เซียวหลันยวนพาเจี๋ยหลี่ออกไป เจี๋ยหลี่แม้จะปากแข็ง แต่ก็ยังทนรับกับวิธีการเขาไม่ได้คนเหล่านั้นถูกเขาซื้อตัวไปหาเรื่องฟู่จาวหนิงบนยอดเขาโยวชิงจริงๆ เขาเองก็จำในต้องซัดทอดต่อให้ฮูหยินอู๋แต่จากในปากเขา เป้าหมายของฮูหยินอู๋ ก็คือคิดจะแยกเขากับฟู่จาวหนิงออกจากกันยิ่งไปกว่นั้นเพราะเซียวหลันยวนได้ยินคำพูดที่เขาคุยกับฮูหยินเฉิง จึงรู้ว่าเขากำลังหาข่าวตัวตนเสด็จแม่อยู่ เจี๋ยหลี่จึงปิดบังต่อไม่ได้ พูดเรื่องตงฉิงออกมา"ฮูหยินอู๋แค่สืบเรื่องเสด็จแม่ของท่านว่าน่าจะเป็นจักรพรรดินีแห่งตงฉิง นางจึงอยากจะยืมตัวตนฐานะท่าน รวบรวมพสกนิกรเก่าของตงฉินที่อยู่ในที่ต่างๆ ทั่วใต้หล้า คิดจะหาตงฉิงกลับมา ให้ตงฉิงได้ฟื้นฟูแคว้นอีกครั้ง"เจี๋ยหลี่ตอนนี้ถูกทำลายกำลังภายใน แล้วยังถูกลงโทษอีกด้วย บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยเลือด แตกต่างกับท่าทางสง่างามภูมิฐานตอนไปพบฮูหยินเฉิงก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงเขาพูดออกมาอย่างยากลำบาก หมดสิ้นเรี่ยวแรง"ฮูหยินอู๋บอกว่า อันที่จริงลัทธิเทพทำลายล้างเองก็มีเป้าหมายทำนองนี้ ตอนนั้นลัทธิเทพทำลายล้างสงสัยตัวตนของท่าน แต่พวกเขารู้สึกว่าท่านก็ยังมีสายเลือดราชวงศ์แคว้นเจาอยู่ แล้วถ้า
ฮูหยินอู๋ทำอะไรไว้?เจี๋ยหลี่หลงรักฮูหยินอู๋อย่างสุดซึ้งและภักดีเขายืนกรานว่าว่าฮูหยินอู๋รู้เรื่องเบื้องหลังส่วนหนึ่งในตอนนั้น แต่ไม่ได้เข้าร่วมด้วยแน่นอน"เรื่องวางยาพิษในวังครั้งนั้น ข้าเชื่อว่าฮูหยินอู๋ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง"ในจุดนี้เซียวหลันยวนเองก็เชื่อ ถึงอย่างไรตอนนั้นฮูหยินอู๋อย่างมากก็เพิ่งอายุสิบกว่าขวบ นางจะเข้าร่วมได้อย่างไรกัน?"ดังนั้น ที่ข้าถามคือเรื่องครั้งนี้"เจี๋ยหลี่ก้มหน้ากระอักเลือด ตอบอย่างยากลำบาก "ไม่ขอรับ เรื่องครั้งนี้ข้าคิดและทำเองคนเดียว ฮูหยินอู๋แค่รู้สึกว่าอ๋องเจวี้ยนถ้าไม่อยู่กับหมอฟู่ หลังจากนี้อาจจะมีการพัมฯาที่ดียิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินอู๋เองยังรู้สึกว่า หมอฟู่ยังมีที่ไปที่ดีกว่านี้""ที่ไปอะไร?""ประธานของสมาคมหมอใหญ่ขอรับ" เจี๋ยหลี่ตอบเสียงขืน "บอกไปท่านอ๋องก็อาจจะไม่เชื่อ ฮูหยินอู๋อันที่จริงอยากจะร่วมมือกับหมอเทวดาฟู่ นางอยากช่วยให้หมอเทวดาฟู่ได้ขึ้นเป็นประธานสมาคมหมอใหญ่ เช่นนี้ก็เท่ากับพวกนางสามารถควบคุมสมาคมหมอใหญ่เอาไว้ในมือได้แล้ว""ดังนั้น ฮูหยินอู๋จึงไม่ได้คิดจะทำร้ายหมอเทวดาฟู่เลย ก่อนที่พวกท่านจะออกจากเมืองหลวง นางไม่ใช่ยังไป
"อ๋องเจวี้ยนบอกแล้ว พระชายาจะไม่รักษาให้กับพวกเราในเมืองนี้ทุกคน"ข่าวนี้แพร่ออกไปในเมืองเล็กอย่างรวดเร็วคนที่ขึ้นไปอาละวาดเพราะเงินห้าสิบตำลึงเหล่านั้นถูกขุดออกมาอย่างรวดเร็วประชาชนในเมืองคนอื่นล้วนโกรธแค้น พากันไปขว้างปาผักเผ่าไข่เน่าใส่บ้านพวกเขา"เป็นเพราะเจ้าพวกตัวซวยนี่! พวกเขาทำร้ายพวกเราทั้งหมด! พวกเราไปเชิญพระชายาอ๋องเจวี้ยนมาตรวจรักษาให้ไม่ได้แล้ว!""แค่นี้ที่ไหน? ได้ยินว่าหมอเฉียวเองก็เป็นคนที่ท่านอ๋องเชิญมาด้วย เงินค่าวัตถุดิบยาก็เป็นท่านอ๋องที่ช่วยเหลือมาเป็นเวลานาน หลังจากนี้ท่านอ๋องจะไม่สนใจดูแลแล้ว ราคาซื้อยาของพวกเราต้องเพิ่มขึ้นด้วยแน่นอน!""พวกเราออกไปขายของที่อื่น ในเมืองก็่ยังมีคนเข้ามารับซื้อแล้วให้ราคาดีๆ นั่นก็เป็นเส้นทางที่ท่านอ๋องหามาให้ หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว!""พวกเจ้ารู้ไหมว่าเข่าวนี้ใครเป็นคนเผยแพร่ออกมา" มีคนที่รู้เบื้องลึกยิ่งกว่าคนอื่นก็ทยอยกันถาม"นี่เป็นเรื่องที่หลานชายนายท่านทั้งสองคนในอุทยานเขาเฉิงอวิ๋นพูดออกมา ฮูหยินเฉิงเกี่ยวข้องกันกับนายท่านเจี๋ยที่จ้างคนไปด่าพระชายาด้วย ดังนั้นจึงช่วยเหลือเขา อ๋องเจวี้ยนแตกหักกับฮูหยินเฉิงไปแล้ว หล
ถังอู๋เจวี้ยนนึกถึงสถานการณ์ที่ตนเองมายอดเขาโยวชิงครั้งนั้นฟู่จาวหนิงถามอย่างอยากรู้ "แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรล่ะ? ตอบได้ไหม? ถ้าตอบไม่ได้ก็ถือว่าข้าไม่ได้ถามแล้วกัน"หลังจากนางพูดคำนี้ตนเองก็รู้สึกว่า เหมือนนางจะมองถังอู๋เจวี้ยนเป็นเพื่อนออนไลน์คนนั้นของตนเองไปแล้วจริงๆ ดังนั้นพอคุยกับเขาจึงดูจะผ่อนคลายกว่าคนอื่นอยู่หน่อยถ้าเป็นคนอื่น นางคงไม่ถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาแบบนี้แต่ว่าพอนางถาม ถังอู๋เจวี้ยนกลับดูดีอกดีใจเขาเองก็รู้สึกได้ ว่าฟู่จาวหนิงไม่ได้ทำตัวเหินห่างกับเขา พอมีฝันแบบนั้น เขาก็เลยไม่ได้มองนางเป็นคนนอกในความฝัน ความรู้สึกการได้พบกับความหวังอย่างนางในความสิ้นหวังของเขา มันแจ่มชัดอยู่ตลอด ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่านางเหมือนจะเป็นผู้ไถ่บาปให้กับเขา ความรู้สึกนั่นยังอยู่มาตลอดจนถึงตอนนี้"ก็ไม่มีอะไรพูดไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็จะมาเป็นหมอให้น้องชายข้าแล้ว เจ้าอารามตอนนั้นบอกว่า ในสถานการณ์สิ้นหวังยังพอมีทางรอด มีโอกาสเพียงน้อยนิด แต่ก็บอกได้ยากว่าจะคว้าโอกาสที่ว่านี้ได้ไหม""แค่นี้หรือ?""ใช่ แค่นี้เลย" ถังอู๋เจวี้ยนมองนาง "ข้าตอนนี้กลับรู้สึกว่า ไม่แน่โอกาสน
เดิมทีโรคนั้น ควรเป็นเขาที่เป็นแต่ว่าพอพูดเช่นนี้ออกมา ไม่ใช่แค่จะไม่มีคนเชื่อเท่านั้น แต่ยังอาจจะบอกว่าเขาบ้าไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นถังอู๋เจวี้ยนขึงไม่เคยบอกใครมาก่อนตอนนี้พอเห็นฟู่จาวหนิง เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้พูดออกมาอย่างไม่รู้สึกผิดในใจเลยความลับที่ทับอยู่ในใจมาตลอด ในที่สุดก็ได้พูดออกมาแล้ว เขารู้สึกว่าตนเองได้ถอนใจโล่งออกมา ความอัดอั้นตันใจที่อยู่มานานก็คลายลงไปพอสมควรแล้วหลังจากพูดออกมาเขาก็มองฟู่จาวหนิง และไม่รุ้ว่านางจะบอกว่าเขาป่วยหรือเปล่าแต่ฟู่จาวหนิงกลับพิจารณาเขาอย่างประหลาดใจผาดหนึ่ง จากนั้นก็กวักมือให้เขา"ข้าจับชีพจรให้ท่านหน่อย"ปฏิกิริยานี้ทำให้ถังอู๋เจวี้ยนคาดไม่ถึงอย่างมาก นี่มันสถานการณ์อะไรเนี่ย?"ข้าจะดูว่าสุขภาพท่านเป็นอย่างไร" ฟู่จาวหนิงไม่ขยับ เลิกคิ้วมองเขา "กลัวหรือ?"เสี่ยวเยว่เอาหมอนรองข้อมือวางลงบนโต๊ะทันที"หมอเทวดาฟู่จับชีพจรให้ข้าได้ ถือเป็นเกียรติของข้าแล้ว"ถังอู๋เจวี้ยนได้สติกลับมา ยื่นแขนไปวางบนหมอนรองแขนทันที จากนั้นก็เห็นเสี่ยวเยว่หยิบผ้าไหมเบาบางราวกับปีกแมลงจั๊กจั่นมาคลุมไว้บนข้อมือเขาเขาหัวเราะแห้งๆ ออกมา"แรงหึงของอ๋
ต่อให้จริงแค่ไหน ก็ไม่ใช่ชีวิตในตอนนี้ถังอู๋เจวี้ยนใคร่ครวญคำนี้อย่างละเอียดฟู่จาวหนิงก็เสริมขึ้นมาอีกคำ "ใช้ชีวิตตอนนี้ให้ดี จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"ผ่านไปครู่หนึ่ง ถังอู๋เจวี้ยนจึงหัวเราะขึ้นมา ครั้งนี้รอยยิ้มของเขาดูโล่งใจและผ่อนคลายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเขามองฟู่จาวหนิง ลุกขึ้นยืน ประสานหมัดคารวะให้นาง"ศิษย์น้องหญิง เจ้าพูดได้ถูกต้องเลย ก่อนหน้านี้ข้ายึดติดเกินไป""รู้สึกว่าฟังข้าพูดคำเดียว มันคุ้มค่ากว่าฟังคนอื่นพูดใช่ไหมล่ะ?" ฟู่จาวหนิงหยอกขึ้นมาตอนแรกถังอู๋เจวี้ยนยังไม่เข้าใจมุขนี้ของนาง งงงันอยู่หน่อยๆ แต่พอเข้าใจขึ้นมา เขาก็อดส่ายหัวหัวเราะขึ้นมาไม่ได้"ฮ่าๆ ซนเสียจริง"ฟังหนึ่งคำพูด ประเสริฐศรีกว่าอ่านหนังสือสิบปี ถูกนางพูดหยอกเย้ามาแบบนี้ ทำให้บรรยากาศเคร่งขรึมที่เขาคารวะนางเป็นทางการดูผ่อนคลายไปเลยถังอู๋เจวี้ยนคิดไปคิดมาก็หัวเราะขึ้นอย่างอดไม่อยู่ถ้าบอกว่าทำไมฟู่จาวหนิงจึงถูกคนบางคนสงสัยเรื่องวิชาแพทย์ ก็น่าจะเพราะนางไม่ใช่แค่ยังอายุน้อย แต่บางครั้งยังซุกซนขี้เล่นแบบนี้หรือเปล่า?หมอเทวดาในความทรงจำคนทั่วไป ไม่ใช่ต้องเป็นพวกผู้เฒ่านิ่งๆ จืดชืดน่าเบื่อ
ถังอู๋เจวี้ยนจู่ๆ ก็รู้สึกว่าสายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเขาเปล่งเป็นประกาย เดิมทีคิดว่าทักทายแล้วทั้งสองคนจะเดินผ่านไป ไม่คิดว่านางจะยังไม่ไปเพื่อเป็นมารยาท เขาจึงทำได้แค่เอ่ยปากถามนาง "องค์หญิงใหญ่มากินข้าวกลางวันหรือกับเจ้าอารามหรือ?"ถึงอย่างไรเวลานี้ ก็เป็นช่วงข้าวกลางวันแล้ว"เดิมทีข้าก็อยากจะกินข้าวร่วมกันกับทุกคน คิดไม่ถึงว่าไม่มีใครมาเลย เหลือแค่ข้ากับเจ้าอารามดูไม่ค่อยเหมาะสม ดังนั้นข้าเลยเตรียมจะกลับไปกินคนเดียว"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเอ่ยเสียงแผ่ว "คุณชายถังกินแล้วหรือ?""ข้ากินมาแล้ว""คุณชายถัง ท่านรู้จักกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนมาก่อนหรือ?" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นรวบความกล้าถามขึ้นมา"ไม่รู้จักนะ เพิ่งมาเจอกันที่ยอดเขาโยวชิงนี่ละ่"ถังอู๋เจวี้ยนยังคิดว่านางยังไม่ถอดใจจากอ๋องเจวี้ยน ตอนนี้กำลังสืบเรื่องของฟู่จาวหนิง อดเตือนขึ้นมาคำหนึ่งไม่ได้"องค์หญิงใหญ่ อ๋องเจวี้ยนกับพระชายารักใคร่กลมเกลียวกันมาก จากที่ข้าเห็น อ๋องเจวี้ยนอย่างน้อยในช่วงหลายปีนี้ไม่มีทางมีความคิดจะรับอนุภรรยาแน่"นี่เขาพูดแบบระวังแล้วนะ จากในความฝันนั่น การจะมีอนุภรรยาสามสี่คนไม่น่าเป็นไปได้ แม้จะจำได
องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองแผ่นหลังถังอู๋เจวี้ยน อดกัดริมฝีปากขึ้นมาไม่ได้นางรู้สึกเสียใจ ก่อนหน้านี้ที่นางยังไม่ได้กลับเมืองหลวงจักรพรรดิ บางครั้งได้ออกมาเที่ยวเล่นบ้าง ก็เหมือนคนทั้งหมดจะชอบนางเคารพนาง ตอนนั้นนางยังคิดว่า รอให้นางโตขึ้นก่อน พอนางทำเรื่องอะไรได้มากขึ้น ก็จะมีคนที่ชอบนางชื่นชมนางมากขึ้นนางเองก็เคยคิดอยู่บ่อยๆ ว่านางจะได้เจอกับราชบุตรเขยที่รักนางมากสักคน ทั้งสองคนรักกันไม่คลางแคลงใจ อยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าแต่ตอนที่นางออกจากสุสานจักรพรรดิมาถึงเมืองหลวง จึงพบว่าเรื่องราวมันแตกต่างจากที่นางจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิงที่น่ากลัวที่สุดก็คือองค์จักรพรรดิที่เดิมทีปฏิบัติกับนางเหมือนแก้วตาดวงใจ กลับคิดจะกักขังนางเอาไว้ในวังหลวงจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นยังกักขังนางไว้ข้างกายเขาอีกวังบรรทมขององค์หญิงใหญ่กับวังบรรทมขององค์จักรพรรดิเชื่อมต่อถึงกันได้ นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวแค่ไหนกันฝ่าบาทยังไม่ยอมให้นางแต่งงาน ต่อมาสายตาที่มองนางก็ยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อยๆถ้านางไม่หนีล่ะก็ หลังจากนี้นางอาจจะดำดิ่งสู่ห้วงลึกไร้ที่สิ้นสุดก็ได้กว่าจะหนีออกมาได้ ยังต้องแลกกับชีวิตของสาวใช้วังคนสนิทสอง
"ตอนนั้นในเขาชิงถงเกิดการขัดแย้งภายใน อาจารย์ของเจ้าคนนั้น โอ้จริงด้วย ลุงของถังอู๋เจวี้ยน ไม่ใช่ว่าโมโหจนออกจากเขาชิงถงหรือ? เพราะตระกูลเขาชิงถงอีกสายหนึ่งของพวกเขาทำเรื่องผิดมา แต่เขาชิงถงกลับปล่อยพวกเขาไปเพราะจะไม่สังหารเครือญาติ"ฟู่จาวหนิงตะลึงงันนางคิดไม่ถึงเลย ว่าพูดไปพูดมา ก็ยังวนมาถึงเรื่องเขาชิงถงจนได้นี่ไม่ถือเป็นความลับของเขาชิงถงหรือ? แล้วทำไมเจ้าอารามถึงรู้ได้?"อาจารย์ลุงของเจ้าคนนั้นรู้สึกว่าตระกูลปกป้องคนชั่ว ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี ดังนั้นจึงออกจากเขาชิงถง ส่วนตระกูลถังที่ทำผิดสายนั้น ก็ถูกขับออกจากเขาชิงถงไปด้วยเช่นกัน สายนั้นมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ตงฉิงอยู่ ข้าคิดว่าพวกเขาคิดจะค้นหาตงฉิงอยู่ตลอด และการจะหาตงฉิงให้พบก็มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือหาสมบัติแคว้นชิ้นหนึ่งของตงฉิงให้พบ ของสิ่งนั้นสามารถนำทางไปยังวังจักรรพรรดิตงฉิงได้ และอาจจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนกลไกใหญ่ของตงฉิง""และอีกวิธีหนึ่ง คือหาคนของตระกูลซืออวี๋ให้เจอ เพราะตระกูลซืออวี่มีการสืบทอดพรสวรรค์ สามารถทำนายตำแหน่งของตงฉิงออกมาได้"เจ้าอารามพูถึงจุดนี้ก็หยุดลงมา มองฟู่จาวหนิงด้วยสายตาลึกซึ้งคว
ระยะห่างเท่านี้ ยังสามารถมองเห็นพวกเขาได้ ทว่าไม่ได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน"เจ้าอารามตอนนี้พูดได้หรือยัง?""นี่คือน้ำ" เจ้าอารามแตะเบาๆ ไปที่กระถางน้ำใส "แต่ว่าไม่ใช่น้ำธรรมดา เป็นน้ำที่ข้านำมาจากแท่นบูชาวังจักรพรรดิตงฉิง""ตงฉิง?"ฟู่จาวหนิงถลึงตามองเขาอย่างตกตะลึงเจ้าอารามเคยไปที่ตงฉิงมาหรือ?เซียวหลันยวนส่งหลานหรงนำคนมากมายไปค้นหาซากของตงฉิงนี่ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเจออะไรบ้างไหม แต่เจ้าอารามกลับบอกว่าน้ำเหล่านี้ได้มาจากแท่นบูชาวังจักรพรรดิตงฉิงหรือ?"ท่านเคยไปตงฉิงมาหรือ? ท่านรู้ว่าวังจักรพรรดิตงฉิงอยู่ที่ไหนรึ?"เจ้าอารามพยักหน้า "ใช่""ตั้งแต่เมื่อไรกัน?""เมื่อตอนอายุยี่สิบสี่"ตอนนี้เจ้าอารามพอถามก็ตอบ เหมือนไม่มีปิดบังนางเลยแม้แต่น้อย ตรงไปตรงมามากฟู่จาวหนิงกลับพบปัญหาข้อหนึ่งจากในบทสนทนานี้ นางปิดความตกตะลึงแทบไม่อยู่ "ความหมายของท่านคือ ปีนั้นที่ท่านไปตงฉิง แล้วใบหน้าของท่านก็หยุดอยู่ที่ปีนั้น หลังจากนั้นก็ไม่ชราลงเลยน่ะหรือ?"หมายถึงอย่างนี้หรือเปล่า?ดังนั้นความลับที่เจ้าอารามจะบอกกับนางก็คือ ที่หน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปนั้นเกี่ยวข้องกับตงฉิงหรือ? หรือก็คือ เกี่ยวข
ฟู่จาวหนิงพอได้ยินว่าเจ้าอารามจะบอกความลับกับนาง จิตใต้สำนึกนางก็คิดจะปฏิเสธขึ้นมานางไม่อยากฟังความลับของเขาหรอกนะ?รู้สึกว่าถ้าฟังความลับของเขาแล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยแตนางก็ปฏิเสธช้าไปหน่อย เจ้าอารามพูดอกมาแล้ว"ต่อให้ผ่านไปอีกยี่สิบปี ข้าก็ญังคงเหมือนกับตอนนี้ ไม่มีวันแก่ลงไปอีก" ตอนที่เจ้าอารามพูดคำนี้ น้ำเสียงก็ดูจะทอดถอนใจมากเขายังยื่นมือมาลูบหน้าตนเองด้วยชายรูปงามก็คือชายรูปงาม พอทำท่าทางเช่นนี้ ไม่ได้ดูอ้อนแอ้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งดูมีเสน่ห์เย้ายวนใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวอีกบวกกับแสงพิเศษของหินเรืองแสงในถ้ำภูเขานี้ ทำให้บนใบหน้าเขามีแสงประกายที่อ่อนโยนขึ้นมา ยิ่งขับให้ผิวของเขาดูเกลี้ยงเกลาเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นเขาสวมชุดสีเขียวแขนกว้าง ผมดำขลับราวสายน้ำสยายคลุมผ่า ราวกับเทพเซียนลงมาจุติยังโลกมนุษย์เลยจริงๆเสี่ยวเยว่เองก็เกือบจะมองจนเหม่อไป๋หู่มองเขาอย่างตกตะลึงผ่านไปอีกยี่สิบปี เขาก็ไม่แก่ลงอย่างนั้นหรือ?สายตาของฟู่จาวหนิงตกอยู่ที่ใบหน้าเขา กำลังครุ่นคิดความจริงหรือความลวงในประโยคนี้ของเขา"ข้าอายุยี่สิบสี่ก็เป็นเช่นนี้ นับตั้งแต่ตอนอายุยี่สิบสี่เน
พอได้ยินเสี่ยวเยว่พูดถึง ฟู่จาวหนิงก็นึกถึงลุงคนโตตระกูลเสิ่นขึ้นมาตอนที่นางออกจากต้าชื่อ เสิ่นเสวียนกำลังพยายามจะรับตัวพี่ใหญ่มาจากเมืองหมาน ช่วงนี้ก็ไม่ได้เขียนจดหมายเลย ไม่รุ้ว่าสำเร็จแล้วหรือยังจักรพรรดิต้าชื่อช่วงนี้ก็เหมือนจะสนแต่ไล่จับตัวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น สำหรับเสิ่นเสวียนแล้วถือเป็นเรื่องดีไหมนะ? แบบนี้จักรพรรดิต้าชื่อก็ไม่มีเวลาไปรับมือกับตระกูลเสิ่นแล้วเรื่องที่เสิ่นเสวียนจะทำก็น่าจะสะดวกขึ้นกระมัง"นายท่านต้องช่วยท่านผู้เฒ่ากลับมาได้แน่" เสี่ยวเยว่เอ่ยขึ้นเสียงต่ำระหว่างที่คุยกัน ก็เดินมาถึงในถ้ำภูเขาแล้วฟู่จาวหนิงพอเห็นฉากตรงหน้า ก็ยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจบนแท่นหินว่างๆ แต่เดิมนั้น ตอนนี้มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ เก้าอี้สองตัว บนโต๊ะวางกระถางกลมหยกขาวไว้ใบหนึ่ง ด้านในเหมือนจะใส่น้ำไว้เจ้าอารามนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งทาบเบาๆ ไว้กับขอบกระถางหยก เอียงหน้ามองมาทางนาง"เสี่ยวฟู่ เข้ามานั่งสิ"เขาเรียกฟู่จาวหนิง จากนั้นก็เหลือบมองไปทางเสี่ยวเยว่กับไป๋หู่ แต่ก็ไม่พูดอะไรไป๋หู่กับเสี่ยวเยว่สบตากัน พวกเขารู้สึกว่าสายตาที่เหลือบมาเมื่อครู่ของเจ้าอารามเหมือนจะมอ
ฟู่จาวหนิงยืนนิ่งไม่ขยับ"ข้ายังคิดว่าเจ้าอารามไม่ชอบข้ามาก และไม่ยอมรับข้าด้วย"ก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีจะจับพวกเขาแยกกันอยู่เลย ตอนนี้จู่ๆ จะมอบของขวัญพบหน้าให้ซะแล้ว?ยิ่งไปกว่านั้นของขวัญพบหน้าอยู่ข้างบนดันให้ไม่ได้ ต้องลงมาในถ้ำนี้ถึงจะให้ได้หรือ?ถึงอย่างไรถ้ำภูเขานี้ฟู่จาวหนิงก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก ถึงแม้หยกดาราตงฉิงมากมายในนี้จะมีมูลค่าอยู่มากก็ตาม พอคิดถึงเรื่องที่ฮูหยินเฉิงซื้อแค่กำไลอันเดียวก็ราคาตั้งหลายหมื่นตำลึง แล้วหยกดาราในถ้ำภูเขาที่มากมายขนาดนี้ คำนวณแล้วมูลค่าคงจะน่าตกตะลึงเอามากยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นยังวางกลไกลเอาไว้เต็มไปหมด ถึงทำให้หยกดาราเหล่านี้หมุนเวียน จนค่ายกลเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก พูดได้ว่าน่าอัศจรรย์มากแต่ฟู่จาวหนิงก็ไม่ชอบถ้ำภูเขานี้ ไม่ชอบเอาเลยจริงๆบวกกับเจ้าอารามที่มองมองออกยากนั่นอีก..."พระชายาเข้าใจผิดแล้ว เจ้าอารามไม่มีความคิดไม่ชอบตัวท่าน" ซางจื่อเก็บสายตาลงเล็กน้อย "กระทั่งว่า ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าอารามชื่นชมใครแบบนี้มาก่อน""ความหมายของเจ้าคือ เจ้าอารามยังชื่นชมข้าอีกด้วยหรือ?" ฟู่จาวหนิงเลิกคิ้วถามกลับนางทำไมมองไม่ออกเลย?"ขอรับ" ซางจื่
"เขาพูดอะไรไว้ไหม?" ฟู่จาวหนิงถาม"ไม่มีเจ้าค่ะ"ฟู่จาวหนิงดื่มชา เสี่ยวเยว่จัดทรงผมให้นาง สวมเสื้อผ้าให้ จากนั้นจึงได้ยินเสียงนกกระเรียนร้องมาจากด้านนอกเสียงนั้นใสกังวาลเป็นพิเศษ ทำให้พวกนางตกตะลึงไป"นี่คือ...กระเรียนหรือ?" ฟู่จาวหนิงประหลาดใจ ลุกขึ้นเดินไปด้านนอกแต่ก่อนนางเคยเห็นกระเรียนมาแล้ว แต่ว่า เป็นพวกที่เลี้ยงอยู่ในสวนอะไรแบบนั้น มาถึงแคว้นเจาตั้งนานขนาดนี้ก็ยังไม่เคยเห็นจริงๆ เลย"เจ้าค่ะ"เสี่ยวเยว่เองก็เดินออกมา พวกนางเงยหน้าขึ้นไป แล้วก็เห็นกระเรียนขาวตัวหนึ่งบินอยู่บนฟ้าจริงๆ ร่อนลงมาเกาะบนหลังคาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกางปีกทะยานออกไป"นี่คงไม่ใช่อารามเลี้ยงไว้หรอกใช่ไหม?" ฟู่จาวหนิงเห็นสืออีที่ยืนอยู่ด้านนอก ถามขึ้นมาคำหนึ่งสืออีเพิ่งจะเห็นกระเรียนขาวตัวนั้น พอได้ยินก็ส่ายหัว "ไม่ใช่ขอรับ จากที่ข้ารู้ บนยอดเขาโยวชิงไม่เคยมีการเลี้ยงกระเรียนขาวมาก่อน"ซางจื่อเดินเข้ามาแต่ไกล มองไปบนท้องฟ้าตามสายตาพวกเขา ก็ไม่เห็นเงาของกระเรียนขาวแล้ว แต่เมื่อครู่เสียงกระเรียนร้องเขาเองก็ได้ยินอยู่"นั่นอาจจะเป็นกระเรียนของเขาชิงถง" ซางจื่อบอกกับฟู่จาวหนิง"กระเรียนที่เขาชิงถง
องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองแผ่นหลังถังอู๋เจวี้ยน อดกัดริมฝีปากขึ้นมาไม่ได้นางรู้สึกเสียใจ ก่อนหน้านี้ที่นางยังไม่ได้กลับเมืองหลวงจักรพรรดิ บางครั้งได้ออกมาเที่ยวเล่นบ้าง ก็เหมือนคนทั้งหมดจะชอบนางเคารพนาง ตอนนั้นนางยังคิดว่า รอให้นางโตขึ้นก่อน พอนางทำเรื่องอะไรได้มากขึ้น ก็จะมีคนที่ชอบนางชื่นชมนางมากขึ้นนางเองก็เคยคิดอยู่บ่อยๆ ว่านางจะได้เจอกับราชบุตรเขยที่รักนางมากสักคน ทั้งสองคนรักกันไม่คลางแคลงใจ อยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าแต่ตอนที่นางออกจากสุสานจักรพรรดิมาถึงเมืองหลวง จึงพบว่าเรื่องราวมันแตกต่างจากที่นางจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิงที่น่ากลัวที่สุดก็คือองค์จักรพรรดิที่เดิมทีปฏิบัติกับนางเหมือนแก้วตาดวงใจ กลับคิดจะกักขังนางเอาไว้ในวังหลวงจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นยังกักขังนางไว้ข้างกายเขาอีกวังบรรทมขององค์หญิงใหญ่กับวังบรรทมขององค์จักรพรรดิเชื่อมต่อถึงกันได้ นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวแค่ไหนกันฝ่าบาทยังไม่ยอมให้นางแต่งงาน ต่อมาสายตาที่มองนางก็ยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อยๆถ้านางไม่หนีล่ะก็ หลังจากนี้นางอาจจะดำดิ่งสู่ห้วงลึกไร้ที่สิ้นสุดก็ได้กว่าจะหนีออกมาได้ ยังต้องแลกกับชีวิตของสาวใช้วังคนสนิทสอง
ถังอู๋เจวี้ยนจู่ๆ ก็รู้สึกว่าสายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเขาเปล่งเป็นประกาย เดิมทีคิดว่าทักทายแล้วทั้งสองคนจะเดินผ่านไป ไม่คิดว่านางจะยังไม่ไปเพื่อเป็นมารยาท เขาจึงทำได้แค่เอ่ยปากถามนาง "องค์หญิงใหญ่มากินข้าวกลางวันหรือกับเจ้าอารามหรือ?"ถึงอย่างไรเวลานี้ ก็เป็นช่วงข้าวกลางวันแล้ว"เดิมทีข้าก็อยากจะกินข้าวร่วมกันกับทุกคน คิดไม่ถึงว่าไม่มีใครมาเลย เหลือแค่ข้ากับเจ้าอารามดูไม่ค่อยเหมาะสม ดังนั้นข้าเลยเตรียมจะกลับไปกินคนเดียว"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเอ่ยเสียงแผ่ว "คุณชายถังกินแล้วหรือ?""ข้ากินมาแล้ว""คุณชายถัง ท่านรู้จักกับพระชายาอ๋องเจวี้ยนมาก่อนหรือ?" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นรวบความกล้าถามขึ้นมา"ไม่รู้จักนะ เพิ่งมาเจอกันที่ยอดเขาโยวชิงนี่ละ่"ถังอู๋เจวี้ยนยังคิดว่านางยังไม่ถอดใจจากอ๋องเจวี้ยน ตอนนี้กำลังสืบเรื่องของฟู่จาวหนิง อดเตือนขึ้นมาคำหนึ่งไม่ได้"องค์หญิงใหญ่ อ๋องเจวี้ยนกับพระชายารักใคร่กลมเกลียวกันมาก จากที่ข้าเห็น อ๋องเจวี้ยนอย่างน้อยในช่วงหลายปีนี้ไม่มีทางมีความคิดจะรับอนุภรรยาแน่"นี่เขาพูดแบบระวังแล้วนะ จากในความฝันนั่น การจะมีอนุภรรยาสามสี่คนไม่น่าเป็นไปได้ แม้จะจำได
ต่อให้จริงแค่ไหน ก็ไม่ใช่ชีวิตในตอนนี้ถังอู๋เจวี้ยนใคร่ครวญคำนี้อย่างละเอียดฟู่จาวหนิงก็เสริมขึ้นมาอีกคำ "ใช้ชีวิตตอนนี้ให้ดี จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"ผ่านไปครู่หนึ่ง ถังอู๋เจวี้ยนจึงหัวเราะขึ้นมา ครั้งนี้รอยยิ้มของเขาดูโล่งใจและผ่อนคลายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเขามองฟู่จาวหนิง ลุกขึ้นยืน ประสานหมัดคารวะให้นาง"ศิษย์น้องหญิง เจ้าพูดได้ถูกต้องเลย ก่อนหน้านี้ข้ายึดติดเกินไป""รู้สึกว่าฟังข้าพูดคำเดียว มันคุ้มค่ากว่าฟังคนอื่นพูดใช่ไหมล่ะ?" ฟู่จาวหนิงหยอกขึ้นมาตอนแรกถังอู๋เจวี้ยนยังไม่เข้าใจมุขนี้ของนาง งงงันอยู่หน่อยๆ แต่พอเข้าใจขึ้นมา เขาก็อดส่ายหัวหัวเราะขึ้นมาไม่ได้"ฮ่าๆ ซนเสียจริง"ฟังหนึ่งคำพูด ประเสริฐศรีกว่าอ่านหนังสือสิบปี ถูกนางพูดหยอกเย้ามาแบบนี้ ทำให้บรรยากาศเคร่งขรึมที่เขาคารวะนางเป็นทางการดูผ่อนคลายไปเลยถังอู๋เจวี้ยนคิดไปคิดมาก็หัวเราะขึ้นอย่างอดไม่อยู่ถ้าบอกว่าทำไมฟู่จาวหนิงจึงถูกคนบางคนสงสัยเรื่องวิชาแพทย์ ก็น่าจะเพราะนางไม่ใช่แค่ยังอายุน้อย แต่บางครั้งยังซุกซนขี้เล่นแบบนี้หรือเปล่า?หมอเทวดาในความทรงจำคนทั่วไป ไม่ใช่ต้องเป็นพวกผู้เฒ่านิ่งๆ จืดชืดน่าเบื่อ