“อ่า...ไม่นั่ง” เช่นนั้นก็ยืนให้เมื่อยขาต่อไปเถิด ขาของเขาหาใช่ขาของนาง
เหลียงจิ่วเม่ยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอเบ้ปากกลอกตามองบนคล้ายหมั่นไส้ออกมาก่อนจะรีบเก็บสีหน้าเมื่อเห็นสายตาดุที่มองมา
ชิ้ง! นัยน์ตาคมปราบมองสตรีที่มีท่าทางไม่สำรวม
‘หากสายตาของเขาเป็นมีด ป่านนี้ข้าคงนอนจมกองเลือดไปแล้วกระมัง’ นางคิดพลางนึกภาวนาให้คนของเขารีบกลับมารายงาน นางจะได้เสนอข้อต่อรองที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์แก่เขาเสียที แล้วจะได้รีบเชิญอีกฝ่ายออกจากห้องหอไป
ผ่านไปเกือบครึ่งเค่อกว่าหลี่เฉิงจะกลับมา แต่เนื่องจากเป็นห้องหอของโหวซื่อจื่อคนสนิทจึงได้แต่ส่งเสียงบอกที่นอกห้อง ‘ทุกอย่างเรียบร้อย กำแพงไร้หู วางใจได้ขอรับ’
“อืม” เขารับคำลูกน้องก่อนจะหันมามองสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง
ชิ้ง! นัยน์ตาคมปราบที่จับจ้องอีกฝ่ายเย็นชาไร้อารมณ์ แต่กลับแฝงกลิ่นอายบางอย่างเอาไว้คล้ายกับว่าหากนางเอ่ยวาจาไม่เข้าหู เขาสามารถดึงดาบออกมาปาดคอนางได้ทันที
“ข้าเพียงมีเรื่องอยากจะตกลงกับท่าน”
“...” เมื่อเห็นเขาเงียบไม่เอ่ยวาจา นางจึงเอ่ยวาจาต่อ
“ข้าทราบดีว่าสมรสพระราชทานนี้เราสองคนไม่อาจปฏิเสธได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นมิสู้เรามาร่วมมือกันดีหรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงที่นางเอ่ย เขาคล้ายจะแผ่ไอสังหารออกมา
พรึ่บ! บุรุษรูปร่างกำยำพุ่งตัวเข้าประชิดก่อนจะกดตัวนางลงบนเตียง และใช้มือข้างหนึ่งบีบคอนางอยู่
‘ไม่นะ ข้าจะตายไม่ได้’ เหลียงจิ่วเม่ยร่ำร้องบอกตนในใจก่อนจะรีบเอ่ยวาจาต่อเพื่อทำให้เขาใจเย็นลง
“ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้หมายถึงให้ท่านร่วมมือกับบิดาของข้า” สิ้นเสียงนางไอสังหารก็ลดลงมือที่บีบคอนางอยู่เมื่อครู่คลายออกเล็กน้อยแต่ทว่ายังคงเกาะกุมอยู่บนลำคอขาวเนียนของนาง
“หากไม่รีบเอ่ยมา ก็ตายไปเสีย สมรสพระราชทานแค่สั่งให้แต่งกับเจ้าแต่ไม่ได้บอกว่าห้ามสังหาร”
“ขะ ข้าพูดแล้วเจ้าค่ะ ที่ข้าบอกว่าอยากให้ท่านร่วมมือกับข้าคือ ข้าจะทำตัวสงบเสงี่ยมไม่รบกวนท่าน ทุกอย่างเป็นไปตามหน้าที่ที่เหมาะสม ไม่ก้าวก่ายเรื่องของท่าน และเมื่อข้ามีข่าวเกี่ยวกับบิดา ข้าก็จะรีบมารายงานท่าน แลกกับการที่ท่านปล่อยข้าไปเมื่อเรื่องของบิดาข้าจบสิ้นแล้ว ข้ายินดีออกจากจวนตระกูลหลวนเปลี่ยนชื่อแซ่ และไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ข้าทราบดีว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ต่อรอง แต่ข้าก็ยังอยากเหลือทางรอดให้ตน”
“คิดว่าข้าจะหลงกลเชื่อวาจาของเจ้าหรือ บุตรสาวเช่นเจ้าน่ะหรือจะทรยศบิดาร่วมสายเลือด” กล่าวจบก็บีบคอนางอีกครั้ง
“โว้ย! เอาแต่บีบคอข้าเช่นนี้ เมื่อใดจะสนทนากันรู้เรื่อง” เหลียงจิ่วเม่ยร้องโวยวายก่อนจะชูแขนขึ้นสูงแล้วกระแทกศอกลงบนแขนของเขา เมื่อเขาเสียหลักศีรษะเข้ามาใกล้ นางจึงใช้หัวกระแทกใส่หน้า ส่งผลให้เขาหงายหลังแล้วรีบถอยออกห่างเพื่อตั้งหลักพร้อมเข้ามาต่อสู้
“สตรีชั่วช้า เจ้าทำร้ายข้า!”
“ขออภัยเจ้าค่ะ เมื่อครู่เป็นเพียงการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของข้า หาได้มีเจตนาร้ายกับท่าน ยามนี้ท่านมีสติที่จะฟังข้าเอ่ยวาจาต่อแล้วใช่หรือไม่” นางแสร้งตีหน้าเศร้าชั่วครู่ก่อนจะมันจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ว่ามา!” หลวนจิ้นฝานสะบัดอาภรณ์อย่างไม่ค่อยพอใจที่ตนเสียท่าสตรีชั่วช้าผู้นี้ ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะจะรู้วิชาการต่อสู้ คิดว่าฟาดแส้ใส่ผู้อื่นเป็นอย่างเดียวเสียอีก
“เมื่อครู่ท่านถามข้าว่า ข้าจะหักหลังบิดาร่วมสายเลือดได้อย่างไร หากข้าตอบว่าได้ล่ะเจ้าคะ คนที่ทำเพียงร่วมรักกับมารดาแล้วหว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ควรค่าแก่การเป็นบิดาด้วยหรือเจ้าคะ หึ!” กล่าวจบนางก็แค่นเสียงในลำคอ แววตาเผยความเย็นชาออกมาเมื่อคิดถึงความทรงจำที่นางค้นเจอ
“เจ้ามิใช่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่เหลียงอ๋องรักดุจแก้วตาดวงใจหรือ”
“คนที่เล่าลือว่าข้าเป็นแก้วตาดวงใจของเหลียงอ๋องคงตามืดบอดหรือไม่ก็หูหนวก ถึงได้เอ่ยวาจาหน้าไม่อายนั่นออกมา”
“แล้วข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร ว่าการที่เจ้านั่งต่อว่าเขาเช่นนี้จะไม่ได้เป็นหนึ่งในแผนการของเหลียงอ๋อง”
“ข้าเชื่อว่าท่านมีความสามารถพอที่จะสืบหาได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตข้าก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่จะช่วยทำให้แผนการของเหลียงอ๋องสำเร็จ แต่เมื่อข้าพลาดที่จะแต่งเข้าจวนแม่ทัพ ข้าก็กลายเป็นเพียงเบี้ยหมากไร้ค่าที่รอเวลาเก็บกวาด”
“แล้วเจ้าคิดว่าเบี้ยหมากไร้ค่าเช่นเจ้าจะมีผลประโยชน์อันใดกับข้า” เขายกแขนขึ้นกอดอกพลางยกยิ้มเหยียดหยาม
“แม้ยามนี้ข้าจะไร้ค่าที่ไม่อาจแต่งเข้าจวนแม่ทัพได้ แต่ทว่าฐานะของจวนโหวก็พอจะสามารถช่วยส่งเสริมพวกเขาได้ในบางเรื่อง...” นางยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบ เขาก็เคลื่อนกายขยับเข้ามาประชิดตัว ด้วยความตกใจและสัญชาตญาณที่ต้องป้องกันตัวทำให้เจ้าของเรือนร่างบอบบางเผลอยกเท้ายันอกเขาเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้
“เจ้า!” หลวนจิ้นฝานก้มมองข้อเท้าขาวเนียนที่โผล่พ้นอาภรณ์มาด้วยใบหน้าที่แดงจัดด้วยโทสะ
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าทำไปเพราะรักตัวกลัวตาย” นางกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยแต่ก็ไม่คิดจะเก็บเท้าตนกลับมา ทั้งยังขยับฝ่าเท้าดันอกเขาเล็กน้อยเป็นเชิงตักเตือนให้ถอยห่าง
“อ๊า...” จูเฉ่าเหมยร้องครวญครางไม่เป็นภาษา รู้สึกวาบหวามกับสัมผัสของเขา พอเห็นในโพรงนุ่มพร้อมแก่การบุกรุกเขาก็สอดนิ้วของตนเข้าไปเพื่อคลายความคับแน่นภายใน เพราะได้น้ำหวานที่เอ่อล้นจากการโลมเลียทำให้เขาสามารถใส่นิ้วเพิ่มได้อีก แรงตอดรัดภายในทำให้เขาค่อย ๆ ขยับนิ้วอย่างช้า ๆ พลางคิดไปว่าหากสอดใส่ของตนเข้ามามันคงแทบปริแตกแพราะแรงรัดรึงเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงสอดใส่นิ้วเพิ่มอีกจากสองนิ้วเป็นสามนิ้วแล้วขยับเข้าออกจนน้ำหวานไหลออกมาเปรอะเปื้อนทั่วมือ “อ๊า! ท่านพี่ อ๊า…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก” นางส่งเสียงร้องพลางบิดกายไปมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่านก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานออกมา แรงตอดรัดในโพรงนุ่มทำให้เขารับรู้ได้ว่านางสุขสมแล้ว เขาจึงตวัดลิ้นโลมเลีย
“ขอบคุณเจ้าที่เดินทางมาจากเป่ยเหลิ่งเพื่อร่วมงานมงคลของข้า” “เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาให้ได้” “ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยซือซือ” ที่แม้จะท้องโตใกล้คลอดแล้ว ก็ยังมาร่วมงานมงคลของตนจนได้ “ข้าคงต้องกล่าวเช่นเดียวกันจิ่วเม่ย เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเจ้า” “ขอบคุณพวกเจ้าจริง ๆ” จูเฉ่าเหมยน้ำตารื้นขึ้นมา “ไม่เอา ๆ ไม่ร้องไห้ ประเดี๋ยวใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตา ใต้เท้าจิ้นจะตกใจยามเปิดหน้าเอา” เหลียงจิ่วเม่ยรีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซับน้ำตา “ดูเหมือนขบวนรับเจ้าสาวจะมาแล้ว พวกข้
หากเป็นผู้อื่นยามนี้คงนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่จะได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แตกต่างจากคู่นี้มากนักที่หลับสนิทจนเป่าหลิงสาวใช้คนสนิทของคุณหนูจูต้องเข้ามาปลุก จูเฉ่าเหมยอยู่ในอาภรณ์สีแดงที่ปักด้วยตนเอง ดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยความสุขเปล่งประกาย “หยุดมองหน้าข้าเช่นนั้นได้แล้วเป่าหลิง” คุณหนูจูกล่าวพลางนึกกล่าวโทษบุรุษที่มีอ้อมกอดอบอุ่นทำให้นางหลับสนิทจนถูกสาวใช้มาพบเข้าว่ามีบุรุษลอบมานอนร่วมเตียง “บ่าวเพียงดีใจเจ้าค่ะที่คุณหนูได้เจอบุรุษที่รักท่านมากเช่นใต้เท้าจิ้น” วันรุ่งขึ้นก็จะเข้าพิธีแล้ว แต่ใต้เท้าจิ้นยังลอบปีนหน้าต่างเข้ามาหาว่าที่ฮูหยินของตน ช่างรักใคร่กันมากเสียจริง “ข้าก็ดีใจที่บุรุษรูปงามเช่นเขาเลือกข้า แล้
“ข้าว่าแท้จริงเขาอยากแต่งตั้งแต่สามเดือนก่อนแล้ว แต่จนใจที่ไม่มีฤกษ์ดีเลย จึงพยายามเสาะหานักพรต ไต้ซือที่พอจะหาฤกษ์ดีที่รวดเร็วได้ จนได้ฤกษ์นี้มา ซึ่งเป็นเพียงฤกษ์เดียวที่จะสามารถทำให้เขาได้แต่งฮูหยินภายในปีนี้ได้” นอกนั้นต้องรอนานถึงปีหน้า “ใต้เท้าจิ้นช่างมีความพยายาม” “แต่ก็แพ้ข้า เพราะนอกจากข้ามีความพยายามแล้วข้ายังแข็งแรงมาก” “เจ้าค่ะ ท่านพี่ของข้าเก่งกาจที่สุด ทุกวันนี้ข้าหลงท่านจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” คนผู้นี้ชอบให้นางชมเชยเช่นนี้บ่อยครั้ง หากนางไม่ยอมเอ่ยปากชมเขา ค่ำคืนนั้นเขาจะรุกเร้านางจนนางไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาแต่ส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด “ข้าก็รักและหลงเจ้ายิ่งนัก ฮูหยินของข้า” หลวนจิ้นฝานกอดฮูหยินของตนเอาไว้ด้วยความรัก 
‘ที่ผ่านมาข้าเข้าใจผิดใช่หรือไม่’ ยามนั้นที่นางใช้มือช่วย มิใช่ปลดปล่อยครั้งเดียวเขาก็หมดแรงแล้วหรือ “ครานี้เจ้ากระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้านั้นหาได้อ่อนหัด และข้าก็แข็งแรงมากพอจะทำให้เจ้าหลงใหลข้า” คำกล่าวของเขาทำให้ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย แท้จริงวันนั้นเขาแกล้งหลับ ‘ปลดปล่อยแค่ครั้งเดียวก็หมดแรงแล้วหรือ ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก หากอยากให้สตรีหลงใหลท่านต้องแข็งแรงกว่านี้ เข้าใจหรือไม่’ นั่นคือวาจาที่นางกล่าวกับบุรุษที่นอนหมดแรงจนเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากที่ขอให้นางใช้มือช่วยเขาปลดปล่อย “ที่แท้เป็นข้าที่หลวมตัวให้หมาป่าห่มหนังแกะเช่นท่าน” “เจ้าจงจำไว้ว่าต่อนี้อย่าได้ดูแคลนสามีเรื่องอุ่นเตียงเด็ดขาด มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีแรงแ
“เช่นนั้นก็อย่าได้ชักช้าเลย” กล่าวจบเขาก็โอบรั้งเอวคอดกิ่วของนางให้เข้ามาแนบชิด มือใหญ่จับใบหน้าเล็กเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกเข้าโพรงปากนุ่มเกี่ยวกระหวัดพัวพันปลุกเร้าความปรารถนา ความสัมผัสวาบหวามทำให้นางอ่อนระทวย อาภรณ์ถูกถอดออกอย่างเร่งรีบ รู้ตัวอีกคราทั้งนางและเขาก็เปลือยเปล่า เขาดันตัวให้นางเอนกายนอนลงบนเตียง มือใหญ่ลูบไล้ไปตามผิวกายอ่อนนุ่ม ก้อนเต้าหู้อวบอิ่มสั่นไหวไปตามการขยับตัวยั่วเย้าให้เขาสัมผัสและเคล้นคลึงมัน ยอดอกชูชันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าด้วยปลายลิ้นก่อนจะดูดกลืนอย่างหิวกระหาย “อ๊า...” เหลียงจิ่วเม่ยส่งเสียงร้องครวญครางพลางบิดกายไปมาอย่างรัญจวน เมื่อหยอกเย้ายอดอกอวบอิ่มจนพอใจแล้ว เขาเลื่อนกายลงสู่ตรง