ดวงตาคมกริบเหลือบมองร่างแบบบางที่เคลื่อนไหวตัวเองภายในห้องอาหาร มือเรียวประคองจานที่มีข้าวสวยร้อนๆ อยู่บนนั้น แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย เมนูนี้ที่บ้านของเขามีอยู่เป็นประจำ เท่าที่ดูจากสีสัน รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของแม่บ้าน ถึงอย่างนั้นก็มีไอความร้อนที่บ่งบอกว่าแม้จะทำไว้ก่อนหน้านี้หลายชั่วโมง แต่พอนำมาทานใหม่ ก็มีการอุ่นอาหารให้ร้อนเหมือนเดิม
ผัดคะน้าหมูที่เจ้าสาวหมาดๆ อ้างว่าเป็นคนทำก็ดูน่าทาน ก้านคะน้ามีการปลอกอย่างใส่ใจ เนื้อหมูที่ถูกหั่นชิ้นก็ดูพอดีคำ "ไม่เห็นเฮียบอกรักเลยค่ะว่าภูพิงค์ไลน์หาตอนที่เราอยู่บ้านของรัก" "แล้วมันสำคัญแบบไหน" "รักไม่รู้นี่คะว่าเฮียเข้าใจว่าเราจะทานมื้อค่ำที่บ้านของรักไปเลย" "แล้วเหตุผลอะไรที่ฉันต้องซื้อของกลับไปที่บ้านของเธอตั้งหลายอย่างทั้งที่เธอพยายามย้ำว่าที่บ้านอยู่กันแค่สามคน" คำพูดของคนตัวโตทำคนฟังชะงักไปทันที จริงสิ ตอนที่เขาพาเธอไปที่ร้านอาหารระดับห้าดาว เขาสั่งอาหารหลายเมนู ในขณะที่เธอพยายามบอกตั้งหลายครั้งว่าที่บ้านมีกันแค่สามคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องซื้อติดไม้ติดมือไปหลายอย่างเพราะจะทานไม่หมด ไม่ทันคิดว่าที่ซื้อเยอะเพราะเขาจะไปทานข้าวที่นั่น "รักแค่ไม่คิดว่าคนระดับเฮียจะอยากไปนั่งกินข้าวที่บ้านของรัก" เจ้าสาวหมาดๆ เริ่มรู้สึกผิด "เหตุผลของฉัน แค่คิดว่าเธออาจจะอยากทานข้าวพร้อมกับครอบครัวก็เลยอยากตามใจ" ดวงตากลมโตตวัดขึ้นจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาทันที หัวใจดวงน้อยเต้นแรงในตอนที่สบตากัน เขาทำเพื่อเธองั้นเหรอ อะไรจะเพอร์เฟคถึงขนาดนั้น ทั้งหล่อทั้งรวย พยายามเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นอีกต่างหาก เหมือนว่าเธอจะโชคดีเหมือนที่แม่บอกเลยนะยัยรัก! "รักขอโทษนะคะที่มองเฮียผิดไป" เขาเพียงแต่ปรายตามอง จากนั้นก็ก้มหน้าสนใจจานอาหารของตัวเองแทน เปี่ยมรักกระตือรือร้นตักอาหารแล้วนำไปวางบนจานของอีกฝ่าย เป็นการเรียกความสนใจจากเจ้าของใบหน้าคมคายได้อีกครั้ง "กลับคำ?" "..." "สบประมาทฉันไปแล้วก็เลยเปลี่ยนใจทีหลัง?" "ง้อต่างหาก" "..." "อะแฮ่ม" เสียงบุคคลที่สามส่งผลให้เปี่ยมรักหันขวับ แก้มนวลร้อนผ่าวเมื่อพบว่าภพนิพิฐกำลังเดินยิ้มเข้ามา "กำลังง้ออะไรกันอยู่ครับ" "กลับดึกเชียวนะ" ภูมิรพีทักทายผู้เป็นน้อง แวบหนึ่งที่ปรายตามองเมียหมาดๆ ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน เขาได้ยินชัดว่าเธอพูดคำว่าง้อ และการที่มีคนอื่นเข้ามาได้ยินด้วย คงอายอยู่มั้ง "งานยุ่งน่ะครับ เฮียมีเมีย ช่วงแรกผมคงยุ่งหน่อยเพราะต้องทำงานคูณสอง ขอข้าวเพิ่มสักจานได้ไหมครับ" "อ้อ นั่งสิเดี๋ยวรักตักให้" ชายกลางของบ้านหย่อนตัวบนโต๊ะอาหาร แอบมองอาหารบนจานของพี่ชายคนโตแล้วอมยิ้มออกมา มีเมียตักอาหารให้ หน้าตาระรื่นเชียวนะ! "ขอบคุณครับ เจ้อายุเท่าไหร่นะ ยี่สิบหกย่างยี่สิบเจ็ดปะ" "ค่ะ" เปี่ยมรักพยักหน้า จากนั้นก็หย่อนสะโพกลงนั่งบนเก้าอี้ของตัวเองตามเดิม "เฮียสามสิบสอง ผมสามสิบเต็ม ไอ้ภูยี่สิบสาม จริงๆ ผมอายุเยอะกว่า แต่ผมขอเรียกเมียเฮียว่าเจ้ตามไอ้ภูนะ" "อืม ได้สิ เรียกแบบไหนก็ได้ ว่าแต่ แล้วรักควรเรียกน้องชายคนกลางของเฮียภูมิแบบไหนดี" "ผมเป็นพี่ เรียกเฮียภพได้นะครับ" เปี่ยมรักหันกลับไปหาผู้ที่เป็นสามี เป็นเชิงขอความคิดเห็น และการกระทำของเธอ มันทำให้ภูมิรพีค่อนข้างพอใจ "ตามนั้น เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่ เรียกตามนั้นเลยก็แล้วกัน" แม้บนใบหน้าหล่อเหลาจะยังคงความเรียบเฉย ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังยิ้มได้ อย่างน้อยๆ การที่ก้าวขาเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วทุกคนดีกับเธอ มันก็เป็นอะไรที่ดีมากแล้วจริงๆ "ผัดคะน้านี่ฝีมือใครอ่ะ เจ้เหรอ?" "ค่ะ เป็นไงบ้าง รสชาติได้เรื่องไหม" "สำหรับผมก็โอเคนะ อร่อยมาก เฮียล่ะ อาหารฝีมือเมียถูกปากป่าว" การโยนคำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยส่งผลให้คนที่กำลังเคี้ยวข้าวหยุดค้าง ยิ่งยามที่เห็นดวงตากลมโตจ้องมองเขาเพื่อรอคำตอบ ความกดดันก็ยิ่งถาโถมเข้ามา ถ้าบอกว่าอร่อยมาก ไอ้ภพก็คงจะเล่าสู่ไอ้ภูฟัง พวกมันแซวไม่เลิกแน่ แต่ถ้าปากหนักบอกไปว่าเฉยๆ คนที่อุตส่าห์ตักอาหารง้อก็คงจะหน้างอ หาเรื่องลุกจากโต๊ะอาหารแล้วไปอาบน้ำนอนอ่านหนังสือแน่ๆ เลย เหมือนว่าเขาจะรู้ทัน! "เฮีย ตกลงกับข้าวฝีมือเมีย..." "อืม ก็อร่อยดี" ทันทีที่ภูมิรพีตอบกลับ คนที่กำลังรอคอยคำตอบก็ยิ้มกว้างออกมาทันที "เจ้รู้ใจเฮียนะเนี่ย ว่าแต่ แพลนมีตัวเล็กตามที่พ่อกับแม่ขอเลยป่าว" คราวนี้คนตัวเล็กเบิกตาโพลง หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ใครจะไปคิดกันว่าเขาจะถามแบบนี้ออกมา "อะ เอ่อ คือว่า..." "แน่นอน ฉันไม่เคยขัดพ่อขัดแม่อยู่แล้ว" เจ้าบ่าวหมาดๆ ตอบออกมาหน้าตาเฉย "ฮันแน่ คงเร่งมือเลยอ่ะดิ" "มะ ไม่ๆ คือว่า..." "จะเร่งคืนนี้แหละ" คำตอบแบบตรงไปตรงมาทำใบหน้าสวยร้อนผะผ่าว แก้มนวลเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เจ้าของคำตอบตักข้าวเข้าปากด้วยใบหน้าเรียบเฉย ส่วนคนที่เป็นฝ่ายตั้งคำถามและตั้งประเด็น เคี้ยวข้าวพลางอมยิ้มอย่างชอบใจ คนอย่างภูมิรพี จะมีเมียทั้งที พ่อแม่กลับคลุมถุงชนมันไม่น่าใช่ แม้คนอื่นๆ จะเข้าใจแบบนั้น แต่คนที่ช่างสังเกตแบบเขากลับคิดต่าง ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ใหญ่ของบ้านจะไม่อยากเลือกเมียด้วยตัวเอง บางครั้งเหตุผลที่ไม่ยอมปฏิเสธ เมียที่เฮียได้อาจจะเป็นสเปคของเฮียแบบที่ไอ้ภูมันพูดก็ได้! "...อย่าลีลา จานแค่ไม่กี่ใบถ้าจะใช้เวลานานขนาดนี้ปล่อยไว้เถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยให้แม่บ้านมาล้าง" คนที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตว่าคนที่บอกว่าจะจัดการเก็บกวาดครัวให้เรียบร้อยเหมือนเดิมก่อนใช้เวลานานเกินไป "รักบอกแล้วว่าเฮียไม่ต้องรอ" "เสียงดังแบบนี้ไม่เหมือนคนที่อยากง้อเท่าไหร่เลยนะ" ใบหน้างดงามหันกลับ เลยได้เห็นว่าสามีหมาดๆ จ้องดวงหน้าของเธอไม่วางตา "รักง้อแล้ว มันคนละส่วนกันค่ะ" "อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันเธอนะ" "ระ รู้ทันเรื่องอะไรคะ" "เรื่องที่เธอก็รู้อยู่แก่ใจ" คนฟังเบิกตาโพลง ลูกตาเกลือกกลิ้งไปมาไม่นิ่ง คนที่มองอยู่กดยิ้มที่มุมปากทันที "วันนี้ฉันไม่ได้เหนื่อยกับงาน ต่อให้เธอจะถ่วงเวลาจนดึก..." "...สุดท้ายก็โดนอยู่ดี""โอ้โห! นี่กล้าทำน้องเลยเหรอเฮีย...อ้าวเจ้!" เสียงของภูพิงค์ในประโยคท้ายส่งผลให้คนตัวโตที่ยืนหันหลังให้กับใครบางคนที่อาจจะอยู่ทางด้านหลังของเขาชะงักไป"อย่ามากวนตีน""อ้าวเฮีย พูดไม่เพราะเลยว่ะ เฮียคิดว่าน้องแกล้งว่างั้น?" ภูพิงค์เลิกคิ้วถามพลางยกยิ้มที่มุมปาก ท่าทีแบบนี้นั่นแหละที่ทำให้ภูมิรพียังคงอยู่ในอิริยาบทเดิม "เฮียกำลังจะบอกว่าเฮียไม่เชื่อน้องที่น้องเรียกเจ้งั้นเหรอ?" คนฟังชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด ไม่ได้สละเวลาคิดด้วยซ้ำว่าที่ภูพิงค์เรียกใครอีกคนจากทางด้านหลังมันคือเรื่องจริงรึเปล่า แต่คราวนี้เขาเลือกที่จะหันกลับไปยังทิศทางด้านหลังของตัวเองด้วยตัวของเขาเอง ครั้นพอดวงตาคมกริบประสานเข้ากับร่างแบบบางที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาจริงๆ ภูมิรพีชะงักไปทันที เสียงภายในห้องครัวเงียบลง ส่วนคนที่พึ่งจะเข้ามาใหม่ก็ได้แต่ยิ้มเจือนๆ กลับไปเช่นกัน "ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะค่ะ พอดีว่ารักอยากได้น้ำส้มเพิ่มก็เลยเดินลงมา" คนฟังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เห็นชัดเจนว่าหญิงสาวในชุดนอนสีขาวลายตัวการ์ตูนสีดำ เลี่ยงการสบตากับเขาอย่างชัดเจน "...เชิญ" ภูมิรพียอมหลีกทางจากพื้นที่หน้าตู้เย็นแต่โดยดี ส่
"ยิ้มอะไรอ่ะ" "แล้วคิดว่าไงล่ะ" คำพูดยอกย้อนของคนตัวโตส่งผลให้เจ้าสาวป้ายแดงเผลอถลึงตากลับ แต่ครั้นพอเห็นดวงตาคมหรี่ลงต่ำมองในระดับที่ต่ำกว่าลำคอระหง คนถูกมองรีบดันตัวลุกจากเตียงกว้าง ไม่สนแม้ว่าตนจะเปลือยเปล่า เลือกที่จะก้าวขาลงจากเตียงแล้วเดินนวยนาดเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็วคนที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนอย่างภูมิรพีไล่สายตามองตามหลังแบบไม่ละสายตา ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออีกครั้ง หน้าเป๊ะ หุ่นปัง สุดท้ายชายหนุ่มจำต้องละสายตาจากร่างเย้ายวนแล้วเหลือบมองที่แกนกายของตัวเองด้วยความหนักใจทั้งที่พึ่งจะปลดปล่อย แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ความใหญ่โตก็คงจะสู้ไม่ถอย ตั้งเด่นเป็นลำยาว เจ้าแกนกายยักษ์มันสั่งให้เขาสาวเท้าตามแล้วเข้าไปซ้ำอีกสักดอกสองดอกตรงไหนดีล่ะ อ่างอาบน้ำหรือเคาร์เตอร์ล้างหน้าที่มีเงาสะท้อนของกระจกดี ตรงไหนนะที่มันจะฟินและดีมากกว่ากัน!ใบหน้าหล่อเหลาหลุดความพอใจให้กับความคิดของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วบางความคิดที่หลุดเข้ามาในหัวก็ทำให้เขาแทบหุบยิ้มไม่ทัน"...ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวยัยนั่นก็หาว่าติดใจ ติดใจงั้นเหรอ เหอะ! ไม่มีทาง" ครึ่งชั่วโมงต่อมา"สรุป วันม
บ้าเอ้ย อีตาบ้า! เปี่ยมรักกรีดร้องในใจพลันแก้มนวลก็ร้อนผะผ่าว เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มที่มุมปาก ในจังหวะที่กำลังจะผละตัวออกห่าง อีกฝ่ายเลื่อนมือเข้ามาประคองสองแก้มนวลเนียน ดวงตากลมโตเบิกกว้างพลางตวัดขึ้นประสานกับเจ้าของมือเย็นที่เป็นเจ้าของพันธนาการ ในตอนที่สบตากันหัวใจดวงน้อยยิ่งเต้นรัวแรงไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาครอบครองเรียวปากนุ่มเอิบอิ่มอย่างรวดเร็ว"อื้อออ~" สัมผัสที่รวดเร็วแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนส่งผลให้ขาสวยอ่อนระทวยสัมผัสที่ปาก แต่คล้ายว่าเขากำลังดูดกลืนเรี่ยวแรงไปจากเธอจนหมดสิ้น เจ้าสาวป้ายแดงหลับตาพริ้ม ปล่อยให้ลิ้นสากรุกรานเข้ามาในโพลงปากบางโดยไร้การต่อต้านใดๆ จากเธอหมับ~"อื้อออ~" มือหนารั้งเอวคอดกิ่วเข้ามาประชิดลำตัว ขายาวมันคงสาวไปที่เบื้องหน้า ดันร่างแบบบางให้ขยับถอยหลัง ไม่นานนักขาสวยก็ประชิดกับเตียงกว้าง ท่อนขาแกร่งดันหุ่นเย้ายวนให้ล้มลงไปกับเตียง ตามด้วยร่างหนาที่ถาโถมตัวทาบทับลงไปส่งผลให้ความใหญ่โตบดกระแทกเข้ากับกลีบกุหลาบอวบนูนที่ถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงชั้นในอย่างดีและเนื้อผ้าอีกตัวที่สวมใส่อยู่ชั้นนอก"ระ รีบร้อนจังเลยนะคะ" คนที่พยายามไขว่คว
"เฮียภูมิแต่งงานกับรักเพราะแม่เบญและพ่อภีมอยากอุ้มหลาน จะบอกว่าที่ยอมให้แม่ของลูกเป็นรัก เพราะเฮียชอบรักแบบนั้นเหรอคะ?" ความตกใจกับคำพูดที่ได้ฟังส่งผลให้เปี่ยมรักย้อนถาม ใบหน้าขาวนวลแดงก่ำขึ้นมาเรื่อยๆ โดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัวแม้จะไม่ค่อยอยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ฟังเท่าไหร่นัก แต่คนอย่างภูมิรพีจะพูดเล่นๆ แบบนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา"แล้วเธอคิดว่าไงล่ะ""อ้าว..." คิ้วสวยขมวดยุ่ง มองคนตัวโตที่ยักคิ้วมองเธอด้วยท่าทีกำกวม"ฉันบอกไปแล้ว และฉันก็เป็นคนที่ไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ" "ดะ เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยวสิคะ" เปี่ยมรักคว้าหมับที่มือหนาเมื่อคนตัวโตเลื่อนมือลงไปที่ระดับเข็มขัด และเสียงปลดเข็มขัดนั่นแหละที่ทำให้เธอร้อนรนในประโยคหลังจนตั้งรั้งมือของเขาด้วยมือของตัวเองเกิดกลัวว่าผัวหมาดๆ จะแก้ผ้าต่อหน้าเธอขึ้นมา! "อะไร" "รักยังคุยกับเฮียภูมิไม่รู้เรื่องเลยนะคะ" "โตๆ กันแล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง" "อ้าว..." "แล้วมือนี่ยังไง อยากถอดให้เหรอ?""ไม่ใช่สักหน่อย" คนตัวเล็กรีบชักมือกลับ ลืมคิดไปว่ามือของเธอมันอยู่ในระดับที่ไม่ควรเท่าไหร่นัก แล้วไหนจะหน้าหล่อๆ นิ่งๆ ที่เป็นเสน่ห์ของเขา มันทำให้เธอ
"อ้าว..." เปี่ยมรักพึมพำตามหลังคนตัวโตที่ลุกจากโซฟาแล้วก้าวขายาวๆ ออกไปจากห้องนั่งเล่นในเวลาต่อมาหน้าตึงๆ กับคิ้วหนาเข้มที่ขมวดเข้าหากันยุ่ง ไม่เข้าใจเลยว่าคนตัวโตรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องอะไรถึงอย่างนั้นความรู้สึกเขินอายในสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งจะรับรู้เกี่ยวกับเธอมันก็ทำให้เปี่ยมรักลืมลงลึกค้นหาความหมายในท่าทีไม่พอใจที่คนตัวโตเพิ่งจะแสดงมันออกมามือเรียวยกขึ้นลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ความรู้สึกในใจมันต่อต้าน ต่อให้เธอจะอ่านหนังสือและเสพเนื้อหาสิบแปดบวกอย่างลึกซึ้ง ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้เก่งแบบในนางเอกนิยายสักหน่อยเนื้อหาในนิยาย นางเอกสายหื่นขย่มได้ขย่มดี แต่พระเอกก็ชอบซะด้วยสิ ทั้งรักทั้งหลง มีร้อยให้ร้อย มีล้านให้ล้าน หลงเมียหัวปักหัวปำ หรือเธอควรเอาอย่างนางเอกในหนังสือดี?"บ้าเอ้ย ยัยรักนี่!" มือเรียวตบเบาๆ ที่แก้มของตัวเองเป็นเชิงเรียกสติ เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ที่เผลอไปคิดเรื่องอะไรที่มันไร้สาระบรรยากาศบนโต๊ะอาหารในมื้อค่ำ ทุกคนยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบเดิม พ่อแม่สามียังคงพูดคุยหยอกล้อสร้างความคุ้นเคยไม่หยุดหย่อน น้องเล็กของบ้านยังขี้เล่นสร้างความเป็นกันเองจนผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นสะใภ้
มื้อเช้าผ่านพ้นไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนภายในบ้านภีมพลและเบญญามีร้านอาหารเล็กๆ ที่บรรยากาศแสนอบอุ่นที่ยังอยู่ในความดูแลหลังจากที่ปล่อยงานที่บริษัทให้ลูกๆ จัดการและดูแลภูมิรพีและภพนิพิฐสองหนุ่มวัยสามสิบกว่าสายเลือดนักธุรกิจโดยแท้ตอนนี้รับผิดชอบงานแทนพ่อแม่เต็มตัวภูพิงค์ที่เรียนจบมาไม่นานกำลังอยู่ในช่วงเข้าไปเรียนรู้งานตั้งเป้าว่า รออีกสักสองสามปีพอที่เด็กหนุ่มที่กำลังรักสนุกและอยากเที่ยวอย่างภูพิงค์อิ่มตัว ก็คงจะเข้ามาเรียนรู้อย่างจริงจังเพื่อช่วยพี่ๆ บริหารต่อไปบริษัทส่งออกอะไหล่ยนต์ เหมือนจะเข้าท่า เพราะเบญญาและภีมพลมีลูกสามคนล้วนเป็นหนุ่มๆ ทั้งสาม ผู้ชายก็คงจะถนัดและเรียนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของรถได้ไม่ยาก ทุกอย่างจึงเดินหน้าไปได้อย่างสวยงามและลงตัวหลังจากมื้ออาหาร ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของใครของมัน ส่วนคนที่พึ่งแต่งงานไปหมาดๆ พ่อและแม่กำชับอยู่บ่อยครั้ง ว่าควรใช้เวลานี้อยู่ด้วยกันเพื่อเรียนรู้กันและกันอ่านอะไรนักหนา อ่านไปอ่านมาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ภูมิรพีปรายตามองเมียสาวที่นั่งเหยียดขาบนโซฟาด้วยความสนใจทีวีจอใหญ่ภายในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ในขณะที่อีกคนกำลังอ่านห