ในขณะที่ผู้คนมากมายซึ่งเดินทางมาร่วมพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ต่างพากันทำหน้าเลิกลั่กกันทุกคนเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นของอีกฝ่าย ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าบ่าวในพิธีมงคลวันนี้
“เหตุใดท่านแม่ทัพจึงพูดเช่นนั้น ก็ท่านนั้นแหละคือเจ้าบ่าวและนี่คือเจ้าสาวของท่าน ฮ่องเต้ประทานสมรสพระราชทานให้หลงลืมไปแล้วหรือไร อย่ามัวแต่ยืนตะลึงในความงามของเจ้าสาวอยู่เลยรีบนำเข้าไปทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเร็วเข้าเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ยามอันเป็นมงคล”เสียงที่ตอบกลับมาราวกับว่าล่วงรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดีในขณะที่คนฟังถึงกับงงเป็นตาแตกครั้นได้ยินเช่นนั้น “เฮ้ย! จะบ้าเหรอนี่ฉันเป็นผู้หญิงนะไม่ใช่ผู้ชายจะมาเป็นเจ้าบ่าวได้อย่างไงกัน! ไม่เอา!”มี่อิงโวยวายขึ้นมาทันทีพร้อมหันหลังกลับจะเดินเข้าไปภายในจวน “เดี๋ยวก่อน!”เสียงเรียกดังกระหึ่มรั้งร่างไว้ให้รอดังอยู่ทางด้านหลัง และเสียงนั้นทำให้มี่อิงต้องหันหลังกลับมามองทันใดครั้นได้ยินเสียงของบุรุษ ร่างสูงใหญ่มหึมาในชุดเจ้าสาวเดินตรงเข้าไปหามี่อิง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าความสูงโดดเด่นช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับเมื่อแม่สาวน้อยมีความสูงอยู่แค่หน้าอกของเจ้าสาวร่างยักษ์เท่านั้น พร้อมร่างตรงหน้าค่อยๆ ย่อกายลงจนมาหยุดอยู่ในระดับที่สามารถมองเห็นหน้าเจ้าบ่าวได้อย่างถนัด ผ้าแดงที่ปิดหน้าถูกมือใหญ่เปิดออกพร้อมเผยใบหน้าของเจ้าสาวตัวโตปรากฏออกมาให้มี่อิงได้เห็นเต็มสองตา “นี่คือสมรสพระราชทานของข้าและท่านแม่ทัพที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้! เราสองต้องเข้าแต่งงานกันในวันนี้จะปฏิเสธข้าอย่างนั้นเหรอ! หากท่านปฏิเสธเหตุใดจึงยอมรับพระบรมราชโองการเสียตั้งแต่คราแรก อีกทั้งยังสวมชุดแต่งงานและมายืนรอรับข้าไปเข้าพิธีด้วย”เสียงห้าวกังวานใหญ่ถามกลับไป ท่ามกลางอาการตกใจสุดขีดของหญิงสาว จ้าวมี่อิงถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะรีบก้มลงสำรวจตัวเองและพบว่าบัดนี้ตัวเธอเองอยู่ในชุดแต่งงานสีแดงเพลิงของเจ้าบ่าว “เฮ้ย! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น! ทำไมฉันมาสวมชุดเจ้าบ่าวแบบนี้! ฉันเป็นผู้หญิงนะจะมาเป็นเจ้าบ่าวได้อย่างไงไม่นะ!!!!!”จ้าวมี่อิงแผดเสียงโวยวายกึกก้อง “ไม่นะ! ไม่นะ!!!!!”เสียงร้องโวยวายแผดเสียงดังก้อง ครืดดดดดด!!! เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือพร้อมเสียงเพลงดังโครมครามอยู่บนโต๊ะข้างเตียง พรึ่บ!!!! เปลือกตาที่ปิดสนิทพลันเปิดขึ้นทันใดพร้อมขนตางอนยาวกะพริบขึ้นลงติดต่อกัน ดวงตาสีชากวาดไปทั่วห้องนอนที่เธอกำลังนอนอยู่ในขณะนั้นก่อนจะรีบลุกพรวดพราดขึ้นมาจากเตียงนอนทันที เฮ้อ!!! เสียงถอนหายใจดังออกมาก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกโล่งใจ “ที่แท้ก็ฝันไปนี่เอง โชคดีนะที่เป็นแค่ความฝันไม่ใช่ความจริง ขืนต้องเจอเหตุการณ์พิลึกพิลั่นเหมือนในความฝันคงจะต้องเป็นไมเกรนตายแน่ๆ ถ้าเราต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น”หญิงสาวบ่นพึมพำพลางเหลือบสายตาไปยังโทรศัพท์มือถือของเธอที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบและกดปิดสัญญาณปลุกให้เงียบลง “ตั้งเวลาตื่นตอนหกโมงเช้าเพื่อที่จะลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน แต่ทำไมนาฬิกาดันปลุกตื่นตอนตีห้าหว้า แปลกจังเลย”หญิงสาวบ่นพลางส่ายศีรษะไปมา ร่างระหงเดินตรงไปเข้าห้องนอนเพื่อทำธุระส่วนตัวเตรียมตัวเดินทางไปทำงาน เพียงไม่นานมี่อิงในชุดฟอร์มของบริษัทสายการบินยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งสายการบินนี้ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจีน โดยรัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถึง 61.64% เครื่องแบบพนักงานต้อนรับของสายการบินดังกล่าวดูเรียบเก๋ และทะมัดทะแมง โดยเฉพาะชุดสูทสีเข้มที่คาดเข็มขัดสีแดงสด รับกับผ้าพันคอลายดอกไม้สีแดงบนผืนผ้าไหมสีกรมท่า พันรอบคอผูกปล่อยชายด้านข้างสวมหมวกสีกรมเข้มทำให้เปรี้ยวสะดุดตา ยิ่งเมื่อมาอยู่บนเรือนร่างกลมกลึงของจ้าวมี่อิงด้วยแล้ว คำว่านางฟ้าเหมาะสมกับเธออย่างยิ่งยวด “อือหือ! อิงอิงหนออิงอิงเธอเองก็สวยไม่เบาเลยนะเนี่ย นางฟ้าชัดๆ”หญิงสาวพูดอวยให้ตัวเองด้วยความภาคภูมิใจกับความสวยของเธอที่แม่และพ่อให้มา ร่างอรชรหันกลับไปคว้ากระเป๋าเดินทางสีดำซึ่งบรรจุข้าวเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอสำหรับการขึ้นบินแต่ละครั้ง และวันนี้ถือได้ว่าเป็นการขึ้นบินอย่างเป็นทางการครั้งแรกของมี่อิงหลังจากฝึกอบรมมานานกว่าสามเดือนด้วยคะแนนสูงสุดและความสามารถทางการใช้ภาษาต่างประเทศซึ่งเธอสามารถพูดได้ถึง 5 ภาษาด้วยกัน โดยหญิงสาวจะต้องเริ่มปฏิบัติงานในเที่ยวบินไฟท์ภายในประเทศไปตามเมืองและมณฑลต่างๆ ของจีนจนครบทุกท่าอากาศยานเป็นเวลาหกเดือนหลังจากนั้นจึงจะได้บรรจุเข้าปฏิบัติงานในเที่ยวบินระหว่างประเทศในระดับนานาชาติเป็นไปตามข้อกำหนดของสายการบินที่คัดพนักงานที่มีความสามารถทุกด้านซึ่งได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีภายใต้สถานการณ์ที่หลากหลาย หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางออกจากห้องนอนก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา ซึ่งมีรูปพ่อและแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปหมดแล้วตั้งอยู่ “ปะป๋า!มะม้า! วันนี้อิงอิงสวยไหม ตอนนี้หนูได้บรรจุเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินใหญ่ที่สุดของประเทศแล้วนะ ได้เงินเดือนบรรจุครั้งแรกตั้งสองหมื่นหยวนแหนะ ยังไม่รวมค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าไฟท์บินแต่ละเที่ยวด้วยนะ ปะป๋ามะม้าไม่ต้องห่วงอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้อิงอิงมีงานประจำที่ดีและมั่นคงมีรายได้สูงมากๆ ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องห่วงอีกต่อไป รักปะป๋ามะม้ามากนะคะอีกสองอาทิตย์เจอกัน... บายบาย” สาวน้อยคนงามพูดพลางส่งจูบไปให้ภาพถ่ายพ่อและแม่ก่อนจะก้าวออกจากห้องพักของเธอมุ่งหน้าไปสู่ท่าอากาศยานเซี่ยงไฮ้ผู่ตงเพื่อเริ่มทำงานในอาชีพแอร์โฮสเตสเป็นครั้งแรกพรืดดดด!!! คนงามไม่อาจทนนั่งเห็นภาพบาดตาตรงหน้าได้ต่อไป ร่างอวบอิ่มลุกพรวดพราดออกจากตั่งอย่างรวดเร็ว เดินหน้าตูมไม่สนใจมองผู้ใดเพื่อไปให้พ้นจากบริเวณงาน ท่ามกลางสายตาของหลัวอี้หลางเห็นอาการของญาติผู้น้องแสดงออกมาเช่นนั้น ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนตั่งติดกับร่างของจางเย่วฉิน แม่ทัพหนุ่มจากซุยโจวเห็นคนสวยตัวจริงสถิตอยู่ในร่างของผู้บัญชาการทัพมาโดยตลอด เพราะหินโลหิตที่อยู่ภายในอกเสื้อส่องแสงเรืองรองออกมาตลอดเวลาเมื่อได้พบกับมารโลหิต ท่าทางและความรู้สึกที่แสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตาของคนที่อยู่ในร่างนั้น ต้องตาต้องใจหลัวอี้หลางอย่างยิ่งยวด วินาทีแรกที่ได้เห็นทั้งดวงวิญญาณและร่างจริงของนางพร้อมกัน แม่ทัพหนุ่มไม่อาจละสายตาไปได้เลย ครั้นจะเข้าไปทำความรู้จักย่อมไม่เป็นการเหมาะสม มิสู้ทำความรู้จักนางจากร่างของสหายเก่ามิดีกว่าหรือไร ก่อนจะคว้าจอกสุราที่เทไว้จนเต็มหันไปหาร่างของจางเย่วฉิน “ท่านแม่ทัพเราสองคนไม่ได้พบกันเสียนาน เหล้าจอกนี้ข้าขอดื่มเพื่อเป็นการคาราวะ”หลัวอี้หลางพูดพร้อมยกถ้วยเหล้าชูขึ้นรั้งรออีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาเหลือบสายตามองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านหลัง ในข
ภายในงานเลี้ยงเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอารมณ์เบิกบานมากมายเพียงใด ท่ามกลางสายตาของขุนนางระดับใหญ่ของราชสำนักต้าถังต่างเดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้กันอย่างคับคั่ง “แม่ทัพจางดูเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ครั้งสุดท้ายที่เห็นกันล่าสุดก็เมื่อห้าปีก่อนที่อดีตฮ่องเต้มีรับสั่งด่วนให้กลับฉางอาน ดูรึครั้นมาพบกันอีกในครั้งนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่แตกต่างไปเลย ทำราวกับว่ากินยาอายุวัฒนะเข้าไปชะลอให้แลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ”ไต้อ๋องรับสั่งหยอกเย้า ในขณะที่จ้าวมี่อิงในร่างของจางเย่วฉินได้แต่ยิ้มบางๆ ส่งกลับไปให้อีกฝ่าย “ความเชื่อในเรื่องของยาอายุวัฒนะมีมาตั้งแต่สร้างแผ่นดินจนถึงยุคอนาคตต่างก็พยายามยื้อชีวิตให้อยู่ค้ำฟ้า จะพากันอยากมีชีวิตอมตะไปทำไม มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นผู้คนรอบข้างล้มตายไปต่อหน้าคนแล้วคนเล่ามันสนุกมากนักเหรอ”หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจ “ท่านอ๋องก็กล่าวเกินไป ข้าน้อยจะมีโอกาสได้กินยาอายุวัฒนะได้อย่างไร ความเชื่อเหล่านี้มีมานับตั้งแต่สร้างแผ่นดินแล้ว ทั้งเจ้าผู้ครองแคว้น ฮ่องเต้จากหลายราชวงศ์ต่างค้นหายานี้มาโดยตลอด หาวิธีปรุงยาเพื่อให้เกิดผลท
“สองร่างสลับวิญญาณ!”หลัวอี้หลางรำพึงอยู่ภายในใจ ดวงตาสีนิลคมกล้ายังคงจ้องเขม็งไปที่ร่างของจางเย่วฉินและร่างของมี่อิงอยู่เช่นนั้น จนทำให้ทั้งสองต่างหันกลับมามองหน้ากัน เพราะสายตาของอีกฝ่ายมองราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างของคนทั้งคู่ “คนผู้นี้เขาเป็นสหายของท่านอย่างนั้นเหรอ”จ้าวมี่อิงกระซิบถามกลับไป แม่ทัพรูปงามในร่างของสตรีสาวแสนสวยพยักหน้าขึ้นลงเป็นการยอมรับ “ใช่! อี้หลางเป็นสหายของข้า เคยออกรบทำศึกด้วยกันมาแล้วมากมายก็สนิทสนมพอสมควรในฐานะแม่ทัพด้วยกัน”จางเย่วฉินกระซิบตอบกลับไป “ออ..อย่างนั้นเหรอ แสดงว่าเขาก็พอไว้ใจได้นะสิ”มี่อิงกระซิบถาม “แม้จะเป็นสหายเคยร่วมรบแต่ข้าก็ไม่ได้ไว้วางใจเสียทุกเรื่อง บางเรื่องก็ต้องระแวดระวังตัวเองให้จงหนักเพราะตระกูลหลัวเป็นขุนนางเก่าที่เคยยิ่งใหญ่ในสมัยราชวงศ์สุย แม้ว่าจะเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อต้าถังแล้วก็ตามแต่ก็ไม่อาจวางใจได้”จางเย่วฉินตอบกลับไป จ้าวมี่อิงพยักหน้าขึ้นลงครั้นได้ยินเช่นนั้น “แม่ทัพสมัยโบราณเขาจะต้องเป็นโรคหวาดระแวงแบบนี้กันทุกคนเลยอย่างนั้นเหรอ บอกว่าเป็นแต่ก็ไม่อาจวางใจได้วุ้ย”หญิงสาวรำพึงอยู่ภา
ในขณะที่จางเย่วฉินซึ่งอยู่ในร่างของจ้าวมี่อิงเดินตรงไปที่งานเลี้ยงก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู สายตามองหาร่างของตัวเองที่เดินเข้ามาภายในงานก่อนหน้านั้น ด้วยความเป็นห่วงนางมารน้อยตัวป่วน “ท่านเข้ามาได้แล้วเหรอ”เสียงของบุรุษดังแทรกขึ้นอยู่ทางด้านหลัง จางเย่วฉินหันกลับไปมองตามเสียงทันใดและพบว่าหลัวอี้หลางยืนอยู่ด้านหลังของเขา ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงพร้อมเอ่ยตอบ “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะเข้ามาไม่ได้”จางเย่วฉินตอบกลับไป และคำตอบดังกล่าวทำให้หลัวอี้หลางซึ่งสามารถเห็นจางเย่วฉินที่อยู่ในร่างของสตรีสาวแสนสวยตรงหน้าค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา สายตาจ้องร่างของมี่อิงด้วยความพึงพอใจ ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าสตรีสาวนางนี้งดงามยิ่งนัก ไม่เคยเห็นหญิงใดที่มีความงามผิดแปลกไปจากสตรีอื่นราวกับว่านางไม่ใช่มนุษย์ ทว่าแม้จะพึงพอใจเพียงใดจำต้องเก็บงำเอาไว้ด้วยเพราะดวงจิตที่สถิตอยู่ในร่างนี้กลับเป็นผู้บัญชาการทัพแห่งต้าถังในขณะที่ดวงจิตของคนงามตัวจริงกลับไปอยู่ในร่างของแม่ทัพหนุ่มลือชื่อผู้นี้แทน เพราะฉะนั้นการเข้าถึงตัวนางจะต้องมุ่งตรงไปที่ร่างของจางเย่วฉิน “ท่านก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเ
ร่างสูงใหญ่สวมอาภรณ์สีน้ำตาลทองปักดิ้นลวดลายด้วยไหมทองเช่นเดียวกัน ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกขานที่ดังออกมาเมื่อครู่ ดวงตาของทั้งสองฝ่ายสบประสานเข้าหากันก่อนจะปรากฏรอยยิ้มของคนผู้นั้นอยู่บนใบหน้าพร้อมก้าวเดินตรงเข้ามาหา “ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะญาติผู้น้อง เจ้าเติบใหญ่เต็มที่แล้วจนข้าเกือบจำไม่ได้เมื่อเพ่งพิศคราแรก”คำทักทายพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายท่ามกลางความแปลกใจของอีกฝ่าย “ท่านเป็นใคร! เราสองเกี่ยวดองเป็นญาติกันหรอกเหรอ จึงกล่าวคำทักทายกับข้าเมื่อครู่ที่ผ่านมาเช่นนั้น”เสี้ยนจูถามกลับไปพยายามปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวานเพื่อไม่ให้เสียมารยาทกับแขกที่ได้รับเชิญในวันนี้ ซึ่งล้วนมาจากชนชั้นสูงด้วยกันทั้งสิ้น ใบหน้าคมคายยกยิ้มออกมาเล็กน้อยครั้นได้ยินอีกฝ่ายถามกลับมาเช่นนั้น “ตอนข้านำกองทัพไปรบทางใต้ เจ้าเพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่น เวลาผ่านไปนานถึงสี่ปีก็สมควรอยู่ที่ไม่อาจจะทำให้จดจำญาติผู้พี่เช่นข้าได้ เจ้าจำพี่อี้หลางไม่ได้แล้วเหรอหลินเอ๋อ มารดาของเจ้ามาจากสกุลหลัวเช่นนี้แล้วไม่ได้เกี่ยวดองญาติกันหรืออย่างไร”เสียงนั้นบอกตัวตนออกไปให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้ หลัวอี้หลาง แม่
ในขณะเดียวกันรถม้าคันใหญ่ค่อยๆ ขับเคลื่อนเข้ามาจอดตรงกำแพงไม่ไกลหน้าประตูจวนของไต้อ๋องเท่าไรนัก ก่อนจะหยุดนิ่งลงพร้อมบันไดนำเข้ามาเทียบท่าอย่างรวดเร็ว พรึ่บบบ!!! ม่านที่ใช้ปิดตรงประตูทางเข้าถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงใหญ่ของผู้บัญชาการแห่งต้าถัง กำลังเดินออกมาจากตัวรถม้าพร้อมก้าวลงบันไดมายืนอยู่หน้าประตูจวนไต้อ๋อง พร้อมสตรีในชุดขาวก้าวเดินตามหลังมาติดๆ โดยมีร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพผู้กล้าเดินอยู่นำหน้าบังร่างที่กำลังเดินตามหลังจนมิด ในขณะที่เสี้ยนจูเพ่ยหลินเหลือบสายตาขึ้นมามองเข้าให้พอดีก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความดีใจขึ้นมาทันใดเมื่อเห็นบุรุษที่นางเฝ้ารอคอยมาโดยตลอดเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้สมดั่งความตั้งใจ “ท่านแม่ทัพ!”ธิดาไต้อ๋องเรียกบุรุษในดวงใจพลางผละออกจากญาติผู้พี่รีบเดินเข้าไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ทัพอย่างนั้นเหรอ”หลัวอี้หลางหันกายกลับมามองตามหลังญาติผู้น้องของเขาอย่างรวดเร็ว และสายตากระทบเข้ากับร่างสูงใหญ่ของผู้บัญชาการทัพแห่งต้าถังที่กำลังกล่าวขวัญถึง กำลังเดินตรงมาที่ประตูจวนก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเข้าให้พอดี รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าด
ในขณะเดียวกัน จวนตระกูลจางร่างอรชรเจ้าของหุ่นนาฬิกาทราย อกภูเขาไฟขนาด 36 นิ้วคัพดี สองเต้าชูสล้างตั้งชันเต่งตึงถูกปลายนิ้วเรียวสวยค่อยๆ ไล้เครื่องหอมไปทั่วผิวกายอันขาวโพลนลออตา ผิวเนื้อเรียบเนียนนุ่มและใสราวกระเบื้องเคลือบ อาภรณ์ขาวสูงค่าทอด้วยไหมควันโปร่งแสงเปล่งประกายระยิบระยับยามต้องแสงสว่างถูกสวมลงบนเรือนร่างงาม ดวงตาสีชาคู่สวยยืนมองสตรีที่สะท้อนอยู่บนกระจกเงาด้วยความรู้สึกพึงพอใจและหวงแหนร่างนี้เป็นอย่างยิ่ง “นางมารน้อยเจ้างามมากถึงเพียงนี้เชียว ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดจึงห่วงแหนร่างของตัวเองเป็นยิ่งนัก เพราะแม้แต่ตัวข้าเมื่อมาอยู่ในร่างนี้ยังมีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน ดูจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ”จางเย่วฉินพูดอยู่คนเดียวตรงหน้ากระจก แอดดดด!!! เสียงเปิดประตูห้องดังทำลายความเงียบพร้อมร่างสูงใหญ่ของจางเย่วฉิน สวมอาภรณ์สีขาวปักเหลี่ยมลวดลายงามวิจิตร เกล้าผมมวยขึ้นสูงครอบด้วยกวานสีเงินทรงอลังการในฐานะที่เป็นขุนนางชั้นสูงและยังเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลขุนนางเก่าแก่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน จวบจนกระทั่งมาเป็นใหญ่ในยุคสมัยแผ่นดินของต้าถัง “เจ้าเข้ามาทำไม
และประโยคดังกล่าวทำให้มี่อิงคลายกังวลลงอย่างทันทีทันใด “เฮ้อ! โล่งอกไปทีนึกว่าท่านจะให้ข้าฉายเดี่ยวเสียแล้ว” มี่อิงพูดพลางถอนหายใจออกมาอย่างแรงครั้นได้ยินเช่นนั้นจนทำให้คนฟังส่ายหน้าไปมา “ขืนปล่อยเจ้าไปแต่เพียงผู้เดียว ข้าจะต้องกลายเป็นที่ขบขันของผู้คนเพราะเจ้าชอบพูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง” “อ้าว…คนเราก็ต้องใช้เวลาปรับตัว ท่านก็ต้องให้เวลาข้าค่อยๆ เรียนรู้ด้วยสิถึงจะถูก จะให้ข้าเปลี่ยนตัวเองให้ทันใจสั่งปุ้บได้ปั้บไม่ได้หรอก”มี่อิงเถียงกลับไป “เกือบเดือนแล้วที่เจ้าและข้าสลับร่างกันยังเรียนรู้ไม่พออีกเหรอ อีกอย่างข้าไม่มีวันปล่อยให้ร่างของข้าไปไหนตามลำพังอย่างแน่นอนป้องกันเจ้าคิดจะหลบหนีไปจากข้า ร่างของข้าอยู่ที่ไหน..ข้าก็ต้องอยู่ด้วย”จางเย่วฉินตอบกลับไป จ้างมี่อิงทำปากยื่นออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย “ทำอย่างกับว่าข้าปลื้มร่างของท่านนักละ ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย ตรงกันข้ามข้าต่างหากที่จะต้องติดตามร่างของตัวเองไปทุกที่ที่ท่านไป”มี่อิงตอบกลับไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ามองแปบเดียวก็รู้ว่าเสี้ยนจูผู้นั้นดูปลื้มท่านมากเลย
“ตอนนี้เหตุการณ์ที่เจ้าบอกข้าเป็นจริงทุกอย่าง แล้วที่บอกว่าองค์หญิงน้อยพระองค์นี้จะสิ้นพระชนม์เมื่อทรงมีพระชนมายุ 7 เดือนรู้ไหมว่าด้วยสาเหตุอะไร”จางเย่วฉินถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เออ...จ้าวมี่อิงนั่งอ้ำอึ้งไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น “ประวัติศาสตร์ช่วงนี้มีบันทึกแตกต่างกันหลายฉบับ บางบันทึกก็บอกว่าเป็นฝีมือของอู่เจาอี๋ลงมือฆ่าลูกตัวเองเพื่อใส่ร้ายหวังฮองเฮาจะได้โค่นอำนาจลงและให้ตัวเองได้รับการสถาปนาแทน บางบันทึกก็บอกว่าคนใกล้ตัวนางเป็นคนทำเพื่อหวังผลในราชบัลลังก์ แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปจะต้องไม่เกิดผลดีอย่างแน่นอน เดี๋ยวเส้นประวัติศาสตร์ที่เคยเดินอยู่ดีๆ จะเปลี่ยนไปเสียหมด”จ้าวมี่อิงครุ่นคิดอยู่ภายในใจ “เจ้านิ่งเงียบเช่นนี้แสดงว่าเป็นสิ่งเลวร้ายกระทบถึงราชบัลลังก์ของฝ่าบาทใช่หรือไม่ จงบอกข้ามานางมารน้อย”จางเย่วฉินเป็นฝ่ายเอ่ยถามทำลายความเงียบ ในขณะที่หญิงสาวสบจังหวะที่เขาพูดขึ้นมาพอดีทำให้มีตัวช่วยรีบแก้สถานการณ์ให้แลดูกลมกลืนและน่าเชื่อถือ “ข้าเงียบก็เพราะว่าสาเหตุที่องค์หญิงน้อยผู้นี้สิ้นพระชนม์ลงเพราะมองไม่เห็นว่าเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ เห็นแต่เพียง