ก่อนที่มู่หยางจักกลับไปรับงานราชการที่เขาเหลียงซาน เขาได้ขี่ม้ามาอยู่ที่หุบผา คนตัวสูงกระโดดจากหลังม้าดวงตาคมหลุบมองต่ำด้วยใจเหม่อลอย เขาคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนขมขื่นน้ำมือทั้งสองของเขาผลักหญิงอัปลักษณ์ลงเหวไปต่อหน้าต่อตา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อ เสียงเพรียกหาอย่างอาวรณ์ยังตรึงอยู่ในใจมู่หยางกำลังสับสนตีกับตัวเอง ทั้งที่เจ็บเจียนตายถึงเพียงนี้ก็ยังหวังอยู่ลึก ๆ ว่าเหมยลี่จักอยู่รอดปลอดภัย นางมิน่าคบชู้กับเซียวจ้านสหายรักของเขา มิเช่นนั้นเรื่องคงไม่ลงเอยเฉกเช่นนี้บุรุษย่างกรายไปอย่างเชื่องช้า ผ่านแมกไม้รกร้างก่อนหยุดยืนที่ขอบเหว ดวงตาคมหรี่มองท้องฟ้าอันไกลโพล้นยามซื่อที่มีดวงอาทิตย์ส่องจ้าอยู่บนนั้น ก่อนก้มคออย่างหมดอาลัยเพื่อมองหาซากศพที่อาจหลงเหลือไว้ให้ดูต่างหน้ามู่หยางมิเห็นสิ่งที่ค้นหา เขาเห็นแต่เพียงลำธารไหลซึ่งอยู่เบื้องล่าง น้ำใสไหลเชี่ยวคดโค้งไปมาเหมือนกับใจของบุรุษในตอนนี้ที่ไหวติงไปตามกระแสของความคำนึงหามิรู้สิ่งใดดันใจให้มู่หยางชำเลืองมองลำธารนี้ จู่ ๆ เขาก็ได้เห็นแสงกระพริบแสบตาที่เบื้องล่าง ซึ่งมันน่าสงสัยยิ่งนักจนทำให้ความอยากรู้เอาชนะให้เขาลงไปค้นหาท่านแม่
“ท่านแม่ไยท่านมีสีหน้าเช่นนั้นเจ้าคะ” ต้าเหนิงเอ่ย พร้อมย่างกรายเข้าไปหาสตรีสูงวัยโดยมีผู้รับใช้ยกสำรับน้ำชาเดินตามหลังสะใภ้เอกซึ่งยามนี้ท้องของนางได้โตวันโตคืน เนื้อตัวก็อวบอิ่มมากกว่าเดิม ทอดสายตามองมารดาของสามีก่อนค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่งฮูหยินชิงชิงยังคิดมิตกกับเรื่องที่ชินแสได้กล่าวไว้ แม้จักนานร่วมเดือนแล้วก็ตาม บุตรชายของนางก็เอาแต่เมามายมิเป็นอันทำงานเสียที นางจึงกลุ้มใจอยู่มิน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้ถูกทางการสั่งลงโทษแน่“ข้าเป็นห่วงหลานของข้าน่ะสิ ท่านแม่ทัพนี่ก็เสียผู้เสียคนจนไม่มาดูแลเจ้าเลยสักนิด เยี่ยงนี้จักให้ข้าสู้หน้าเจ้าได้เยี่ยงไร”“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใด” ต้าเหนิงพูดไปเยี่ยงนั้น ทั้งที่ในใจตรอมหนักมิต่างกัน ผ่านไปนานเป็นแรมเดือนแล้ว มู่หยางก็ยังอาลัยหญิงอัปลักษณ์มิเลิก“มีราชโองการ!” จู่ ๆ เสียงก็ดังขึ้นทั้งสองจึงรีบวิ่งออกไปแล้วหยุดคำนับบนพื้น ท่านเสนาบดีเดินทางมาถึงเรือนท่านแม่ทัพเยี่ยงนี้ย่อมมีรับสั่งเร่งด่วนเป็นแน่“ท่านแม่ทัพมู่หยางอยู่ที่ใด” ทว่าคนที่สมควรอยู่ต่อหน้าเสนาบดีดันไม่โผล่หัวมา ทั้งสองนางจึงเลิ่กลั่กเป็นการใหญ่“ขออภัยท่านเสนาบดี ท่านแม่ทัพป่วย
เสียงจอแจดังขึ้นแทรกซ้อน แต่หญิงอัปลักษณ์หาสนใจไม่ เธอหยิบจับวัตถุดิบอย่างคล่องแคล่วทำอาหารให้ผู้คนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ชิมเสียหน่อยลี่หลินยิ้มเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดีพร้อมฮัมเพลงไปด้วย ซึ่งนับว่าแปลกประหลาดชอบกล เพราะมิมีสตรีผู้ใดทำตัวเยี่ยงนี้ ในขณะเดียวกันจางเหว่ยก็ยืนเอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ โดยที่ข้างกายเขาที่ห่างกันหนึ่งช่วงแขนเป็นเถ้าแก่เนี้ยซึ่งกำลังจับตามองมิห่างเช่นกันลี่หลินรีบจัดการกระดูกหมูเสียก่อน เธอนำไปต้มให้เดือดพร้อมใส่สมุนไพรดับกลิ่น หลังจากนั้นจึงมาปั้นแป้งเพื่อทำเสี่ยวหลงเปา“เธอดูชำนาญนัก” เสียงคนมุงพูดขึ้น“สตรีย่อมทำอาหารอยู่ก้นครัว แต่หาใช่ทำแล้วจักถูกปากใครได้” อีกคนหนึ่งพูด“จริงด้วย แค่หยิบจับเป็นคงทำอาหารได้ไร้รสชาติ” อีกคนเสริมเสียงพูดคล้ายแมลงตัวเล็กบินข้างหูลี่หลินมิอาจสนใจ เพียงแค่ปัดรำคาญไปสองสามหน ก่อนวางมือจากการนวดแป้ง และปล่อยไว้ให้ก้อนแป้งที่นวดอยู่ตัว จึงหันมาจัดการขอดเกล็ดปลาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้หมดเกลี้ยงแล้วล้างน้ำให้สะอาด“นางกำลังจะเริ่มทำปลาแล้ว” เสียงคนหนึ่งพูดคล้ายตื่นเต้นที่ได้เห็นลี่หลินปรายตามองไปหนึ่งครั้ง ก่อนหยิบเครื่องปรุงและซอยขิงให้
“ที่นี่โรงเตี๊ยมบุพผางาม” จางเหว่ยพูดขึ้น สามีของฟู่ฟู่พาหญิงอัปลักษณ์มาถึงโรงเตี๊ยมที่ว่า แม้จักดูมิใหญ่โตมากนักแต่ผู้คนก็เข้ามาไม่ขาดสาย เนื่องจากที่ตั้งแห่งนี้เป็นทางผ่านไปยังหัวเมืองต่าง ๆ จึงมิแปลกใจหากจักมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาจิบน้ำชาและหลับนอน ลี่หลินมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยฝันอยากเป็นเชฟโรงแรมระดับห้าดาว ถึงที่แห่งนี้ไม่มีดาวการันตีก็ตาม นางถือว่าที่แห่งนี้เป็นเหมือนที่ฝึกฝนจึงมิเกี่ยงเลยหากได้ทำงานในที่แห่งนี้ “เข้าไปกันเถอะ” บุรุษเดินนำเข้าไปก่อน หญิงอัปลักษณ์จึงดึงผ้าคลุมให้ปิดใบหน้าซีกหนึ่งให้มิชิด เพื่อมิให้ผู้คนในที่แห่งนี้แตกตื่นไปเสียก่อน เสียงจอแจดังจนฟังมิได้ความ กับผู้คนที่เข้ามาบ้างก็ทานอาหาร บ้างจิบน้ำชา และเมามาย ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนหอนางโลมดี ๆ นี่เอง เพราะลี่หลินเห็นนางคณิกาอรชรอ้อนแอ้นนั่งรินน้ำชาให้เหล่าบุรุษอยู่หลายนาง “จางเหว่ยท่านแน่ใจรึว่าที่นี่คือโรมเตี๊ยม” ลี่หลินจึงถามให้แน่ใจ “ใช่ที่แห่งนี้แหละ” จางเหว่ยตอบ ก่อนหันไปทักทายเจ้าของโรงเตี๊ยม
ลี่หลินตั้งใจปักเย็บผ้าห่มผืนหนามาหลายชั่วยามจนเหมื่อยกาย มือของนางถูกเข็มทิ่มซ้ำอยู่หลายหน แต่นั่นก็มิทำให้ความตั้งใจลดน้อยลงไป ขณะเดี๋ยวกันฟู่ฟู่เห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่จางเหว่ยจักกลับมาจากหาของป่าเสียแล้ว นางจึงต้องรีบละจากกองผ้าเพื่อไปเตรียมทำอาหารในครัว “เจ้าจะไปไหน?” หญิงในร่างอัปลักษณ์เอ่ยถาม “ข้าจักไปเตรียมทำอาหารให้ท่านพี่กับท่านแม่” “ท่านแม่?” ลี่หลินขมวดคิ้ว นางลืมไปเสียสนิทว่าบ้านหลังนี้มีหญิงชราอาศัยอยู่ด้วยมิใช่ เหตุใดนางจึงมิเห็น “ใช่ท่านแม่ของสามีข้า นางมิค่อยสบายจึงพักผ่อนอยู่อีกห้องหนึ่ง” ลี่หลินครุ่นคิด คนบ้านนี้ชั่งมีน้ำใจเสียจริง ทั้งที่แม่ผู้แก่ชราล้มป่วยยังมาดูแลนางขนาดนี้ ลี่หลินต้องตอบแทนผู้มีน้ำใจบ้างแล้ว “ให้ข้าทำกับข้าวแทนเจ้าได้ไหม” ลี่หลินพูด นางเรียนมาทางด้านนี้และคิดว่าทำได้ดีจึงอยากแสดงฝีมือ “ได้สิ งั้นให้ข้าเป็นลูกมือเจียเจี่ยนะ” ฟู่ฟู่ยิ้ม นางอยากชิมฝีมือพี่สาวเช่นกัน ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในครัว ซึ่งเป็นเตาที่ถูกก่อด้วยดินเผาโดยใช้ความร้อนจากฟืน นั่นมิใช่อุปสรรคในการ
ด้วยความร้อนใจฮูหยินชิงชิงจึงหวนกลับไปที่เดิม นางเข้ามาหาท่านซินแสที่นางเคยมาอ้อนวอนขอบุตรให้แก่ตระกูลกู้ หญิงชราเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเป็นกังวล นางพบท่านซินแสกำลังนั่งสมาธิอยู่ในศาลาอันเก่าและทรุดโทรม รอบกายรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณซึ่งดูรกตาเป็นอย่างมาก ทว่าร่างกายของผู้มีพลังเหนือสรรพสิ่งดันดูผ่องใสจนน่าศรัทธา “ท่านซินแส” ฮุหยินชิงชิงรีบคำนับ เปลือกตาของท่านซินแสค่อยลืมขึ้นอย่างมิทุกข์ร้อนใด ๆ เขาหยั่งรู้ในทุกสิ่ง เพียงแค่เห็นหน้าผู้มาเยือนก็รู้แล้วว่าสตรีสูงวัยผู้นี้รีบร้อนมาหากันด้วยเหตุอันใด “กลับไปเสียข้าช่วยเจ้ามิได้” แม้ซินแสจักหยั่งรู้ แต่ก็มิอาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตไปได้เสียทุกอย่าง เรื่องเวรกรรมที่มู่หยางต้องได้รับเคราะห์หนักมันเป็นเรื่องที่ซินแสเยี่ยงเขาเข้าไปยุ่งมิได้ “ท่านซินแส ได้โปรดช่วยบุตรชายข้า” ฮูหยินชิงชิงยอมคุกเข่าอ้อนวอน “ใจที่ผูกติดต่อให้ใช้ดาบแหลมคมตัดก็มิอาจตัดขาดไปได้ เคราะห์ของใครก็ต้องให้ผู้นั้นเป็นคนแก้ หากเจ้าไปฝืนชะตาก็คงต้องเป็นเจ้าเองที่จะต้องวอดวาย” “ข้ายอม ข้ายอมทุกอย่าง ขอเพียงแค่ให