล้วกระซิบ “ร้องดังได้…ไม่มีใครได้ยินหนูนอกจากพี่” ทุกแรงกระแทกดุดันเหมือนพายุไร้ฟ้าแลบ แต่กลืนกินเธอทั้งร่าง จนในที่สุด เขากดสะโพกมิดสุด ร่างเล็กกระตุกสั่นและเสร็จสมในอ้อมกอดเขาอย่างรุนแรง พี่บอยปลดปล่อยตามมา ล้นทะลักอุ่นร้อนในโพรงนุ่มของเธอ เขากอดร่างบางแน่นไม่ยอมปล่อย หลังพายุเงียบลง มีเพียงเสียงหอบของทั้งคู่ พี่บอยซบหน้าลงบนอกเธอ กอดเธอราวกับจะย้ำสิ่งที่ไม่ถนัดจะพูด “ขอโทษนะ” เขากระซิบแผ่ว ๆ นิรินชะงักเขาไม่เคยพูดแบบนี้กับใคร เธอส่ายหัว ไม่โกรธ ไม่กลัว มีเพียงความอบอุ่นไหลเข้ามาในอก “มันไม่ใช่ความผิดพี่…เพราะหนูก็ไม่อยากให้มันจบตั้งแต่แรก” เขากอดเธอแน่นขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ หยิบเสื้อผ้ามาให้เธอด้วยความทะนุถนอม พี่บอยประคองร่างเล็กซ้อนท้ายไว้มั่นคง ขับมอไซค์ช้า ๆ ฝ่าสายฝนพรำ ถนนมืดเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ต่ำ ๆ ผสมกับละอองฝนที่สาดกระทบ นิรินซบอกเขาแน่น ตาปรือหลับพริ้มเหมือนเด็กที่หมดแรง หัวใจเธอเต้นไปพร้อมกับจังหวะเครื่องยนต์สม่ำเสมอ อุ่น และปลอดภัย แสงไฟสลัวจากเสาไฟข้างทางทอดเงายาวบนพื้นถนนเปียก จนเมื่อรถเลี้ยวเข้ามายังซอยแคบ ๆ ที่คุ้นตา เขาก็ผ่อนความเร็วลงเรื่อย ๆ ฝนยังตกพรำไม่หยุด เสียงเครื่องยนต์ยังดังต่ำ ๆ …พาเขาและเธอเข้าใกล้หอพักทีละน้อยอากาศในห้องยังอุ่นจากลมหายใจสองคนนิรินซุกแก้มแนบอกกว้าง เสียงหัวใจของเขาดังสม่ำเสมออยู่ข้างหู“เจ็บไหม” พี่บอยถามเบา ๆ นิ้วโป้งลูบสันกรามเธอช้า ๆเธอส่ายหน้า ยิ้มเขิน “ไม่ค่ะ…แค่ขาอ่อนนิดหน่อย”เขาหัวเราะในลำคอแผ่ว ๆ ก่อนเอื้อมไปดึงผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่ให้นิรินเงยหน้าขึ้นนิดเดียว “พี่…ถ้าเราค้างที่นี่ แม่จะว่าไหม”“บอกแม่” เขาตอบสั้น ๆเธอหยิบมือถือ ส่งข้อความไปว่าแม่คะ วันนี้หนูกับพี่บอยค้างในเมืองนะคะ พรุ่งนี้เช้ากลับไปช่วยจัดร้านค่ะไม่นานมีสติกเกอร์ยิ้ม ๆ กับข้อความสั้น ๆ กลับมาได้จ้ะ คนดีของแม่ ขับขี่ปลอดภัยนะนิรินยิ้มโล่งอก วางมือถือไว้บนหัวเตียงแล้วขยับเข้าไปกอดเขาแน่นขึ้น “แม่โอเคแล้วค่ะ”พี่บอยยกแขนเป็นหมอนให้ เธอหนุนทแยงอกเขาอย่างเคย“พรุ่งนี้แวะดูเมล็ดอีกร้าน แถวตลาดเช้า” เขาว่าเรียบ ๆ“ค่ะ…แล้วหนูอยากได้ถุงกระดาษลายเรียบ ๆ ไว้แพ็กคุกกี้ด้วย”“จดไว้ เดี๋ยวพี่จ่าย”เธอหัวเราะคิกเบา ๆ “พี่นี่พูดน้อยแต่ตรงใจตลอดเลย”“อืม” เขาตอบสั้น ๆ แต่มุมปากยกขึ้นนิดหนึ่งเงาสีอุ่นจากโคมข้างเตียงทาบบนผมเธอ เขาก้มลงจูบหน้าผากแผ่ว ๆนิรินเอานิ้ววาดไปบนอกเขาเป็นวงกลม “ขอบคุณสำหรับวันนี้…ทั้ง
รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสีอ่อนลงเล็กน้อยนิรินนั่งข้าง ๆ คนขับมือยังวางบนตัก รู้สึกเก้อเขินจากบรรยากาศมื้อบ่ายที่เหมือนเดตครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกพี่บอยขับไปเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ต่างจากใบหน้าขรึมที่เธอคุ้นเคยนิรินหันไปมอง เห็นรอยยิ้มชัดก็รีบเบือนหน้าหนี“พี่…บอยยิ้มอะไรคะ” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย“ยิ้มเฉย ๆ” เขาตอบสั้น ๆ สายตายังคงจับจ้องที่ถนนลาดยาง“เฉย ๆ ที่ไหนกันเล่า…” เธอบ่นพึมพำในลำคอ กัดริมฝีปากแน่น หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุดเขาเหลือบตามามองเพียงแวบเดียว แววตาคมวูบหนึ่งนั้นเหมือนจะบอกทุกอย่างที่เขาไม่พูดออกมา“เมื่อกี้…หนูกินสเต๊กเลอะปาก”“พี่!” นิรินเผลอตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขิน แก้มแดงจัดเสียงหัวเราเบาๆ ดังจากลำคอเขา เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก แต่กลับทำให้รถทั้งคันเต็มไปด้วยความอบอุ่นมีชีวิตชีวามือใหญ่เลื่อนไปกุมมือเล็กๆที่วางอยู่ข้างเบาะโดยไม่พูดอะไรอีกนิรินเม้มปากแน่น แต่ยอมปล่อยให้เขาจับไว้ หัวใจที่พองโตเหมือนจะล้นอกถนนสายเล็กทอดยาวไปข้างหน้า พี่บอยขับรถเงียบ ๆ ตามสไตล์ของเขา แต่เมื่อใกล้
แสงอรุณสาดลอดช่องไม้เข้ามาในห้อง เสียงไก่ขันดังไกลๆ ปลุกให้บ้านสวนค่อยๆ ตื่นขึ้นพี่บอยลืมตา ตั้งใจฟังเสียงรอบตัว ก่อนจะค่อย ๆ ดันแขนออกจากร่างเล็กที่ยังนอนซุกหลับอยู่ข้างกายเขาลุกออกที่นอน เดินออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ชื้นจากน้ำค้าง กลิ่นดินผสมกลิ่นหญ้าสดใหม่ชัดเจนจนใจเขาสงบนิ่งสายตาคมทอดมองไปยังเพิงไม้หลังใหม่ที่อยู่ไม่ไกล คาเฟ่ใหม่ ที่เพิ่งสร้างเสร็จวันสองวันโดยเขาและช่างมานพส่วนลูกมือก็คือน้องกันต์พี่บอยเดินไปเปิดประตูไม้ บานพับส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ ภายในห้องกว้างยังหอมกลิ่นไม้ใหม่ โต๊ะไม้สี่เหลี่ยมวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เก้าอี้หวายถักใหม่เอี่ยมเครื่องชงกาแฟวางเด่นบนเคาน์เตอร์หลังงจากที่นิรินได้ลองชงไปแล้วเมื่อวาน ข้าง ๆ ยังมีถุงเมล็ดกาแฟ กับโถแก้วใส่คุกกี้ที่แม่เพิ่งอบเมื่อคืนเขาเดินดูช้าๆ วนรอบร้าน ลองเปิดไฟดูทีละดวง จนหลอดไฟสีเหลืองสว่างนวลไปทั่วเสียงเครื่องปั่นไฟเล็กๆ ดังเบาๆ แต่ทุกอย่างทำงานปกติเรียบร้อยดีเขายืนมองผ่านกระจกหน้าร้าน และรั้วไม้เก่า ๆ ที่เอียงไปข้างหนึ่งยังอยู่ที่เดิม มันคือที่มาของชื่อร้านริมรั้วนั้นเอง น้องกันต์เพิ่งปลูกต้นพริกกับมะเขือไว้ แม
มือใหญ่กดมือเล็กกลับไปกอบกุมแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเสียงของเขากระซิบข้างหู “อย่าหยุด…ทำต่อสิครับเมียรัก”“พี่…พี่บอย” นิรินเสียงสั่นพร่า แก้มแดงจัด ร่างบางนอนสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างของเขาพี่บอยโน้มตัวลง ริมฝีปากหนาจุ้บข้างแก้ม ไล้ผ่านลงมาที่ซอกคอ หยอกเย้าด้วยการดูดอย่างแผ่วเบาจนเธอครางหลุด“อื้อ…พี่...”มือใหญ่ปลดกระดุมชุดนอนช้า ๆ เผยผิวนวลเนียนและอกอิ่มที่สั่นไหวกับลมหายใจปลายนิ้วหยาบคลึงวน ขยี้ยอดอกจนร่างเล็กสั่นเกร็ง ความเสียวแล่นขึ้นสันหลังบรรยากาศห้องในไม้ที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรข้างนอก กับเสียงลมหายใจที่หนักของทั้งคู่ และแสงจันทร์ที่ลอดช่องหน้าต่างมาตกบนเรือนกายสองร่างพี่บอยไล้ริมฝีปากต่ำลง จนถึงกลีบเนื้อที่ซ่อนความหวานเขาแหวกช่อบุปผาออกช้า ๆ ก่อนก้มลงละเลียดราวกับจะจดจำรสชาติของกลีบเนื้อนั้นให้ขึ้นใจ“พี่…อย่าทรมานหนู” เสียงเธอพร่ำสั่น มือเล็กจิกเสื่อจนยับ น้ำหวานเอ่อคลอจากความชุ่มฉ่ำในช่องแคบบอยเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมเต็มไปด้วยแรงข่มอารมณ์ เขาขยับกายขึ้น ค่อย ๆ ดันแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเข้าครอบครองทีละช่วงความคับแน่นทิ่มแทงเบา ๆ ทำให้คนตัวเล็กสะท้านเฮือก “อ๊ะ…พี่บ
รถยนต์คันใหญ่แล่นกลับเข้าสู่ถนนลูกรัง ข้าวของที่ซื้อมาเต็มท้ายรถ ทั้งถุงเสื้อผ้า รองเท้าใหม่ของแม่และกันต์ วางซ้อนเรียงเป็นกองเล็ก ๆ มุมหนึ่งยังมีหมวกกันน็อกใหม่วางเคียงกับเอกสารจองมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ที่ร้านรับปากว่าจะส่งมาถึงบ้านพรุ่งนี้เช้ากันต์นั่งเบาะหลัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่หยุด มือยังคอยจับเชือกรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ไม่วาง“พี่บอย…ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด”พี่บอยเหลือบมองผ่านกระจกหลัง สายตาขรึมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น“ไม่ต้องรีบโตนักหรอกกันต์ แค่ดูแลแม่กับพี่สาวให้ดี ก็พอ”แม่ที่นั่งข้าง ๆ น้ำตาคลออีกครั้ง พยายามเอ่ยเสียงเบา“แม่ซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วลูก”นิรินก็กอดถุงเสื้อผ้าไว้แน่น ใบหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่“พี่…บอยขอบคุณจริง ๆ นะ” เสียงเธอสั่นพร่า แต่เต็มไปด้วยความหมายที่เกินกว่าคำพูดพี่บอยไม่ได้ตอบ เพียงยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ ระหว่างรถโยกไปตามทางลูกรังเมื่อถึงบ้านสวน เสียงสุนัขเห่าไล่รถดังรับเหมือนทักทาย ข้าวของถูกขนเข้าบ้านกันวุ่นวาย แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกันต์ลองสวมเสื้อใหม่วิ่งออกไปให้แม่ดู แม่หัวเราะเสียงใสเหมือนกลับไปเป็นสาวอีกครั้งเย็นนั้น ทั้ง
บ่ายวันนั้น แดดแรงจัด แต่ลมจากทุ่งนาก็ยังพัดเอื่อย ๆ คลายความร้อนเสียงเครื่องยนต์คันใหญ่แล่นมาตามถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งตามแรงล้อ ก่อนจะเลี้ยวเข้าอำเภอเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้สองชั้นเก่าแก่ ร้านขายของปะปนอยู่ไม่ไกลจากตลาดสดนิรินนั่งเบาะข้างคนขับ มือเล็กกำเอกสารในตักแน่น ดวงตาตื่นเต้นปนกังวลเบาะหลัง แม่กับกันต์แต่งตัวเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ เสื้อเชิ้ตสีจางกับรองเท้าคู่เก่า กลายเป็นชุดพิธีสำคัญของวันนี้เสียงเครื่องยนต์ดับลง พี่บอยหันมาบอกสั้น ๆ น้ำเสียงขรึมแต่หนักแน่น“ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวอ้นจัดการให้เอง”ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดข้าราชการก็เดินลงมาจากบันไดอาคารอำเภออนุชาเพื่อนเก่าสมัยเรียนของพี่บอย รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมชวนให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น เขาตบไหล่เพื่อนเสียงดัง ปุ“โห ไอ้บอย! กี่ปีแล้ววะไม่ได้เจอกัน เอ็งโทรมานี่แทบไม่เชื่อหู”“นัดไว้แล้วนี่อ้น เรื่องนี้ช่วยหน่อยนะ” พี่บอยตอบเสียงเรียบ แต่แฝงความขอบคุณในแววตาอนุชาหันไปยกมือไหว้แม่ แล้วยิ้มให้กับนิรินกับกันต์“ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องเอกสารโอนที่ดิน ผมดูเองทุกขั้นตอน”บรรยากาศในห้องโถงอำเภอเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมตั้