เหมือนเป็นบ่วงของสรวงสวรรค์ที่วางแผนให้ จันทร์ดารา ต้องถูกจับตัวมาเรียกค่าไถ่ และแทนที่จะส่งอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย กลับส่งนายทหารร่างสูงซึ่งใจร้อนและปากเสียแบบสุดๆ มาช่วยเธอ แต่เพราะความปากเสียของเขาบวกกับความเป็นคนไม่ยอมใครของเธอ ทำให้ต้องฟาดฟันกันด้วยริมฝีปาก และปลุกเร้าอารมณ์ด้วยกายา กว่าจะพากันหนีรอดจากโจรเรียกค่าไถ่ เธอก็ต้องเสียทั้งตัวและใจให้กับเขา คนที่สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กับเธอ คราแรกที่ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยลูกสาวท่านนายพล ซึ่งถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ พันตรีสุริยะ ก็กระฟัดกระเฟียดไม่อยากไป ด้วยเหตุที่ว่าทำไมไม่ให้คู่หมั้นของเธอไปช่วย แต่พอมาเจอหญิงสาวสะพรั่งร่างอรชรอวบอิ่มทั้งบนและล่าง แต่มีฝีปากจัดจ้านไม่สมกับดวงหน้างดงาม เขาจึงต้องสั่งสอนให้เธอรู้สำนึกว่าอย่ามาทำกำแหงกับคนที่มาช่วยเธออย่างเขา เพราะเขาจะไม่แค่ใช้ฝีปากฟาดฟันให้เธอเจ็บปวดเท่านั้น แต่เขาจะมัดกายและใจของเธอให้ติดแน่นกับเขาชั่วกาลนาน
view moreพันตรีสุริยะ สุริโยปกรณ์ เดินงุ่นง่านวนไปวนมาจนพื้นห้องแทบทรุด ใบหน้าเข้มที่ประกอบด้วยเครื่องหน้าคมจัด ออกหล่อเหลา ถูกแต่งเติมด้วยดวงตาคมกริบดุดันอยู่ตลอดเวลา และประดับด้วยปลายจมูกโด่งแหลม ริมฝีปากสีเข้ม หยักลึกได้รูปสวย รวมๆ แล้วเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินวนเป็นเจ้าเข้าอยู่นี่ รูปงามสมชายชาตรีทีเดียว
“ผู้พันครับ ผู้พันจะหมุนอีกนานไหมครับ ผมเวียนหัวไปหมดแล้วนะครับ”
จ่าเฉย แต่ไม่เฉยเหมือนชื่อ ถามผู้บังคับบัญชาหนุ่มอย่างอดไม่ได้ เพราะตนเริ่มวิงเวียนเกือบคลื่นไส้เต็มทีแล้ว
“มึงเวียนหัว มึงก็ปิดตาไว้ อย่ามองกูสิวะ”
“เว้ย...กูจะทำยังไงดีวะ กูอยู่ของกูดีๆ ก็หาเหาโยนใส่หัวกูซะงั้น โอ๊ย...คู่หมั้นไปไหนวะ ทำไมต้องเป็นกูด้วย”
พันตรีสุริยะตะโกนลั่น และยกมือขยี้เส้นผมที่ตัดสั้นเข้ารูป ราวกับคนบ้ายังไงยังงั้น ดีหน่อยที่ผมสั้น ถ้าผมยาวกว่านี้คงไปยืนข้างถังขยะแล้วล้วงมือเข้าไปหาของกินได้แล้ว
“เอ่อ...ผู้พันยะเป็นอะไรไปเหรอครับ มีอะไรให้ผมช่วย ก็บอกได้นะครับ เผื่อผมจะช่วยได้” จ่าเฉยบอกอย่างหวังดี
“แล้วผู้พันเป็นอะไรไปล่ะครับ ถึงต้องเดินไปเดินมาจนรองเท้าสึก”
“ก็...” พันตรีสุริยะเกือบหลุดปากบอกความลับออกไป “เฮ้ย...อย่ารู้เลย” พูดจบร่างสูงก็เดินหนีไป ปล่อยให้จ่าเฉยยกมือเกาหัวแกรกๆ อย่างมึนงง
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พันตรีสุริยะที่แต่งกายด้วยชุดลายพราง และพรางหน้าด้วยการทาสีจนดำปิ๊ดปี๋ ซุ่มเงียบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ดวงตาคมกริบจับตามองไปยังกระท่อมกลางป่าหลังน้อยอย่างตั้งใจ หากแต่ในใจนั้นกำลังเดือดปุดๆ เมื่อคิดว่าผู้บังคับบัญชาส่งตนให้มายืนอยู่ตรงนี้อย่างง่ายดาย
‘ถ้ารู้ว่ามันง่ายดายขนาดนี้ ทำไมไม่ส่งคนอื่นมาแทนวะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้กูทำด้วย บ้าฉิบ...ลูกสาวคนเดียวอยู่ตรงไหนก็รู้ดี แล้วทำไมต้องเป็นกูด้วยวะ’
ใจคิด แต่ดวงตายังคงจับจ้องไปที่เป้าหมายไม่วางตา สมาธิถูกจดจ่อไปที่กระท่อมหลังนั้น แล้วดวงตาคมก็หรี่ลง เมื่อมีบางอย่างเคลื่อนออกมาจากกระท่อม
จันทร์ดาราใช้ความสามารถของตนแก้มัดเชือกที่ผูกข้อเท้าได้สำเร็จ แต่ข้อมือบางยังคงมีเชือกผูกอยู่ และเธอก็ไม่มีเวลาจะแก้มันออก นอกจากตัดสินใจย่องเงียบออกมาทั้งที่มือทั้งสองข้างยังถูกมัดติดกันแน่น หญิงสาวใช้แผ่นหลังแนบฝา หันซ้ายหันขวาดูทางหนีทีไล่ เมื่อเห็นว่าปลอดคน ร่างบางก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตทันที
สุริยะผุดวิ่งตาม โดยก้มตัวลงแต่ยังคงซอยเท้าตามร่างระหงไปเรื่อยๆ
“เฮ้ย! มันหนีไปแล้ว ตามจับมันให้ได้เร็วเข้า”
เสียงโจรเรียกค่าไถ่ดังตามหลัง ยิ่งทำให้จันทร์ดาราต้องซอยเท้าให้เร็วขึ้น
สุริยะออกจากที่ซ่อนและยิงใส่กลุ่มโจรเรียกค่าไถ่ แต่โชคร้ายที่กระสุนไม่โดนพวกมันเลย ชายหนุ่มวิ่งตามร่างบางจนทันด้วยฝีเท้าที่ไวกว่าอยู่หลายขุม และลากแขนบางวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต แต่มือที่ถูกผูกติดกันของจันทร์ดาราและไพล่ไปด้านหลังนั้นเป็นอุปสรรคในการฉุดรั้งจากคนร่างสูง ทำให้ปลายเท้าบอบบางสะดุดรากไม้ปลิวหวือลงกระแทกกับพื้นดินจนจุก ร่างสูงจึงต้องหยุดวิ่งหันมารวบร่างบางขึ้นพาดบ่า และพาวิ่งทั้งๆ อย่างนั้นเหมือนไม่หนักเลยสักนิด
“ว้าย...นายเป็นใครน่ะ นี่! ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ” จันทร์ดาราหวีดร้องวี้ดว้ายไปตลอดทาง
“ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นมันฆ่าทิ้งรึไง หุบปากซะถ้ายังไม่อยากตาย”
“ก็แล้วทำไมไม่ปล่อยให้ฉันวิ่งเองเล่า”
“คุณจะวิ่งไปได้สักกี่ก้าว เดี๋ยวก็ล้มลงไปอีก เป็นตัวถ่วงให้ไอ้พวกนั้นมันไล่ยิง”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ลูกกระสุนปืนก็เฉี่ยวหูสุริยะไปจนร้อนฉ่า
“กรี๊ด! นี่นาย...วิ่งให้มันเร็วกว่านี้หน่อยสิ ไม่เห็นรึไงว่าพวกมันไล่ตามมาจะทันแล้ว”
คนไม่ช่วยแต่ยังเอาเท้าราน้ำ หวีดร้องแถมเร่งยิกๆ ทั้งที่หัวก็ห้อยต่องแต่ง เลือดในกายไหลมารวมกันอยู่ที่หน้านวลจนแดงเถือก
“โอ๊ย...แล้วนี่เห็นว่าผมกำลังเดินอยู่รึไงแม่คู้ณ ตัวคุณไม่ใช่นุ่นนะจะได้เบาหวิว นี่ผมคิดว่าผมอุ้มลูกช้างซะอีก เร็วแค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“ถ้าฉันเป็นลูกช้าง นายก็เป็นพ่อช้างล่ะ โอ๊ยๆๆ มันตามมาใกล้แล้ว” จันทร์ดาราเร่งคนที่แบกเธอวิ่ง แต่แล้ว... “กรี๊ด” จันทร์ดาราหวีดร้องดังลั่น เมื่อร่างของเธอและสุริยะพุ่งลงสู่เบื้องล่าง หลังจากที่วิ่งมาเรื่อยๆ แล้วสุริยะก็ตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาที่เห็นเบื้องล่างนั้นเป็นธารน้ำตกใหญ่
สุริยะกอดร่างบางไว้แน่น เมื่อร่างของทั้งคู่ร่วงลงสู่ผืนน้ำ “ตูม”
“เฮ้ย...มันบ้าหรือมันอยากตายกันวะ กระโดดลงไปได้ยังไง ไปอีกไม่ไกลก็เป็นน้ำตกแล้ว”
“เออ...งานนี้พวกเราชวดว่ะ ป่านนี้มันก็คงตายเป็นผีเฝ้าป่าแล้วล่ะ”
“เชิญค่ะ ตามสบาย” “ไม่ทราบว่าเป็นพนักงานใหม่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้า แต่เอ...ไม่ยังรู้ว่าเขารับคนท้องเข้าทำงานด้วย” จันทร์ดาราเกือบหัวเราะ นี่เธอดูเหมือนเป็นพนักงานของที่นี่งั้นเหรอ งั้นก็ฟอร์มทำเป็นพนักงานต่อไปดีกว่า อยากรู้นักว่าผู้ชายตรงหน้าจะมาไม้ไหน “ค่ะ ดิฉันโชคดีค่ะ ที่เอส.เอส.เค.รับเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่ท้องแก่” “อ๋อ...ที่บริษัทนี้มีสวัสดิการดีมากเลยครับ สงสัยจะไม่เลือกว่าท้องไม่ท้อง แต่คงเลือกที่ความสามารถมากกว่า” “นั่นสิคะ ดิฉันเองก็ยังงงๆ ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ แล้วทำงานในตำแหน่งอะไร” “ผมชื่อวิสุทธิ์ วิชยะชัยเจริญ ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายคิวซีครับ แล้วคุณล่ะชื่ออะไร ทำงานแผนกไหน” จันทร์ดารานิ่งคิดชั่วครู่ จะบอกเขาดีไหมนะว่าเธอเป็นใคร หรือจะปล่อยให้เขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ‘อืม...พี่ยะก็เคยหลอกเรานี่นา อยากรู้จังว่าความรู้สึกหลอกใครบางคนได้นั้น มันเป็นยังไง’ “ดิฉันจันทร์ดารา จักราพิมุขค่ะ ทำงานอยู่...แผนก...เอ่อ...เลขานุการค่ะ” “ห๊า...เลขานุการเหรอ
หัวใจของเธอกลั่นกรองความรู้สึกแล้วส่งไปให้ปลายลิ้นและเรียวปาก ซึ่งกำลังมอบความสุขให้คนรักอย่างตั้งใจ ปลายลิ้นสะบัดกวัดไกวประสานงานกับเรียวนิ้วทั้งห้า ร่างกำยำไหวยะเยือกตัวสั่นสะเทิ้ม มือหนากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “ที่รักจ๋า พี่...จะขาดใจ...อยู่แล้ว...คนดี” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ความสุขกำลังทะยานจนใกล้จะถึงขีดสุด จันทร์ดาราลุกขึ้นนั่งหันหลังบนตักกว้าง ครอบครองแก่นกายที่กำลังสะท้านเจียนขาดใจรอมร่อ เธอเท้ามือยันที่เท้าแขนแล้วเริ่มห่มสะโพกผายขึ้นลง “จำไว้นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราหูก็ต้องอยู่คู่กับพระจันทร์” ร่างสองร่างขยับสอดคล้องกันบนรถวีลแชร์ ความคับแคบหาได้เป็นอุปสรรค ความรักที่บรรจงมอบให้แก่กันและกันจนรุ่มร้อน ไฟรับโอบล้อมรอบกายของทั้งคู่ จนห้องน้ำนั้นร้อนระอุ เสียงครวญครางไม่เป็นประสาดังสอดประสานกัน เหมือนกับดวงใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน กว่าที่ทั้งคู่จะลงมาจากห้องหอเวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง หม่อมหลวงสุริยะ แสงสุรียกานต์ต้องทำกายภาพบำบัดในโรงพยาบาลต่ออีกสองเดือน กว่าที่เ
ร่างหนาโหมสะโพกถาโถมเต็มกำลัง เหมือนเครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องเร็วเต็มสปีด เท่าที่พละกำลังทั้งหมดจะเอื้ออำนวย ไฟรักไม่เคยมอดดับตราบใดที่ลมหายใจแห่งรักยังคงดำเนินอยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หัวใจสองดวงก็ยังคงเชื่อมต่อกันอย่างโหยหา สุริยะคำรามลั่นเมื่อถึงวินาทีสุดท้าย หยาดรักชโลมอยู่ภายในความคับแน่น และชายหนุ่มก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องได้ลูกหัวปีท้ายปีให้ได้ เขาอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกตัวน้อยวิ่งเล่นกันเต็มบ้าน เวลาไปไหนมาไหนทีเขาก็จะอุ้มลูกหนึ่งคน จูงหนึ่งคน และให้แม่เขาจูงอีกคนหนึ่ง เท่านั้นแหละครอบครัวที่สุริยะต้องการ “โอย...นี่ขนาดยังบาดเจ็บอยู่ พี่ยะยังมีแรงขนาดนี้เลยเหรอคะ” เสียงหวานของคนในอ้อมกอดสั่นพร่า แต่ดวงตาไหววับล้อเล่นกับแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านม่านลูกไม้โปร่งบาง เธอกับเขายังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่ส่งตัวเข้าหอ ป่านนี้คนข้างล่างคงชะเง้อชะแง้รอคอยแล้ว “เรี่ยวแรงพี่ยังคงเหมือนม้าศึกไม่เปลี่ยนหรอกที่รัก ว่าแต่...เราจะต่อกันอีกรอบหนึ่งดีไหม” “ไม่ดีค่ะ ชิ...เห็นหน้าจันทร์เจ้าก็คิดเป็นแต่เรื่องเดียว ลุ
ชายหนุ่มหันไปจูบแก้มเนียนนุ่มหนักๆ แล้วทำท่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ความรักและความห่วงหาอาทรในยามที่รู้ว่าคนรักกำลังจะมีลูก แต่คนเป็นพ่อกลับทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนแหม็บอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล แล้วยังครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ว่าอาจจะเดินไม่ได้เหมือนปกติ ทำให้เขาอยากลองใจหญิงสาวเล็กๆ น้อยๆ ว่าถ้าเขากลายเป็นคนพิการทั้งหน้าตาและร่างกาย เมียรักจะรับเขาได้ไหมและจะยังรักเขาเหมือนเดิมรึเปล่า “จันทร์เจ้ารังเกียจคนพิการอย่างพี่รึเปล่า” หญิงสาวไม่ตอบ เวลานี้เธออยากใช้ภาษากายบอกเขา ว่าเธอรักและคิดถึงเขามากแค่ไหน คำว่ารังเกียจตัดทิ้งไปได้เลย ไม่ว่าสุริยะจะกลับมาด้วยร่างกายที่ครบ 32 หรือไม่ เธอก็ยังรักเขาไม่เสื่อมคลาย มือบางปลดกระดุมเสื้อสูทสีขาวเช่นเดียวกับชุดเจ้าสาวของเธอจนหมดแถว และช่วยถอดออกจากร่างหนา ไม่สนใจดวงตาคมกริบซึ่งมองใบหน้างดงามของคนตั้งอกตั้งใจปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออก มองการกระทำอันแสนน่ารักซึ่งทำให้ด้วยความเต็มใจ “ที่รัก...ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าพี่ไปเจอกับอะไรมาบ้าง” “อยากรู้ค่ะ แต่อยากรู้เรื่องอื่นก่อน”
“โอ๊ย! ปล่อยนะ คุณไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้กับฉัน” กลีบปากและจมูกร้อนๆ ซุกไซ้ไปตามลำคอหอมกรุ่ม ไม่สนใจมือบางที่ดันใบหน้าเหวอะหวะเอาไว้แน่น คนตัวโตลืมตัวลืมใจปล่อยให้ความต้องการเข้าครอบงำ ลืมแม้กระทั่งความลับที่ต้องการจะปกปิด แต่คนตัวเล็กนั้นหาได้ลืมตัวไปกับสัมผัสที่คุ้นเคยนั้น จริงสิ...อ้อมกอดแบบนี้ รวมถึงกลิ่นกายที่คุ้นจมูก ทำไมช่างเหมือนกันนัก มือบางลูบไปตามแผลแห้งกรังนั้น รู้สึกแปลกใจว่าทำไมแผลนั้นมันไม่มีเปียกชื้นจากเลือดหรือน้ำเหลือง ทั้งที่มองไกลๆ ก็เหมือนว่ามันเหวอะหวะดูน่ากลัวนัก แต่ทำไม... หม่อมหลวงตะวันชะงักและดันหน้าออกห่างอย่างรวดเร็ว เมื่อสำนึกได้ว่ามือน้อยกำลังสำรวจไปทั่วใบหน้า “อย่า!” เขาลืมตัวร้องห้ามเสียงหลง ทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ยิ่งได้ใจ ความรู้สึกบอกเธอว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เห็น “ทำไมแผลถึงแห้งแบบนี้ ทั้งที่ดูเหมือนมันเปียกแฉะ” มือใหญ่ตะครุบมือบางไม่ให้แตกถูกไรผม แต่ช้าไปเสียแล้ว กลิ่นหอมจากกายอิ่มทำให้สมองของเขาสั่งงานช้าไปกว่าเธอหนึ่งก้าว จันทร์ดา
“หม่อมหลวงตะวัน แสงสุรียกานต์เหรอคะ” “สวัสดีครับน้องจันทร์เจ้า วันนี้ดูสวยมากจริงๆ” หม่อมหลวงตะวันแย้มยิ้มในขณะพูด แต่ไม่ว่าเขาจะยิ้มกว้างขนาดไหน ความน่ากลัวบนใบหน้าก็ไม่ได้ลดน้อยถดถอยลง “พูดยังกับเราเคยเจอกันงั้นแหละ” “เราเคยเจอกันแล้ว แต่น้องจันทร์เจ้าคงลืมพี่คนนี้ไปนานแล้ว” “เอ่อ...” คุณหญิงชดช้อยเข้ามาห้ามทับ เพราะถ้าขืนยังพูดคุยกันต่อไปแบบนี้ งานแต่งงานคงไม่ได้เริ่มขึ้นแน่ “แม่ว่าเราควรเริ่มงานได้แล้ว อ้อ...นายอำเภอมาถึงพอดี” “คุณแม่คะ” จันทร์ดาราอยากปฏิเสธงานแต่งงานในครั้งนี้เหลือเกิน เธอไม่เคยคิดรังเกียจคนพิการ แต่ก็ไม่เคยคิดจะมีสามีเป็นคนพิการแบบนี้ ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงไม่เลือกคนท้องอย่างเธอเป็นเมีย นี่คงหมดสมรรถภาพทางเพศด้วยกระมัง ถึงอยากได้คนที่กำลังท้องเป็นเมีย บิดาหันมาส่งตาดุห้ามปรามบุตรสาว เขารู้ดีว่าจันทร์ดารากำลังจะพูดอะไร แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หลานในท้องจะต้องมีพ่อให้เร็วที่สุด เจ้าสาวแสนสวยถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า แล้วก้าว
Mga Comments