ชญาดาชะงักไปเล็กน้อยในตอนที่พ่อของเธอเอ่ยชื่อของอรรถกรณ์ขึ้นมา เธอหลุบตาลงต่ำทำทีเป็นคีบหมูเข้าปากกลัวว่าพ่อจะจับได้ว่าเธอกำลังนึกถึงคนที่พ่อเอ่ยชื่อออกมาเมื่อครู่ แต่เขาก็ยังนั่งจ้องเธออยู่แบบนั้นไม่วางตาทำเอาเธอกลืนอะไรแทบไม่ลงจนต้องยอมตอบคำถามเขาไป
“เขากะ.. ก็ดูเป็นคนดีนะคะ” เธอตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“แค่นั้นเองเหรอ” ชโลธรหรี่ตามองลูกสาวของตัวเองอย่างจับผิด
“แค่นั้นสิคะ พ่อคิดว่ายังจะมีอะไรอีกล่ะคะ”
“เปล่านี่.. พ่อก็แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้ามีลูกเขยเป็นประธานบริษัทจะเป็นยังไงนะ” ชโลธรพูดไปก็กลั้นขำไปแอบเห็นใบหน้าหวานของลูกสาวขึ้นสีระเรื่อในตอนที่เขาพูดคำว่า ‘ลูกเขย’
“เฌอว่าพ่อเมาหมูกระทะแล้วเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้”
“แต่พ่อว่าเฌอรู้นะว่าพ่อพูดเรื่องอะไร ใช่ไหม” ชญาดาที่เห็นสายตาของพ่อที่หรี่มองเธอพร้อมกับคำถามแบบนั้นก็ได้แต่อมตะเกียบที่เพิ่งคีบหมูเข้าปากไปค้างไว้แบบนั้นก่อนจะเอามันออกมาวางลงบนโต๊ะเงียบๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนเป็นพ่อที่ยังคงนั่งจ้องเธออยู่แบบนั้น
“เฌอไม่รู้เหมือนกันค่ะพ่อว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะเรียกว่าชอบได้ไหม แต่เฌอรู้แค่ว่าเฌอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน” ตอบเหมือนกันยังกับว่านัดกันไว้เลยนะชโลธรได้แต่คิดในใจ และคำตอบของลูกสาวก็ทำให้ชโลธรมั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่าพวกเขาสองคนมี ‘ความรู้สึกดีต่อกัน’ อย่างแน่นอน
“งั้นก็แสดงว่ามีโอกาส”
“โอกาส? โอกาสอะไรคะ” ชญาดามองหน้าพ่อของเธอด้วยสีหน้างุนงง
“ก็โอกาสที่เฌอจะชอบคุณอัฐไง”
“บ้าาา! พ่อพูดอะไรอีกแล้วเนี่ย ชอบเชิบอะไรกันเล่า” ชญาดาผุดลุกจากโต๊ะอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำท่าทีแปลกๆ ออกไปเลยทำทีเป็นเก็บกวาดจานชามบนโต๊ะเงียบๆ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเหมือนกับว่าคำพูดของชโลธรเมื่อครู่ทำให้สมองของเธอต้องคิดตามอย่างอดไม่ได้
“หรือไม่จริง?” ชโลธรยังคงพยายามไล่ต้อนลูกสาวปากแข็งของเขาต่อ
“นี่พ่อจะเล่นแบบนี้ใช่ไหมคะ ได้ค่ะ! ” ชญาดาใช้ผ้าขี้ริ้วกวาดเศษขยะบนโต๊ะลงในถุงขยะก่อนจะมัดปากถุงและเดินไปทิ้งลงในถังขยะหน้าบ้านแล้วกลับมานั่งลงข้างๆ พ่อของเธอพร้อมกับกอดอกมองหน้าเขานิ่งๆ ประมาณว่า ‘มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเลยค่ะคุณพ่อ’ ทำนองนั้น
“นั่งมองหน้าพ่อแล้วยังไงต่อล่ะทีนี้”
“ทำไมคะ เฌอมองไม่ได้แต่สาวๆ ที่บริษัทมองได้ใช่ไหมคะ” ชญาดาเชิดหน้าหนีไปอีกทาง
“โถๆๆ พ่อไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับคนสวยของพ่อ” ชโลธรรีบซบหัวลงกับไหล่เล็กของลูกสาวตนพร้อมกับช้อนสายตามองใบหน้าหวานปริบๆ ราวกับว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่มันน่ารักมากอย่างไรอย่างนั้นทำเอาคนมองแบบชญาดาอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทีของคนเป็นพ่อ
“ฮ่าๆๆ ดูพ่อทำหน้าเข้าสิคิดว่าตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ หรือไงคะ”
“ก็เฌอโกรธพ่อ”
“เฌอไม่โกรธแล้วค่ะ หายโกรธแล้วเนี่ยเห็นไหม” ชญาดาฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีก่อนจะกอดแขนพ่อเอาไว้พร้อมกับซบหัวลงไปอย่างออดอ้อน ชโลธรยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมดกดำนั้นอย่างเอ็นดู
“งั้นเฌอจะบอกพ่อได้หรือยังล่ะ หืม?” เขาก้มมองใบหน้าหวานที่กำลังทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักจนหัวคิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบว์อยู่รอมร่อ แต่เขาก็เพียงแค่มองเธอเงียบๆ ไม่ได้คาดคั้นอะไรจากเธออีกคิดว่าถ้าเธออยากบอกเขาเดี๋ยวเธอก็คงจะพูดออกมาเอง
“พ่อคะ..” หลังจากที่เงียบมานานสองนานชญาดาก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมา
“ว่าไงครับ”
“พ่อจะว่าอะไรไหมถ้าเกิดว่าวันหนึ่งเฌอชอบเอ่อ.. คุณอัฐขึ้นมาจริงๆ”
“…” ชโลธรไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำเอาชญาดารู้สึกใจเสียขึ้นมาไม่น้อย
“คือถ้าพ่-”
“ถึงเฌอจะเป็นลูกพ่อแต่พ่อก็เลี้ยงได้แต่ตัวพ่อไม่ไปบังคับหัวใจของเฌอหรอก ถ้าวันหนึ่งเฌอชอบใครพ่อก็จะชอบด้วย เฌอรักใครพ่อก็จะรักเขาด้วย และถ้าคนๆ นั้นมันทำลูกของพ่อเสียใจเมื่อไหร่ก็คงต้องได้เห็นดีกัน” สายตาของพ่อตอนพูดประโยคหลังทำเอาเฌอรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
“ขอบคุณนะคะพ่อที่เข้าใจเฌอ หวังว่าเขาจะไม่ทำให้เสียใจ”
“เขาที่ว่านี่ใช่คุณอัฐไหมน้ออ”
“พ่อออออออ” เฌอลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยใจกับคนเป็นพ่อ รู้แล้วยังจะแกล้งมาถามเธออีก
“โอเคๆ พ่อไม่ถามแล้วก็ได้ แต่มีอีกเรื่องที่พ่อต้องถาม”
“อะไรอีกล่ะคะ”
“พ่อไม่ว่าแล้วเฌอถามคุณย่าหรือยัง”
“พ่อไม่ต้องห่วงหรอกค่ะถ้าเป็นเรื่องนี้คุณย่าไม่ว่าแน่นอนเฌอเอาหัวเป็นประกัน” เธอโตมาด้วยการถูกเลี้ยงโดยคุณย่าละม่อมหรือมารดาบังเกิดเกล้าของพ่อเธอนั่นแหละ ถ้าคิดว่าเธอถูกเลี้ยงมาโดยการถูกทุกคนรอบข้างคอยเอาอกเอาใจประเคนทุกสิ่งมาให้คิดผิดแล้วล่ะ
คุณย่าจะสอนเธอในทุกๆ เรื่องและเคี่ยวเข็ญเธออย่างหนักก้านมะยมที่ใครๆ ก็ต่างว่าเจ็บนักหนาหรือจะสู้หางปลากระเบนของคุณย่าละม่อมแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ตอนที่เธอยังเด็กพอเธอโตขึ้นจนรู้จักความคุณย่าก็จะใช้เหตุผลในการคุยและบอกกับเธอไม่ได้ตีด้วยหางปลากระเบนเหมือนทุกที
แต่เธอก็ไม่เคยนึกโกรธที่คุณย่าทำแบบนั้นเพราะท่านมีเหตุผลไม่ใช่นึกอยากจะตีก็ตีเสียเมื่อไหร่ ที่คุณย่าตีเพราะตัวเธอทำผิดจริงๆ ต่างหากถึงได้โดนตียังไงล่ะ ส่วนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ น่ะเธอจำประโยคที่ย่าละม่อมบอกเธอได้เป็นอย่างดีไม่มีวันลืม
‘จำไว้นะเฌอถ้าเกิดวันหนึ่งเฌอไปเจอคนที่ถูกใจก็รีบคว้าเขาเอาไว้ รักใครชอบใครก็บอกออกไปเลยอย่ารอช้าเดี๋ยวหมามันจะคาบไปกินเสียก่อน ดูอย่างปู่เฌอสิย่าเห็นปุ๊บถูกใจปั๊บเลยโดนย่ามอมเหล้าจับทำผัวอยู่กินด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้’
ชญาดาชะงักไปเล็กน้อยในตอนที่พ่อของเธอเอ่ยชื่อของอรรถกรณ์ขึ้นมา เธอหลุบตาลงต่ำทำทีเป็นคีบหมูเข้าปากกลัวว่าพ่อจะจับได้ว่าเธอกำลังนึกถึงคนที่พ่อเอ่ยชื่อออกมาเมื่อครู่ แต่เขาก็ยังนั่งจ้องเธออยู่แบบนั้นไม่วางตาทำเอาเธอกลืนอะไรแทบไม่ลงจนต้องยอมตอบคำถามเขาไป“เขากะ.. ก็ดูเป็นคนดีนะคะ” เธอตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก“แค่นั้นเองเหรอ” ชโลธรหรี่ตามองลูกสาวของตัวเองอย่างจับผิด“แค่นั้นสิคะ พ่อคิดว่ายังจะมีอะไรอีกล่ะคะ”“เปล่านี่.. พ่อก็แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้ามีลูกเขยเป็นประธานบริษัทจะเป็นยังไงนะ” ชโลธรพูดไปก็กลั้นขำไปแอบเห็นใบหน้าหวานของลูกสาวขึ้นสีระเรื่อในตอนที่เขาพูดคำว่า ‘ลูกเขย’“เฌอว่าพ่อเมาหมูกระทะแล้วเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้”“แต่พ่อว่าเฌอรู้นะว่าพ่อพูดเรื่องอะไร ใช่ไหม” ชญาดาที่เห็นสายตาของพ่อที่หรี่มองเธอพร้อมกับคำถามแบบนั้นก็ได้แต่อมตะเกียบที่เพิ่งคีบหมูเข้าปากไปค้างไว้แบบนั้นก่อนจะเอามันออกมาวางลงบนโต๊ะเงียบๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนเป็นพ่อที่ยังคงนั่งจ้องเธออยู่แบบนั้น“เฌอไม่รู้เหมือนกันค่ะพ่อว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะเรียกว่าชอบได้ไหม แต่เฌอรู้แค่ว่าเฌอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน” ตอบเหมือนกั
หลังจากที่ชญาดาช่วยพ่อของเธอล้างของและเก็บกวาดร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อของเธอก็เสนอเมนูเย็นนี้ว่าจะทำหมูกระทะฉลองในโอกาสที่เธอเรียนจบทั้งคู่เลยแวะซื้อของที่ตลาดสดหน้าปากซอยทางเข้าบ้านแบ่งกันไปซื้อ ชโลธรเป็นคนไปเดินเลือกซื้อผักและชญาดาไปซื้อพวกหมูสามชั้นกับของทะเลนิดๆ หน่อยไม่อยากซื้อไปเยอะมากเพราะกินกันแค่สองคนพ่อลูก และนัดว่าให้ไปเจอกันที่รถ“ไหนดูสิคนสวยของพ่อได้อะไรมาบ้าง มาๆ เดี๋ยวพ่อช่วยถือแขนแดงหมดแล้ว” ชโลธรพูดขึ้นทันทีที่เห็นลูกสาวของตนเดินมาถึงรถและรีบเข้าไปรับของที่เธอมาช่วยถือไว้กลัวว่าแขนเล็กๆ นั่นจะหักเอาเสียก่อนดูสิแค่นี้ผิวขาวๆ ของเธอก็ขึ้นรอยแดงเต็มไปหมด“โอ๊ยพ่อ.. เวอร์ไปไหมเนี่ยเฌอแค่ถือของนะคะไม่ได้แบกเสาเข็ม ไปเปิดท้ายเลยค่ะเฌอจะได้เอาของใส่รถเห็นตัวแค่นี้แต่เฌอแข็งแรงมากเลยนะขอบอก” เธอกลอกตาไปมาเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของผู้เป็นพ่อที่ดูจะเป็นห่วงเธอเอามากๆ ทั้งๆ ที่วันนี้ทั้งวันเธอทำอะไรที่มันหนักหนากว่านี้ตั้งหลายเท่า“ครับๆ ลูกผมมันเก่งอยู่แล้วครับ” ชโลธรจีบปากจีบคอพูดใส่ลูกสาวของตนด้วยความมันเขี้ยว“เก่งได้พ่อแหละ ฮ่าๆ” เฌอหัวเราะชอบใจพร้อมกับวางของในมือลงที่ท
“ทานให้อร่อยนะครับ” เขายิ้มตอบให้เฮียชลก่อนจะก้มมองอาหารจานโปรดของตนชนิดที่ว่าเอาปูอลาสก้าตัวล่ะหมื่นห้ามาแลกก็ไม่ยอม แต่ไหงวันนี้สีสันของมันถึงได้ดูจัดจ้านเป็นพิเศษสงสัยเฮียชลคงปรับสูตรกระมัง“แค่กๆ!” ทันทีที่ข้าวคำแรกเข้าปากอรรถกรณ์ก็แทบจะคายออกในทันทีถ้าไม่ติดว่าเฮียชลมองเขาอยู่เลยทำได้แค่ฝืนกลืนมันลงไป ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยแต่มันเผ็ด! เผ็ดมากขนาดที่ข้าวคำเดียวเขาต้องดื่มน้ำตามเป็นขวดไม่รู้เฮียชลทำพริกคว่ำลงไปในกระทะหรืออย่างไรมันถึงได้เผ็ดขนาดนี้ แล้วอีกอย่างที่ไม่เหมือนทุกทีก็คือวันนี้ไม่มีน้ำซุปที่ปกติจะเสิร์ฟคู่กันกับข้าวตลอด“ไม่อร่อยเหรอครับคุณอัฐ” ชโลธรถามเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอรรถกรณ์ ใบหน้าของเขาแดงก่ำพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาตามกรอบหน้าจนชุ่มไปหมด“อะ.. อร่อยครับ แต่ผมขอน้ำเปล่าเพิ่มอีกขวดละกันครับ” ฝ่ามือหนาปาดเหงื่อตามใบหน้าแล้วรีบตักข้าวเข้าปากไวๆ หลังจากที่เฮียชลเดินหันหลังไปหยิบน้ำเปล่าที่ตู้เขาหวังว่าถ้ากินไวความเผ็ดมันก็คงจะไม่มากเท่าไหร่แต่มันไม่ใช่แบบที่คิดเพราะยิ่งกินมันก็ยิ่งเผ็ดขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องสูดปากยกใหญ่แล้วนี่ทำไมเฮียชลถึงไปหยิบน้ำน
ในเช้าวันทำงานวันแรกของสัปดาห์แบบนี้ผู้คนต่างขวักไขว่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรีบเตรียมตัวไปเข้างานให้ทันเวลาตามที่บริษัทของแต่ละคนกำหนดเหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะไม่อยากเข้างานสายตั้งแต่วันแรกของสัปดาห์เช่นเดียวกับ ‘ชญาดา’ ที่วันนี้เธอจะเข้าไปช่วยพ่อที่ร้านอาหารตามสั่งในศูนย์อาหารของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างบริษัท ATK เป็นวันแรกหลังจากที่เรียนจบ ปวส. จากวิทยาลัยแถวบ้านมาตัวเธอเองก็ลองพยายามหาสมัครงานตามที่ต่างๆ แต่ไม่ว่าเข้าไปที่ไหนทุกๆ ที่ก็จะพูดประโยคเดียวกันกับเธอ ‘ไว้จะติดต่อกลับไปอีกทีนะคะ’ แล้วก็เป็นไปตามสูตรไม่มีที่ไหนติดต่อเธอกลับมาเลยแม้แต่ที่เดียว ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกยิ่งช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้การที่เธอจะหางานยากแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเมื่อหางานไม่ได้เธอเลยตัดสินใจปรึกษากับคุณ ‘ชโลธร’ บิดาบังเกิดเกล้าเพียงคนเดียวของเธอเขาก็เลยยื่นข้อเสนอให้เธอเข้าไปช่วยที่ร้านอาหารตามสั่งของเขาชั่วคราวก่อนหางานได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน เธอเลยต้องพาตัวเองนั่งรถจากบ้านนอกเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงเป็นครั้งแรกเกิดมา 21 ปีคำว่า ‘เมืองศิวิไล’ มันก็เพิ่งประจักต่อสายตาชญาดาวันนี้นี่เองทั้งแสง สี เส