2
มารดาผู้เอาแต่ใจ
“กล้ามาก เจ้ากล้าเกินไปแล้ว!” โหวซื่อจื่อยกนิ้วชี้หน้านางก่อนจะก้าวถอยออกห่างเพียงครึ่งก้าว
‘คนผู้นี้ชอบเอาชนะหรืออย่างไร’ ยอมถอยแต่แค่เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากให้ท่านฟังข้าให้จบ”
“ว่ามา!” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากระแทกกระทั้นแฝงโทสะ
“เมื่อครู่สนทนากันถึงเรื่องที่ท่านถามว่าในเมื่อข้าเป็นเพียงเบี้ยหมากไร้ประโยชน์ แล้วข้าจะมีประโยชน์อันใดแก่พวกท่านใช่หรือไม่ ข้าเพียงอยากบอกว่าด้วยฐานะจวนโหวการเข้าออกวังยามมีงานเลี้ยงหาใช่เรื่องใหญ่ ทั้งหลวนฟูเหรินยังเป็นถึงสหายสนิทของฮองเฮา การเข้าถึงตัวฮองเฮานั่นคือเรื่องที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้าไปในแผนของกบฏพวกนั้น”
“...”
“หากท่านจะถามย้ำอีกครั้งว่าเหตุใดข้าถึงยอมทรยศบิดาร่วมสายเลือดของตน ข้าย่อมตอบให้ท่านมั่นใจอีกครั้งว่าข้าถูกเลี้ยงให้เป็นเบี้ยหมากของเขา หาใช่แก้วตาดวงใจเช่นที่ผู้คนเล่าลือไม่ เรื่องนี้ท่านสามารถส่งคนไปสืบหาได้”
“เจ้าจะได้ประโยชน์อันใดจากเรื่องนี้” เขาหรี่ตามองนางอย่างจับผิด
“สิ่งที่ข้าปรารถนามีเพียงสองอย่าง คือ หนึ่งขอความคุ้มครองจากท่านไม่ให้คนของเหลียงอ๋อง เอ่อ...บิดาข้า คนของเขา หรือใครก็ตาม มาทำร้ายข้าและสาวใช้คนสนิทของข้า”
“เจ้าโง่หรือไม่! หากไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้เจ้า แล้วเจ้าจะเอาความลับหรือแผนการมาบอกข้าได้อย่างไร”
“ขออภัย เช่นนั้นขอท่านให้การคุ้มครองข้าและสาวใช้คนสนิทของข้าให้รอดพ้นจากอันตรายและมีชีวิตยืนยาวก็พอเจ้าค่ะ หากท่านตกลงข้ายินดีเอาตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อล้วงข้อมูลสำคัญจากพวกเขา” เอ่ยวาจาผิดนิดหน่อยก็ด่า อย่ามาตกหลุมรักนางภายหลังนะ นางจะกดขี่ข่มเหงเสียให้เข็ด
“บอกอีกข้อที่เจ้าต้องการมา”
“ข้อสอง เมื่อกบฏเหลียงอ๋องถูกกวาดล้าง ข้าทราบดีว่าตนคงกลายเป็นเผือกร้อนในมือของตระกูลหลวน ข้าเพียงอยากขอให้ท่านหาศพมาปลอมเป็นข้าแล้วประกาศให้คนภายนอกได้ทราบว่าข้ากินยาพิษหรือป่วยตายไปแล้ว เพื่อให้สมรสพระราชทานของเราสองคนจบลง ข้าจะหายตัวไปจากเมืองหลวงเปลี่ยนชื่อแซ่ไปอยู่ที่อื่นไม่รบกวนท่านอีก” ที่ทุ่มเทขบคิดหลายวันก็เพื่ออยากมีชีวิตรอดและอยู่อย่างสงบสุขจนถึงวาระสุดท้าย
“...” เขาเงียบเพื่อรอฟังนางพูดให้จบ
“และในระหว่างที่เรายังต้องผูกพันกันด้วยสมรสพระราชทานข้าจะเก็บตัวเงียบ ไม่วุ่นวาย ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของท่าน ขอเพียงท่านไม่ให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับข้า ข้าก็จะทำตัวให้เป็นเหมือนปลาตายอยู่ในจวนโหวแห่งนี้”
“...”
“ข้าทราบว่าเรื่องที่ข้ากำลังเจรจากับท่านมันยากที่จะเชื่อถือ ท่านสามารถส่งคนไปสืบเรื่องราวโดยละเอียดเกี่ยวกับตัวข้าก่อน แล้วค่อยให้คำตอบข้าก็ได้เจ้าค่ะ”
“...”
“ท่านไม่คิดจะเอ่ยวาจาหน่อยหรือเจ้าคะ”
“เจ้าบอกให้ข้ารอเจ้าเอ่ยวาจาให้จบก่อน”
‘อ้าว! กวนฝ่าเท้าเสียด้วย’ นางคิดก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ คล้ายพยายามระงับโทสะ
“ข้าเอ่ยวาจาจบแล้วเชิญท่านกล่าวเจ้าค่ะ” นางฉีกยิ้มปากแข็งเกร็งกดโทสะไว้ใต้รอยยิ้ม
“แน่นอนว่าข้าต้องสืบสาวราวเรื่องทั้งหมดเสียก่อน แต่หากข้าทราบหรือระแคะระคายแม้แต่เพียงเล็กน้อยว่าทั้งหมดที่เจ้ากล่าวมาเป็นเพียงการแผนการหลอกให้ข้าตายใจ ข้ารับรองได้ว่าจะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย”
“ข้าก็หวังเช่นกันเจ้าค่ะ ว่าท่านจะสืบหาเรื่องราวอย่างละเอียดไม่หูเบาเชื่อวาจาผู้อื่นอย่างมีอคติไร้การไตร่ตรองเช่นบุรุษโง่เขลา” นางเอ่ยกับตนเสียงเบา แท้จริงอยากเอ่ยวาจาประชดประชันมากกว่านี้ แต่กลัวว่าเขาจะเอาอาวุธที่ซ่อนอยู่ปาดคอนางตายเสียก่อน
“หึ!” เขาแค่นเสียงในลำคอ เขาเคยมีบทเรียนเรื่องการหูเบาหลงเชื่อวาจาโดยไม่สืบสาวราวเรื่องมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่มีทางพลาดมันอีกครั้งเป็นแน่
“คู่แต่งงานใหม่เขาว่ากันว่าคืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง แต่สำหรับเราสองที่มีแต่ความว่างเปล่าดังนั้นเชิญโหวซื่อจื่อออกจากห้องหอไปได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ข้าต้องตื่นตั้งแต่เช้า เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก” กล่าวจบก็ผายมือออกไปทางประตูก่อนจะล้มตัวลงนอน
คราแรกตั้งใจจะเป็นสตรีอ่อนหวาน นั่งร้องไห้เป็นดอกสาลี่ต้องฝน แต่นางพยายามแล้วมันไม่ได้จริง ๆ เช่นนั้นก็เป็นตัวของตัวเองไปเลยก็แล้วกัน
หากถามว่ากลัวตายไหม ก็กลัวอยู่ แต่หากนางเสแสร้งแกล้งทำอ่อนแอเปราะบาง คนผู้นี้จะเชื่อได้อย่างไร ว่านางมีประโยชน์ต่อเขา มิสู้ทำให้เห็นกันไปเลยว่านางก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง
ต้องขอบคุณที่ในโลกก่อนนางชื่นชอบกีฬาทุกชนิดจนถึงขั้นเปิดโรงเรียนสอนเทควันโดจึงพอมีวิชาพื้นฐานไว้ป้องกันตัวอยู่บ้าง
“หึ!” หลวนจิ้นฝานแค่นเสียงในลำคอก่อนจะสะบัดชายอาภรณ์หมุนตัวเดินไปที่ประตู
“ข้าลืมบอกท่านไป ว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าอยากทำลายแผนกบฏของเหลียงอ๋องให้สิ้นซาก ก็เพื่อแก้แค้นให้กับมารดาของข้าที่ถูกเขาสังหารอย่างโหดเหี้ยม” บอกถึงขนาดนี้หวังว่าจะยอมเชื่อใจนางสักครั้งนะ
“...” ฝีเท้าของโหวซื่อจื่อชะงักเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อโดยไม่เอ่ยวาจาใดอีก
‘โอ๊ย! น่าตายนัก เปิดประตูแล้วเหตุใดถึงไม่ปิดประตูให้ด้วย’ เดือดร้อนนางต้องลุกมาปิดประตูอีก
9 สามีภรรยาควรช่วยเหลือกัน ยามนี้เหลียงจิ่วเม่ยแทบจะยกเท้าก่ายหน้าผากตนด้วยความรู้สึกปวดหัวพลางนึกต่อว่าตนเองที่ก่อนหน้านี้ไม่น่าไปกลั่นแกล้งเขาเลย มิเช่นนั้นยามนี้นางคงไม่ถูกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้ “นี่ท่าน! ท่านช่วยทำสิ่งใดก็ได้ให้มันสงบลงได้หรือไม่” จะให้นางนอนร่วมเตียงกับบุรุษที่มีแท่งหยกตื่นตัวพร้อมใช้งานเช่นนี้ ไม่ดีกระมัง “หากจะโทษต้องโทษเจ้าที่ทำให้มันตื่นตัว” “แต่ข้าทำเช่นนั้นไปเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนแล้วนะ” ยามนี้มันควรสงบจิตสงบใจกลายเป็นหนอนตัวน้อยแล้วไม่ใช่หรือ “ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยมันจึงเป็นเช่นนี้ หากจะโทษ เจ้าก็ควรกล่าวโทษตนเองที่ปลุกมันขึ้นมา” “เฮ้อ! เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด แต่อย่าเข้ามาใกล้ข้าเชียว มิเช่นนั้นข้าอาจจะลืมตัวจับมันหักคอได้” “อืม! ข้าพอจะเข้าใจได้ว่าเจ้ายังไร้ความสามารถในเรื่องพวกนี้นัก จึงไม่รู้จะทะนุถนอมมัน” “ไม่ต้องมายุยง
“ทำตัวเช่นนี้ค่อยน่ารักหน่อย” นางพึมพำเสียงเบา ก่อนจะยกชาขึ้นจิบ ยิ่งหลวนฟูเหรินพยายามจะจับบุตรชายแยกกับนางเพียงใด นางยิ่งรู้สึกว่าเขาจะยิ่งเกาะติดนางมากขึ้น “นี่ท่าน! ท่านไม่คิดว่ามันเกินไปหรือเจ้าคะ” “เกินไปอย่างไร เจ้าอยู่ในห้องกับข้าสองคนย่อมกำลังดี ไม่มากเกินไป” กราบไหว้ฟ้าดินกันแล้วอยู่ร่วมห้องกันสองคนก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ “ข้าหมายถึงการให้ข้ามานั่งเฝ้าท่านทำงานเช่นนี้ทุกวัน มันไม่เกินไปหรือเจ้าคะ” หรือจะกล่าวได้ว่ายามอยู่ในจวนเขาจะต้องมีนางอยู่ข้างกายตลอด คล้ายกับนางคือเครื่องรางปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย 
“ท่านพ่อ แม้ข้าจะถูกสมรสพระราชทานแต่งนางเข้ามา แต่ข้าก็ไม่คิดรับสตรีอื่นมาหยามเกียรตินาง และจะมีนางเป็นฮูหยินเพียงคนเดียว ดังนั้นหากท่านแม่ยังคงยืนกรานที่จะหาเรื่องนาง ข้าคงต้องพานางออกไปสร้างจวนใหม่” “อืม! พ่อเข้าใจแล้ว” “และหากท่านแม่ยืนยันจะรับฉู่เหลียนฮวาเข้าจวนโหว ก็คงต้องเป็นท่านพ่อแล้วที่ต้องรับนางเข้าเรือนหลัง จะได้สมใจท่านแม่เสียที” เรือนร้างที่ฮูหยินของเขาใช้บริเวณนั้นลอบเข้าออกจวนก็เป็นเรือนร้างของอดีตอนุฯ ภรรยาที่ท่านย่ารับมาให้บิดา สุดท้ายเพราะบิดาของเขาปรารถนาในตัวฮูหยินเพียงคนเดียวไม่ไปเยือนเรือนหลังนั้นแม้แต่เพียงครั้งเดียว สุดท้ายอนุฯ ผู้นั้นก็ตรอมใจตายหลังจากที่ท่านย่าของเขาเสียได้ไม่นาน “เพ้ย! เจ้าลูกคนนี้ เจ้าเห็นพ่อยังปวด
“จัดการตามเหมาะสม ขอเพียงไม่ถึงเลือดตกยางออก ย่อมไม่เกิดปัญหา” เขาเองก็เหนื่อยหน่ายใจที่จะตักเตือนมารดาแล้ว “ได้ ข้าจะจัดการให้” นางตอบรับก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตือนให้เขารีบลุกหนี แต่เขาก็ยังนิ่งเฉย “ช่วงนี้คนของเหลียงอ๋องติดต่อมาบ้างหรือไม่” “ตอนนี้ยังเจ้าค่ะ” ไม่รู้ที่เงียบหายเป็นเพราะคิดจะทำอันใดอยู่ “หากคนพวกนั้นติดต่อมาเมื่อใดให้รีบแจ้งข้า” “เจ้าค่ะ มีอันใดอีกหรือไม่” “หากเจ้าอยากทำการค้าให้มาขอเงินที่ข้า”&n
ใช่แล้ว! มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ คงเริ่มพึงใจคุณหนูของนางตั้งแต่ที่สั่งให้บ่าวรับใช้ทุกคนห้ามเรียกคุณหนูของนางว่าฮูหยินรองแล้ว เมื่อประตูเรือนปิดลง นางก็จับมือของเขาที่โอบประคองอยู่ออกก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ มือเรียวที่มีรอยข่วนของเล็บหงายจอกชาขึ้นก่อนจะรินชาจิบแก้กระหาย ‘อ่า...ชานี้ช่างเย็นชืดยิ่งนัก’ หากไม่เพราะต่อปากต่อคำกับสตรีแซ่ซิวนาน นางคงไม่ยอมทนกินน้ำชาเย็น ๆ เช่นนี้หรอก หลวนจิ้นฝานมองมือของตนที่ค้างไว้ในท่าประคองก่อนจะเก็บมือของตนไปไพล่หลังแล้วเดินไปทรุดกายนั่งร่วมโต๊ะกับนาง “การกระทำไม่เหมาะสมวันนี้ของนางไม่ถูกใจท่านโหวเช่นนี้ คาดว่าอีกไม่นานคงลงมือจับท่านเข้าหอด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็แค่คล้อยตามแล้วหาใครสักคนเข้าหอกับนาง เพียงแค่นี้ก็สามารถบังคับให้นางแต่งออกไปกับผู้อื่นได้โดยที่มารดาท่านก็ไม่อาจโต้แย้งได้” “อืม” เขาตอบรับก่อนทำท่าเหมือนจะพูดสิ่งใดต่อ แต่ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยซิวเหยาที่ยกป้านชามาพร้อมกับขนมและยา “ฮูหยินให้บ่าวช่วยทายาให้ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “วางยาเอาไ
8 สามีที่ดูแปลกไป “ข้า ข้าไม่ได้ทำ เจ้าแสร้งล้มไปเอง” “คุณหนูซิว ท่านมาขอฮูหยินของข้าให้ปล่อยท่านโหวซื่อจื่อไปรับสำรับและค้างคืนกับท่าน ฮูหยินข้าก็ยอมแล้ว เหตุใดท่านยังทำร้ายฮูหยินของข้าอีก” เป็นซิวเหยารีบเอ่ยก่อนจะเข้าไปประคองผู้เป็นนาย โดยมีฮุ่ยเหยาสาวใช้คนใหม่ทำตามสาวใช้รุ่นพี่อย่างงุนงง “โกหก! เป็นนายของเจ้าแสร้งล้มไปเอง คุณหนูของข้าหาได้ผลักไม่” สาวใช้ของคุณหนูซิวรีบโต้แย้ง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เสียงทุ้มทรงพลังของท่านโหวดังขึ้น ก่อนที่โหวซื่อจื่อที่มาด้วยจะเดินเข้ามาหานางพลางกวาดสายตาสำรวจ นัยน์ตาคมพลันเข้มขึ้นเมื่อเห็นรอยเลือดซึมเปื้อนอาภรณ์ด้านหลังของนาง “ท่านลุง เป็นนางล้มลงเอง ข้าไม่ได้ทำอันใดเลยนะเจ้าคะ” “ท่านพ่อ เป็นข้าที่ไร้เรี่ยวแรงเองเจ้าค่ะ อย่าได้กล่าวโทษคุณหนูซิวเลยเจ้าค่ะ” กล่าวจบนางก็แสร้งพยายามปกปิดมือของตน “ฉู่เหลียนฮวากล้าทำร้ายเจ
‘บางทีจิ่วเม่ยอาจจะไม่มีวันได้ละทิ้งตัวตนฮูหยินของโหวซื่อจื่อแล้วก็ได้’ แค่เอ่ยวาจาหยอกเย้าเล็กน้อย ก็จ้องด้วยแววตาไม่พอใจแล้ว ดูแล้วเหลียงจิ่วเม่ยคงไม่อาจออกจากตำแหน่งฮูหยินน้อยตระกูลหลวนได้ชั่วชีวิต ชีวิตของนางช่างอาภัพ สู้อุตส่าห์อยู่เงียบ ๆ ไม่ออกไปหาเรื่อง แต่เรื่องกลับมาถึงตัวจนได้ “เสี้ยนจู่ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาแล้ว เป็นสตรียังวิ่งโร่ออกนอกจวน” ‘เจ้าอยากวิ่งโร่ออกไปนอกจวนเช่นข้าหรือไม่ ข้าจะได้หาเรื่องมาให้’ อ่า...เจ็บไม่น้อย คิดว่าจะคุ้นชินแล้วเสียอีก หลังจากสนทนากับพวกเขาที่จวนนอกเมืองแล้วนางก็ไปรับโทษโบยตามกำหนดที่วังหลวง วันเวลาช่างผันผ่านไปเร็วเสียจริง
“ไม่คิดเลยว่าคนที่ฮูหยินของข้าซื้อมาจากตลาดทาสจะมีแต่เสือหมอบมังกรซ่อน[1]” “ท่านเข้ามาได้อย่างไร” บุรุษรูปงามเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกใจ เพราะคนของเขาไม่น่าปล่อยให้คนผู้นี้เล็ดลอดเข้ามาได้ “เป็นข้าที่สั่งเปิดทางให้เขาเอง ข้าก็อยากทราบเช่นกันว่าโหวซื่อจื่อที่ลอบตามติดจิ่วเม่ยแท้จริงมีจุดประสงค์ใด” รุ่ยเย่ หรือองค์ชายสามจงเจียซวนเอ่ยขึ้น “เขาคงไม่ได้ลอบฟังกระหม่อมสนทนากับพระองค์ตั้งแต่ต้น” “ย่อมใช่ เขาลอบติดตามข้ามาตั้งแต่แรก” “พระองค์ก็ไม่น่าจะเปิดเผยตัวตนของเราต่อบุรุษไม่น่าไว้ใจผู้นี้” จางรุ่ยเต๋อเอ่ยถามเพราะการที่องค์ชายต่างแคว้นและราชเลขาธิการของฮ่องเต้แคว้นซีหนานแฝงตัวอยู่
“ขอบคุณ วันนี้ข้าจะพาฮุ่ยเหยากลับจวนโหวด้วย จึงต้องกลับก่อน ฝากท่านดูแลจวนแห่งนี้ด้วย ข้าอาจจะไม่ได้มาที่นี่จนกว่าจะพ้นงานเลี้ยงในวัง” แม้จะทราบดีว่าไม่อาจไว้ใจคนที่เพิ่งพบเจอ แต่ทว่ายามนี้นางมีแต่ต้องเสี่ยงแล้ว “ได้ เจ้าไม่ต้องห่วงข้าจะดูแลจวนแทนเจ้า” “อืม...ฝากด้วย” เพราะจะต้องแนะนำเรื่องหลายอย่างเกี่ยวกับจวนโหวให้ฮุ่ยเหยาทราบ นางจึงอยากพาอีกฝ่ายกลับจวนโหวเร็วขึ้นหน่อย ดวงตาคมของจอมยุทธ์หนุ่มมองตามหลังเหลียงจิ่วเม่ยไปจนลับสายตา เมื่อภายในจวนเงียบสงบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานออกนอกจวน ทว่าจุดหมายปลายทางกลับไม่ใช่จวนของรายชื่อที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้น แต่กลับเป็นจวนร้างนอกเมืองฝั่งทางใต้แ