로그인ฝนยังคงตกพรำ…
เสียงละอองน้ำกระทบกระจกหน้าต่าง เป็นจังหวะเดียวกับหัวใจของเธอที่เต้นไม่เป็นจังหวะ นิรินยังซบอยู่ในอ้อมแขนของเขาอ้อมแขนที่เงียบ แต่กลับปลอดภัยกว่าทุกพื้นที่ในชีวิต ตั้งแต่เธอหลุดปากบอกว่า “เหนื่อย” พี่บอยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เขาเพียงแค่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น...แน่นพอให้เธอมั่นใจว่า เธอไม่ได้ถูกทิ้งไว้ลำพัง มือเล็กวางอยู่บนอกเขา อกที่แกร่ง เงียบ และมั่นคง นิรินเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “พี่บอย…” เขาขานรับในลำคอ เพียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยน้ำหนัก “ถ้าหนูจะขออะไรสักอย่าง...พี่จะว่ามั้ย” เขานิ่งไปนิด ก่อนจะสบตากับเธอ “ลองพูดสิ” นิรินสูดลมหายใจลึก แล้วเอื้อมมือแตะไหล่เขา เสียงเธอเบาเหมือนจะสลายไปพร้อมสายฝน “คืนนี้…อย่าปล่อยให้หนูอยู่คนเดียวเลยนะ” คำขอที่ไม่ได้มีแค่ความอ้อนวอน แต่เต็มไปด้วยความกลัวที่จะต้องว่างเปล่าอีกครั้ง พี่บอยไม่ตอบด้วยคำพูด เขาเพียงกดจูบลงบนหน้าผากเธอช้าและมั่นคง นิรินเป็นฝ่ายค่อย ๆ ปลดเสื้อเขาออกเอง เสื้อยืดสีหม่นหลุดจากตัว เผยให้เห็นไหล่กว้างและผิวอุ่นที่เธอเคยเห็นผ่านสายตา แต่ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดเช่นนี้ มือเธอสั่นน้อย ๆ แต่ก็ไม่หยุด เขายังนิ่ง ไม่ดึง ไม่ขัดขืน ไม่เร่งรัด ปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายคืบเข้ามาหา ริมฝีปากเธอแตะแก้มเขาเบา ๆ “ขอให้คืนนี้...หนูได้เลือกเองสักคืนก็ยังดี” เขาโน้มลงจูบเธออย่างเงียบงัน ลมหายใจหนักซ่านตามซอกคอ ทิ้งร่องรอยอุ่น ๆ บนผิวขาวที่สั่นสะท้าน มือใหญ่เลื่อนลงแตะตรงสะโพก กดเบา ๆ พอให้เธอสะดุ้ง แต่เขายังคงไม่พูดสักคำ เพียงปล่อยให้สัมผัสแทนคำตอบ ลิ้นอุ่นลากผ่านไหปลาร้าลงแนวอก ทิ้งรอยจูบบางเบาเหมือนจดจำเธอไว้ นิรินกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกได้ถึง ความชื้นเอ่อคลอใต้ท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว เขาคุกเข่าลงตรงหน้า มองขึ้นมาด้วยสายตาเรียบลึก นิรินแทบลืมหายใจ เมื่อริมฝีปากหยาบกร้านของเขาประกบจูบเบาๆตรงกลีบเนื้ออย่างละเมียดละไม เสียงครางแผ่วหลุดจากริมฝีปากเธอ กลืนหายไปกับเสียงฝนที่แรงขึ้นนอกหน้าต่าง ร่างกายเธอสั่นสะท้าน มือจิกลงบนไหล่เขาโดยไม่รู้ตัว แต่พี่บอยยังไม่เร่งเร้า เขาเพียงฟังเสียงและรสชาติของเธอผ่านสัมผัส ละเลียดทุกจังหวะอย่างคนที่อยากให้คืนนี้...เป็นการเริ่มต้นที่ไม่มีวันลืม นิรินหายใจขาดห้วง ทุกครั้งที่ลมหายใจของเขาเป่ารดลงมาบนกลีบเนื้ออ่อนไหว ร่างกายเธอร้อนวูบทั้งที่อากาศรอบตัวเย็นเฉียบด้วยละอองฝน “พี่บอย…” เธอเรียกเสียงสั่น ทั้งที่มือยังจิกไหล่เขาแน่น เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นนิ่งลึก ราวกับกำลังฟังทุกถ้อยคำจากร่างกายเธอมากกว่าปาก ปลายนิ้วยังคงกดนุ่มนวลลงตรงขอบโพรงนุ่มแล้วค่อย ๆ ลากวนเบา ๆ “อื้อ…” เสียงครางหลุดจากริมฝีปาก นิรินกัดปากตัวเองแน่น ยิ่งพยายามกลั้นก็ยิ่งเผลอสะท้าน ฝนข้างนอกเทกระหน่ำแรงขึ้น แต่ภายในห้องกลับเต็มไปด้วยเสียงหัวใจสองดวงที่ดังประสานกัน เสียงเสื้อผ้าที่ขยับเสียดสีกันฟังชัดเจนยิ่งกว่าเสียงฟ้าคะนอง เขาโน้มลงอีกครั้ง คราวนี้ไม่เพียงแค่แตะริมฝีปาก หากแต่ ละเลียดชิมช้า ๆ ตามกลีบเนื้อที่บวมอิ่ม ความเปียกชื้นเอ่อคลอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอต้องแอ่นสะโพกรับโดยไม่รู้ตัว “พี่…หนูจะทนไม่ไหวแล้ว” เธอพร่าเสียง ดวงตาเต็มไปด้วยหยดน้ำตาที่เกิดจากความเสียวซ่านเกินทน พี่บอยยังคงไม่พูดสักคำ แต่สายตาที่จ้องกลับมานั้นหนักแน่นเสียยิ่งกว่าคำสัญญาใด ๆ เขาลากปลายลิ้นขึ้นช้า ๆ จากก้นร่องถึงปลายยอด ก่อนจะดูดเบา ๆ ที่กลีบเล็กด้านบน นิรินตัวสั่น ขาอ่อนแรงจนต้องเกาะต้นคอเขาไว้แน่น เสียงครางของเธอสลับกับเสียงฝนราวกับบทเพลงต้องห้ามที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากเขา ทุกการสัมผัสของเขาทำให้เธอรู้ว่าคืนนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป เธอล้มตัวลงบนเตียง หอบหายใจแรงเหมือนเพิ่งผ่านพายุ พี่บอยเลื่อนตัวขึ้นมาทาบด้านข้าง มือใหญ่ยังโอบไหล่เธอแน่น เขาไม่พูดอะไร มีเพียงปลายนิ้วลูบกรามเธอเบา ๆ แล้วกดหน้าผากชนกับหน้าผากอย่างมั่นคง “คืนนี้…หนูไม่อยากอยู่คนเดียว” เสียงเธอยังคงสั่นเครือ เขาตอบด้วยการกอดร่างเล็กแน่นขึ้น ทิ้งสัมผัสละเมียดไว้บนผิวกายเธออย่างไม่เร่งรีบ ราวกับต้องการสลักทุกความอ้างว้างของเธอให้หายไปกับฝน นิรินยังหอบถี่ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยรสของสัมผัสเมื่อครู่ แต่หัวใจกลับเต้นแรงยิ่งกว่าพายุฝนด้านนอก เธอค่อย ๆ ยกมือขึ้น สั่นเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแผ่นอกกว้างของเขา ความร้อนที่แผ่ซ่านจากอกนั้นทำให้เธอเหมือนได้ยึดเหนี่ยวอะไรบางอย่าง “พี่…” เธอเรียกอีกครั้ง เสียงเบาจนแทบไม่ต่างจากลมหายใจ เขามองเธอด้วยสายตาที่เงียบขรึม แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ไม่พูด ไม่เร่งเร้า เพียงรอให้เธอเลือก นิรินกัดริมฝีปาก แล้วเลื่อนมือลงต่ำ เธอไม่กล้ามองหน้าเขา ตากลับก้มลงมองปลายนิ้วที่ค่อย ๆ ไล่จากหน้าท้องแกร่งลงมา ปลายนิ้วแตะผ่านขอบกางเกงผ้าเนื้อหนา เพียงเท่านั้นหัวใจเธอก็เต้นแรงเสียจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก พี่บอยยังคงนิ่ง แต่ฝ่ามือใหญ่กลับยกขึ้นโอบมือเล็กของเธอไว้แน่น ไม่ได้ห้าม หากแต่เป็นการยืนยันว่า…เขาอนุญาตให้เธอทำตามใจ นิรินสูดหายใจลึก ข่มความสั่นสะท้านในอก มือเธอจึงกดลงช้า ๆ ลูบไล้เหนือเนื้อผ้าที่ปกปิดบางสิ่งที่กำลังร้อนจัดอยู่ด้านใน เธอสะท้านเหมือนตัวเองถูกไฟลวก ทั้งที่ยังไม่เห็น ไม่ได้สัมผัสจริง ๆ เพียงแค่รู้ว่ามี ความแข็งขึง รออยู่ใต้กางเกงนั้นก็ทำให้ใจเธอเต้นจนแทบแตก “หนู…อยากรู้สึกว่าพี่อยู่ตรงนี้จริง ๆ” เธอสารภาพเสียงสั่น พี่บอยกดหน้าผากลงกับหน้าผากเธอแน่นขึ้น แววตาที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความเงียบ แต่ก็เหมือนคำตอบหนักแน่นที่สุด นิรินกลืนน้ำลาย ก่อนจะปล่อยให้มือลูบวนช้า ๆ ตรงส่วนนูนใต้ผ้า ความอุ่นร้อนที่สะท้อนกลับมาทำให้เธอหน้าร้อนจัดจนแทบร้องออกมา แต่เขายังคงนิ่ง ให้เธอเป็นฝ่ายเลือก ให้เธอเป็นคนก้าวข้ามความกลัวและความเหงาคืนนี้ด้วยตัวเอง เสียงฝนยังตกพรำไม่หยุด ร่างเล็กแนบอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง เธอรู้แล้วว่า…คืนนี้จะไม่มีคำว่าเดียวดายอีกต่อไปค่ำคืนบ้านสวนที่สงบเงียบ แสงไฟสลัวในห้องนอนอาบไล้ผ้าม่านสีขาวให้ดูนุ่มนวล หนูนิดหลับสนิทอยู่ในเปลเล็กที่วางมุมห้อง เหลือเพียงพี่บอยกับนิรินที่ได้นอนเคียงกันในเตียงใหญ่นิรินหันมามองสามี ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ยังมีแววอบอุ่นที่คงเส้นคงวา เธอเอื้อมมือเล็กไปคว้ามือเขามากุม ก่อนค่อย ๆ ดันลงต่ำช้า ๆ“หนูคิดถึงพี่…” เสียงกระซิบแผ่วพร่าแฝงแรงปรารถนาพี่บอยเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตาคมเข้มวูบไหว ก่อนที่ริมฝีปากจะโค้งขึ้น นิรินก้มหน้าลงช้า ๆ ใช้ความอ่อนโยนของเธอปลุกเร้าความเป็นชายของเขา ริมฝีปากอุ่นครอบลงแก่นกายที่แข็งร้อนขึ้นทุกทีเสียงลมหายใจของพี่บอยดังพร้อมกับจังหวะการดูดกลืนที่เร่งเร้า นิรินละเลียดไปตามความยาว ลิ้นนุ่มปาดชื้นจนแท่งอุ่นร้อนสั่นสะท้าน เขาเอื้อมมือหนาวางบนเรือนผมเธอ กดเบา ๆ คล้ายทั้งปลอบ ทั้งปรนเปรอ“หนู…” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ “รู้ตัวไหมว่าพี่แทบขาดใจ”นิรินเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายพราวระยิบ แววหวานผสานแรงรัก ก่อนจะกลับลงไปลิ้มรสอีกครั้ง จังหวะรุกเร้าทำให้พี่บอยสูดหายใจลึก ร่างกายเกร็งแน่น ความเสียวแล่นพล่านขึ้นจนถึงสันหลังเสียงลมหายใจของพี่บอยขาดห้วงขึ้นทุกท
หลังจากหนูนิดลืมตาดูโลก ครอบครัวใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ อยู่พักใหญ่ จนวันที่พี่บอยตัดสินใจพากลับบ้านสวน ให้ลูกเติบโตท่ามกลางอากาศดีและความรักของทุกคนส่วนบ้านกับตึกที่กรุงเทพฯ เขาเลือกเก็บไว้ ฝากให้น้องกันต์ดูแลยามไปเรียนหรือมีงานในเมือง พี่บอยพูดเพียงสั้น ๆ แต่ชัดเจน “ถือว่าพี่ฝากด้วยนะ”มันไม่ใช่แค่การมอบความรับผิดชอบ แต่คือการส่งต่อความไว้ใจและการซัพพอร์ทอย่างเต็มที่คาเฟ่รั้วเอียงในสวนมะม่วงยังคงคึกคักทุกวัน กลิ่นกาแฟหอมผสมกลิ่นใบไม้ เสียงหัวเราะใส ๆ ของหนูนิดที่หัดเดินเกาะรั้วไม้เอียง ทำให้ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวากันต์เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ เข้ามาเห็นภาพตรงหน้าแล้วเผลอยิ้มออกมา ความเหนื่อยล้าจากการเรียนและงานที่แบกไว้เหมือนเบาลงทันที เขาก้มลงอุ้มหลานขึ้นมา หนูนิดหัวเราะคิกแล้วเอื้อมมือไปแตะจมูกน้าชาย ทุกคนในร้านหัวเราะตามเสียงเด็กไปพร้อมกันแม่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ยกมือปาดหางตาเล็กน้อยก่อนยิ้มกว้าง “แม่ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว…ขอแค่เห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้าแบบนี้ แม่ก็สุขใจที่สุด”นิรินหันไปสบตาพี่บอย รอยยิ้มเธอสั่นไหวเล็กน้อยเพราะซึ้งจนพูดไม่ออก เขาเพียงยกแก้วกาแฟวางลงบนเคาน์เตอ
หลังจากที่หนูนิดลืมตาดูโลก บ้านที่กรุงเทพฯ ของพี่บอยกับนิรินก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกเลย ตลอดหนึ่งถึงสองปีนั้น คนเช่าตึกที่คุ้นเคยกันต่างแวะเวียนมาหาไม่ขาด ทั้งช่วยซื้อของเข้าบ้าน เอาของเล่นเด็กมาให้ หรือแค่แวะมานั่งคุยเป็นเพื่อนทั้งกลางวันหรือยามค่ำคืนหนูนิดค่อย ๆ โตขึ้น จากเด็กน้อยในผ้าอ้อม กลายเป็นเจ้าตัวเล็กที่เริ่มหัดเกาะคลานไปทั่วบ้าน เสียงหัวเราะใส ๆ ของเธอทำให้ทุกคนในบ้านมีพลังใจอย่างบอกไม่ถูกน้องกันต์ ตอนนั้นเพิ่งอายุยี่สิบเต็ม กำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ทั้งต้องเรียน ทั้งต้องรับงานช่วยครอบครัว แต่ก็ไม่เคยหายหน้าจากบ้าน เขามักกลับมาหาหนูนิดเสมอ คอยอุ้ม คอยเล่น พอเห็นหลานหัวเราะก็ลืมความเหนื่อยไปชั่วคราวหลายครั้งที่พี่บอยมองเห็นแววความกดดันในแววตาเด็กหนุ่ม เขาไม่ได้พูดพร่ำยืดยาว แค่ตบไหล่เบา ๆ หรือยกแก้วน้ำวางให้ตรงหน้าแล้วพูดสั้น ๆ“เหนื่อยก็พักบ้างนะกันต์…พี่อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องห่วง”คำน้อย ๆ แต่กลับเป็นแรงซับพอร์ทที่มั่นคงที่สุดสำหรับกันต์ เสมือนบอกเขาว่าต่อให้เส้นทางชีวิตหนักหนาแค่ไหน ก็ยังมีบ้านหลังนี้ที่พร้อมโอบรับอยู่เสมอในค่ำคืนเงียบสงบ พี่บอยมักนั่งอุ้มหนูนิดอยู่ตรงระ
ลมเย็นปลายฝนพัดผ่านสวนมะม่วงในยามเช้า พี่บอยยืนเก็บของลงท้ายรถยนต์อย่างเงียบ ๆ แม่เดินออกมาจากครัว มือหิ้วถุงผ้าผักสวนครัวติดมาด้วยนิรินยืนลูบท้องโตที่เริ่มทำให้เดินเหินไม่ค่อยถนัดนัก สายตาเธอมองไปรอบ ๆ บ้านสวนเงียบ ๆ อย่างผูกพัน “แม่… หนูคิดถึงบ้านหลังนี้จัง”แม่ยกมือแตะไหล่ลูกสาว ยิ้มอ่อน “ไม่ต้องห่วงหรอกลูก เดี๋ยวคลอดเสร็จ กลับมาด้วยกันอีก บ้านสวนก็ยังรอเราอยู่เสมอ”เต้าหู้เห่าเหง่ง ๆ วิ่งวนรอบขาเหมือนรู้ว่ากำลังจะออกเดินทาง พี่บอยก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “ไปด้วยกันนะไอ้เต้าหู้” หมาจอมซนส่ายหางแรง ๆ ตอบรับทันทีเมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งครอบครัวจึงขึ้นรถออกจากสวนที่อยู่มานานหลายปี เสียงประตูรั้วไม้เอียงปิดเบา ๆ ทิ้งไว้เพียงความทรงจำนิรินนั่งเอนพิงเบาะ มือกุมท้องแน่นทุกครั้งที่ลูกดิ้น พี่บอยเหลือบตามองเป็นระยะ มืออีกข้างวางบนหน้าขาเธออย่างอบอุ่นมือถือดังขึ้น น้องกันต์ส่งไลน์มา “พี่ ถึงไหนแล้ว ผมกับหมาจรที่เก็บมาเลี้ยงรออยู่ เต้าหู้จะได้มีเพื่อนแล้วนะ”นิรินยิ้มบาง ๆ “กันต์ตื่นเต้นใหญ่เลย”พี่บอยพยักหน้า “มันไม่เหงาหรอก มีทั้งหมา มีทั้งครอบครัวอยู่ด้วย”รถค่อย ๆ เลี้ยวเข้าประตูบ้านสองชั้น
แดดยามบ่ายอ่อนส่องลอดรั้วไม้เอียงเข้ามาในคาเฟ่ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นผสมกับกลิ่นขนมอบลอยอวลในบ้านที่เป็นทั้งร้านและที่พักอาศัยในเวลาเดียวกันนิรินกำลังจัดแจกันดอกไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะหินข้างหน้าต่าง เต้าหู้นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นไม้เหมือนเคย เธอไม่ได้เอะใจเลยว่าบรรยากาศวันนี้จะมีอะไรพิเศษกว่าทุกวันเสียงเครื่องยนต์รถดังมาจากหน้ารั้ว พี่บอยเดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษสีเรียบในมือ เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เดินตรงมาวางไว้บนโต๊ะไม้กลางห้องครัว“พี่ซื้ออะไรมาเหรอคะ” นิรินถามอย่างสงสัยเขาเปิดถุงออก เผยให้เห็นกล่องเค้กจากร้านชื่อดังในตัวเมือง ริมฝีปากหยักยกยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความหมายลึกซึ้ง“วันนี้… ครบรอบวันที่พี่กับหนูเจอกันครั้งแรก”นิรินชะงักไปทันที ดวงตากลมเบิกกว้าง น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “พี่…ยังจำได้เหรอคะ”พี่บอยพยักหน้าเบา ๆ “จำได้หมด…ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้”เธอหัวเราะทั้งน้ำตา ก้าวเข้าไปกอดเอวเขาแน่น “หนูไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนเซอร์ไพรส์แบบนี้”“พี่ไม่ได้เก่งเรื่องพวกนี้หรอก” เขาลูบผมเธอเบา ๆ “แต่พี่อยากให้หนูรู้…ว่าทุกวัน พี่ยังจำได้เสมอว่าหนูเข้ามาในชีวิตพี่ได้ยังไง”ทั้งคู่
ค่ำคืนอากาศเย็นหลังฝน บ้านสวนเงียบสงบนิรินนั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา สีหน้าหงุดหงิดเพราะอาการคนท้อง พี่บอยเงียบ ๆ แต่ยกขันน้ำอุ่นมาให้จิบบรรเทา พอเห็นเธอทำหน้ายู่ ก็ไม่พูดอะไร แค่ขยับลงนั่งกับพื้นตรงหน้าแล้วค่อย ๆ นวดฝ่าเท้าให้“พี่…ไม่ต้องก็ได้ หนูไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นหรอก” เธอพึมพำเบา ๆ แต่ปลายนิ้วยังเกาะแขนเขาไว้ไม่ปล่อยพี่บอยแค่ส่ายหน้าเบา ๆ “ถ้าไม่สบายตัว…ก็ให้พี่ช่วย” เสียงทุ้มต่ำเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความมั่นคงนิรินเผลอหลับตา สูดหายใจลึกเมื่อความปวดเมื่อยค่อย ๆ คลายลง เธอซบหน้าลงกับอกเขาในที่สุด น้ำตาซึมเล็กน้อย “ถ้าไม่มีพี่…หนูคงแย่ไปแล้วจริง ๆ”พี่บอยก้มลงจูบหน้าผากเบา ๆ “ก็เพราะพี่อยากให้หนูไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวอีกต่อไปแล้วไง”นิรินยกมือเล็กดึงชายเสื้อเขาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะถอยหนี ใบหน้าที่เคยทำหน้างออยู่เมื่อครู่กลับแดงจัด ดวงตาสั่นระริกด้วยทั้งความหงุดหงิดและความปรารถนา“พี่… หนูหิวพี่จริง ๆ นะ” น้ำเสียงเธอสั่นแต่เด็ดขาดพี่บอยนิ่งไปนานพอสมควร แววตาคมเข้มกวาดมองเรือนกายที่เริ่มเปลี่ยนเพราะการตั้งครรภ์ เขาสูดหายใจลึก เหมือนจะกักเก็บสติที่เหลือ แต่ในที่สุดก็ยื่นมือมากอบก







