‘โอ๊ย! น่าตายนัก เปิดประตูแล้วเหตุใดถึงไม่ปิดประตูให้ด้วย’ เดือดร้อนนางต้องลุกมาปิดประตูอีก
เช้าวันต่อมานางก็ตื่นตั้งแต่เช้าแล้วให้ซิวเหยาช่วยแต่งตัวให้เหมาะสมแก่การไปยกน้ำชาให้ท่านโหวและฟูเหริน
“ฮูหยินท่านควรต้องรอไปพร้อมท่านโหวซื่อจื่อไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทที่ช่วยประคองนางอยู่กระซิบถาม
“เจ้าคิดว่าเขาจะมาหรือ”
“แต่ตามธรรมเนียมแล้ว...”
“ธรรมเนียมก็คือข้าจะต้องมายกน้ำชาให้พ่อแม่สามีเพียงเท่านั้น ส่วนสามีจะมาหรือไม่นั้นมันเป็นเพียงการแสดงถึงความโปรดปรานที่สามีมีให้กับฮูหยินของตนเพียงเท่านั้น” ซึ่งนางก็ไม่คิดหวังความโปรดปรานจากเขาหรอก ขอเพียงเขาตอบรับข้อตกลงที่นางเสนอให้ก็พอแล้ว
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ซิวเหยาได้แต่ตอบรับพลางนึกสงสารคุณหนูของตนจับใจ
เมื่อถึงโถงกลางนางก็พบว่าท่านโหวและฟูเหรินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นางจึงหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ช่วยรินน้ำชาจากป้านชาที่วางเตรียมเอาไว้แล้ว
“มาแล้วหรือเสี้ยนจู่ เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่” เป็นท่านโหวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้จะทราบถึงเบื้องลึกเบื้องหลังในสมรสพระราชทานครั้งนี้ แต่อย่างไรสตรีผู้นี้ก็เป็นถึงเสี้ยนจู่ที่มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา
“ต่อให้เป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ก็ต้องยอมละทิ้งบรรดาศักดิ์เมื่อต้องแต่งเข้าจวนขุนนาง และเจ้าจงจำไว้นะ ว่ายามนี้เจ้าเป็นเพียงฮูหยินรองของบุตรชายข้า”
‘ฮูหยินรองเป็นถึงเสี้ยนจู่ เกรงว่าตำแหน่งฮูหยินเอกคงไม่พ้นองค์หญิงสักพระองค์’ ไม่แตกต่างจากที่คิดสักเท่าใด แต่เอาเถิด ขอแค่ไม่มีใครมายุ่งกับนาง นางก็จะนิ่งเฉย เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง นางก็พร้อมจะไปจากที่นี่ทันที
“ฟูเหริน!” หลวนห่าวส่งสายตาห้ามปรามฟูเหรินของตน
“ท่านจะส่งสายตาดุข้าด้วยเหตุใด ข้าเพียงพูดไปตามความจริง ต่อให้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แต่ยามนี้นางเป็นเพียงฮูหยินรองของโหวซื่อจื่อ ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัว อย่าได้ถือว่าตนมีอำนาจสูงส่งในจวนตระกูลหลวน” แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจแต่เมื่อได้ยินคำขอโทษของสหายผู้สูงศักดิ์ยามนี้ตนจึงรู้สึกสงสารบุตรชายยิ่งนัก ทั้งยังนึกโกรธเคืองจนสาปแช่งสตรีแซ่เหรินที่วางยาบุตรชายของนางในวันนั้น
“...”
“ฮูหยินพอเถิด”
“ข้าเพียงเอ่ยวาจาสอนสะใภ้ท่านอย่าได้คิดขัดขวางเจ้าค่ะ หากท่านมีเรื่องต้องไปทำก็เชิญไปเถิดเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า...” หลวนห่าวกำลังจะเอ่ยวาจาขัด ว่าอย่างไรสะใภ้ผู้นี้ก็มีสายเลือดราชวงศ์อยู่ แม้บิดาทำไม่ดีแต่ฮ่องเต้ก็ยังไว้หน้าอยู่บ้างเพราะสายเลือดทางมารดาของนาง มิเช่นนั้นคงจัดการไปแล้วตั้งแต่สตรีผู้นี้เดินทางเข้าเมืองหลวงในคราแรก
“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เหลียงจิ่วเม่ยกล่าวก่อนจะยื่นน้ำชาให้ท่านโหวตามธรรมเนียม
“ยามนี้เจ้าเป็นสะใภ้จวนโหวแล้ว อย่างไรก็คือบุตรสาวผู้หนึ่ง มีเรื่องใดสามารถบอกกล่าวกันได้ตามตรง” ท่านโหวรับน้ำชาที่สะใภ้ยื่นให้มาจิบ แม้จะไม่ถูกใจและได้มาเพราะเรื่องงามหน้า แต่อย่างไรก็แต่งเข้ามาแล้ว ก็ได้แต่ยอมรับ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยตามมารยาท
“หึ! รีบไปได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านมิใช่บอกว่ามีเรื่องต้องรีบไปทำหรือ”
“ฟูเหริน เจ้าก็ใจเย็น ๆ บ้าง” กล่าวจบท่านโหวก็ลุกจากไป
คล้อยหลังสามี หลวนฟูเหรินก็เอ่ยวาจาถากถางสะใภ้ต่อพร้อมทั้งบอกกล่าวว่าอีกไม่นานหลวนจิ้นฝานก็จะแต่งฮูหยินเอกเข้ามา
“แม้ยามนี้บุตรชายของข้าจะยังไม่มีฮูหยินเอกแต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดได้ตามใจ จงอย่าลืมว่าฐานะของตนยามนี้เป็นเพียงฮูหยินรองที่บุตรชายข้าไม่โปรดปราน”
“...”
“หึ! หากไม่เพราะมีสมรสพระราชทานบังคับ ต่อให้เป็นเสี้ยนจู่ ข้าก็มอบฐานะให้เจ้าเป็นได้เพียงอนุฯ ไม่มีทางที่เจ้าจะมานั่งลอยหน้าลอยตาในฐานะฮูหยินรองเช่นนี้” นับว่าฮ่องเต้ไม่ได้บีบคั้นคนตระกูลหลวนเกินไป ยังเหลือทางรอดเอาไว้ให้
สมรสพระราชทานบอกแค่ว่าให้แต่สตรีไร้ยางอายผู้นี้เป็นฮูหยิน แต่ไม่ได้กำหนดว่าเป็นฮูหยินเอกหรือฮูหยินรอง อีกทั้งจวนโหวก็หาได้มีกฎเช่นตระกูลเจียงที่บังคับให้บุรุษแต่งฮูหยินได้เพียงคนเดียว ดังนั้นจึงกลายเป็นทางรอดของจวนตระกูลหลวนแล้วที่อย่างน้อยก็สามารถเลือกฮูหยินน้อยที่ดีงามได้
“...” สตรีที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้นคล้ายพยักหน้าเล็กน้อย
“แล้วก็อย่าได้คิดวางยาบุตรชายของข้า เขาไม่โปรดปรานเจ้าก็แล้วไป ขอเพียงเจ้าทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย ข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้า เข้าใจหรือไม่”
“...” เหลียงจิ่วเม่ยคล้ายจะผงกศีรษะเล็กน้อย
“ส่วนน้ำชานั่นไม่ต้อง เจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าจะรับน้ำชาจากสะใภ้เอกเท่านั้น”
“...”
“รีบไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว ไม่ได้ยินหรืออย่างไร”
“...” นางยังคงก้มหน้าอยู่และผงกหัวถี่ขึ้น
‘แย่แล้ว ท่านหญิง ท่านกำลังหลับใช่หรือไม่’ ซิวเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างอยากจะเข้าไปปลุกท่านหญิงของตนให้ตื่นขึ้น แม้หลวนฟูเหรินจะพูดถากถางยืดยาวน่าเบื่อหน่าย แต่เจ้านายของตนก็ไม่ควรหลับต่อหน้าเช่นนี้
ปัง! เสียงตบโต๊ะอย่างแรงด้วยโทสะทำให้ สตรีที่กำลังนั่งสัปหงกตื่นขึ้น
“เกิดอันใดขึ้นซิวเหยา” นางสะดุ้งสุดตัวก่อนจะเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ตัว
“เจ้า! นี่เจ้านั่งหลับในขณะที่ข้ากำลังสั่งสอนอยู่หรือ ช่างไร้มารยาทสิ้นดี ก่อนหน้านี้ที่ทำตัวไร้ยางอายคงเป็นเพราะไร้มารดาสั่งสอนใช่หรือไม่ถึงได้กระทำการหยามหน้าข้าเช่นนี้” ซิวฮุ่ยหนิงหรือหลวนฟูเหรินยกมือทาบอก โกรธจนตัวสั่น
“พวกเขามีลูกเหมือนกัน ย่อมรู้ดีว่าการจะหาเวลาอยู่ตามลำพังสามีภรรยานั้นยากเพียงใด นี่ท่านคงไม่ได้กำลังสงสัยว่ามันเป็นแผนการที่ข้าอยากรวบหัวรวบหางท่านหรอกนะเจ้าคะ แต่หากใช่แล้วอย่างไร ท่านเป็นบุรุษก็ไปปลดปล่อยที่หอนางโลมได้ ข้าเป็นสตรียังสาวยังมีความต้องการปลดปล่อยเช่นกัน หรือข้าควรต้องไปหอชายงามให้พวกชายงามช่วยปลดปล่อยเช่นท่าน” นางแสร้งตีโพยตีพายกลบเกลื่อน อย่าคิดรู้เท่าทันแผนการของนางเชียวนะ “ข้าขอโทษที่ห่วงใยเจ้า กลัวเจ้าต้องเจ็บปวดจากการคลอดบุตร จึงละเลยที่จะอุ่นเตียงให้เจ้า แต่ข้าสาบานได้ว่าแม้ข้าจะไม่ได้ปลดปล่อยกับเจ้า แต่ข้าก็ไม่เคยไปหอนางโลมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีสตรีใดได้แตะต้องแท่งหยกของข้านอกจากเจ้า” “...” นางเงียบคล้ายกับกำลังแง่งอน “เจ้าไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นข้าจะมอบความสุขให้เจ้าเพื่อพิสูจน์ว่าความโปรดป
“ยามนี้ในจวนก็ไม่มีใครอยู่ เรามาลองทำกันตรงนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ” นางกล่าวก่อนจะก้มตัวลงไปอ้าปากงับยอดอกของเขาเพื่อเร่งเร้า ลิ้นเรียวเล็กที่โลมเลียหยอกเย้าทำให้หลวนจิ้นฝานรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว “ประเดี๋ยวเจ้าจะป่วยเอานะ” เสียงแหบพร่าดังออกมาจากปากเขา “ก็ยังไม่ต้องถอดหมดสิเจ้าคะ” นางกล่าวก่อนจะลงจากตักของเขา มือเรียวถลกชายอาภรณ์ของผู้เป็นสามีเผยให้เห็นแท่งหยกที่แข็งขึงจนดุนดันอาภรณ์ให้โป่งพองขึ้น นางกอบกุมแท่งหยกที่ทั้งแข็งและร้อนเอาไว้ก่อนจะรูดขึ้นลงเบา ๆ ดวงหน้าหวานโน้มเข้าไปใกล้จนลมหายใจเป่ารด “จิ่วเม่ย ลมหายใจของเจ้าทำให้พี่สั่นสะท้านยิ่ง” จิตใจส่วนลึกปรารถนาอยากให้นางใช้ปากและลิ้นหยอกเย้า 
“เฉ่าเหมยก็กำลังมีบุตรคนที่สอง แล้วเจ้าเล่าจิ่วเม่ย ข้าอยากได้หลานสาวตัวน้อย” “เห็นทีเจ้าคงต้องไปถามเอากับสามีข้าเสียแล้ว ว่าเมื่อใดจะมอบบุตรคนที่สองให้ข้า” ทุกวันนี้เขาไม่ยอมปลดปล่อยน้ำพิสุทธิ์ในกายนางเพราะกลัวนางจะตั้งครรภ์แล้วต้องเจ็บปวดยามคลอดบุตรอีก “กล่าวเช่นนี้ มิใช่เป่ยกั๋วกงร่างกายมิไหวแล้วหรือ” เจียงเซียวเล่อเอ่ยถามอย่างซุกซน ต่างจากสามีของตนลิบลับที่ขยันยิ่งนักจนตอนนี้ตนมีบุตรชายบุตรสาวสามคนแล้ว “เขาบอกว่าไม่อยากเห็นข้าเจ็บปวดตอนคลอดบุตรอีก” “อ่า...ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเจ้าแล้ว สามีข้าก็เป็นเช่นนั้นหลังจากที่ข้าคลอดซือเหวิน” “ยามนั้นข้าอ
กลวิธีขอบุตรจากสามี เวลาช่างผันผ่านไปรวดเร็วนัก หกปีแล้วกระมังที่นางไม่ได้มาเยือนเมืองหลวง ยามนี้ได้ยินว่าหลวนฟูเหรินล้มป่วย นางจึงอยากพาหลานชายมาให้อีกฝ่ายพบหน้าเพียงเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากฟังที่บุตรชายกล่าวจบ นางก็รีบเก็บความหวังดีนั้นกลับมาทันที “ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปจวนของท่านปู่ท่านย่าขอรับ” วาจาของบุตรชายทำให้นางหันไปมองหน้าสามีด้วยสีหน้าลำบากใจ “เพราะเหตุใดลูกจึงกล่าวเช่นนั้น บอกเหตุผลให้แม่ฟังได้หรือไม่” เหลียงจิ่วเม่ยเอ่ยถามบุตรชายอย่างใจเย็น ที่ผ่านมาแม้ตนจะไม่ถูกกับแม่สามีแต่ทว่าก็ไม่เคยสอนให้บุตรชายมีอคติกับผู้อาวุโส “ท่านย่าเกลียดท่านแม่และว่าท่านแม่ชั่วร้าย ท่านพ่อจึงได้หลวมตัวแต่งกับท่านแม่โดยที่ไม่ได้รักใคร่กันแต่จำใจต้องอยู่ด้วยกันเพราะข้า แต่ข้ารักท่านแม่มาก ข้าไม่อยากได้ยินท่านย่ากล่าวว่าร้ายท่านเช่นนั้นอีก ดังนั้นข้าไม่ไปจวนท่านย่าได้หรือไม่” เด็กน้อยกล่าวด้วยวาจาฉะฉาน “ใครบอกเจ้าเช่นนั้น” เป็นเป่ยกั๋วกงที่เอ่ยถามซ้ำ “ท่านย
เหอซือซือคลอดบุตร สตรีร่างเล็กบิดกายไปมาบนเตียงคล้ายเกียจคร้าน ก่อนจะถูกผู้เป็นสามีที่เพิ่งกลับมาจากด้านนอกรวบตัวเข้าสู่อ้อมกอด “หิวหรือไม่ ข้าจะบอกให้คนยกสำรับมาให้เจ้า” หลวนจิ้นฝานเอ่ยถามฮูหยินของตน “แล้วท่านหิวหรือไม่เจ้าคะ” “สามารถรอกินพร้อมเจ้าได้” “เช่นนั้นรออีกสักประเดี๋ยวดีหรือไม่เจ้าคะ” นางกล่าวพลางบดเบียดกายเข
“อ๊า...” จูเฉ่าเหมยร้องครวญครางไม่เป็นภาษา รู้สึกวาบหวามกับสัมผัสของเขา พอเห็นในโพรงนุ่มพร้อมแก่การบุกรุกเขาก็สอดนิ้วของตนเข้าไปเพื่อคลายความคับแน่นภายใน เพราะได้น้ำหวานที่เอ่อล้นจากการโลมเลียทำให้เขาสามารถใส่นิ้วเพิ่มได้อีก แรงตอดรัดภายในทำให้เขาค่อย ๆ ขยับนิ้วอย่างช้า ๆ พลางคิดไปว่าหากสอดใส่ของตนเข้ามามันคงแทบปริแตกแพราะแรงรัดรึงเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงสอดใส่นิ้วเพิ่มอีกจากสองนิ้วเป็นสามนิ้วแล้วขยับเข้าออกจนน้ำหวานไหลออกมาเปรอะเปื้อนทั่วมือ “อ๊า! ท่านพี่ อ๊า…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก” นางส่งเสียงร้องพลางบิดกายไปมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่านก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานออกมา แรงตอดรัดในโพรงนุ่มทำให้เขารับรู้ได้ว่านางสุขสมแล้ว เขาจึงตวัดลิ้นโลมเลีย