หอศิลปะสังคีตจูโหม่วหลัน
รถม้าจากจวนตระกูลจางเคลื่อนตัวมาหยุดลงตรงหน้าประตูทางเข้าหอศิลปะสังคีต ซึ่งตั้งอยู่หัวมุมถนนแต่อยู่ตรงใจกลางเมืองในย่านการค้าขายอันเป็นหัวใจสำคัญของฉางอาน
ในขณะที่มีผู้คนมากมายต่างพากันเดินเข้าออกกันอย่างคับคั่งด้วยเพราะหอสังคีตจูโหม่วหลันแห่งนี้มีชื่อเสียงที่สุดในฉางอาน เต็มไปด้วยนักกวี นักดนตรีและการละเล่นต่างๆ ฟ้อนรำ ดีดฉิน ผีผา กูเจิ้งและเครื่องดนตรีที่หายากมากมายล้วนอยู่ในหอสังคีตนี้ด้วยกันทั้งสิ้นพรึ่บ!!! ประตูผ้าถูกเปิดออกทันทีที่รถม้าหยุดการเคลื่อนตัวเมื่อบ่าวรับใช้ของจวนนำบันไดมาวางเทียบทางขึ้นเพื่อให้คนด้านในลงถึงพื้นได้อย่างสะดวกใบหน้าหล่อเหลาของจางเย่วฉินหันไปมองตรงหน้าต่าง เห็นผู้คนมากมายเดินเข้าออกกันอย่างคับคั่ง ประตูทางเข้าของหอสังคีตมีชายงามและหญิงงามออกมายืนรอต้อนรับแขกผู้มาเยือนกันอย่างครึกครื้นกันเลยทีเดียว“ว้าว! น่าตื่นเต้นจังเลยที่จะได้เห็นหอสังคีตในยุคโบราณ เห็นแต่ในสารคดีไม่รู้ว่าของจริงจะเป็นอย่างไง ว่าแต่ยังไม่รู้เลยแฮะว่าเงินในยุคนี้เขาใช้กันอย่างไง ยุคนี้ไม่มีวีแชท ไม่มีแอพที่จะสแกนจ่ายเหมในขณะเดียวกัน จวนตระกูลจางร่างอรชรเจ้าของหุ่นนาฬิกาทราย อกภูเขาไฟขนาด 36 นิ้วคัพดี สองเต้าชูสล้างตั้งชันเต่งตึงถูกปลายนิ้วเรียวสวยค่อยๆ ไล้เครื่องหอมไปทั่วผิวกายอันขาวโพลนลออตา ผิวเนื้อเรียบเนียนนุ่มและใสราวกระเบื้องเคลือบ อาภรณ์ขาวสูงค่าทอด้วยไหมควันโปร่งแสงเปล่งประกายระยิบระยับยามต้องแสงสว่างถูกสวมลงบนเรือนร่างงาม ดวงตาสีชาคู่สวยยืนมองสตรีที่สะท้อนอยู่บนกระจกเงาด้วยความรู้สึกพึงพอใจและหวงแหนร่างนี้เป็นอย่างยิ่ง “นางมารน้อยเจ้างามมากถึงเพียงนี้เชียว ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดจึงห่วงแหนร่างของตัวเองเป็นยิ่งนัก เพราะแม้แต่ตัวข้าเมื่อมาอยู่ในร่างนี้ยังมีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน ดูจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ”จางเย่วฉินพูดอยู่คนเดียวตรงหน้ากระจก แอดดดด!!! เสียงเปิดประตูห้องดังทำลายความเงียบพร้อมร่างสูงใหญ่ของจางเย่วฉิน สวมอาภรณ์สีขาวปักเหลี่ยมลวดลายงามวิจิตร เกล้าผมมวยขึ้นสูงครอบด้วยกวานสีเงินทรงอลังการในฐานะที่เป็นขุนนางชั้นสูงและยังเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลขุนนางเก่าแก่สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน จวบจนกระทั่งมาเป็นใหญ่ในยุคสมัยแผ่นดินของต้าถัง “เจ้าเข้ามาทำไม
และประโยคดังกล่าวทำให้มี่อิงคลายกังวลลงอย่างทันทีทันใด “เฮ้อ! โล่งอกไปทีนึกว่าท่านจะให้ข้าฉายเดี่ยวเสียแล้ว” มี่อิงพูดพลางถอนหายใจออกมาอย่างแรงครั้นได้ยินเช่นนั้นจนทำให้คนฟังส่ายหน้าไปมา “ขืนปล่อยเจ้าไปแต่เพียงผู้เดียว ข้าจะต้องกลายเป็นที่ขบขันของผู้คนเพราะเจ้าชอบพูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง” “อ้าว…คนเราก็ต้องใช้เวลาปรับตัว ท่านก็ต้องให้เวลาข้าค่อยๆ เรียนรู้ด้วยสิถึงจะถูก จะให้ข้าเปลี่ยนตัวเองให้ทันใจสั่งปุ้บได้ปั้บไม่ได้หรอก”มี่อิงเถียงกลับไป “เกือบเดือนแล้วที่เจ้าและข้าสลับร่างกันยังเรียนรู้ไม่พออีกเหรอ อีกอย่างข้าไม่มีวันปล่อยให้ร่างของข้าไปไหนตามลำพังอย่างแน่นอนป้องกันเจ้าคิดจะหลบหนีไปจากข้า ร่างของข้าอยู่ที่ไหน..ข้าก็ต้องอยู่ด้วย”จางเย่วฉินตอบกลับไป จ้างมี่อิงทำปากยื่นออกมาทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย “ทำอย่างกับว่าข้าปลื้มร่างของท่านนักละ ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย ตรงกันข้ามข้าต่างหากที่จะต้องติดตามร่างของตัวเองไปทุกที่ที่ท่านไป”มี่อิงตอบกลับไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้ามองแปบเดียวก็รู้ว่าเสี้ยนจูผู้นั้นดูปลื้มท่านมากเลย
“ตอนนี้เหตุการณ์ที่เจ้าบอกข้าเป็นจริงทุกอย่าง แล้วที่บอกว่าองค์หญิงน้อยพระองค์นี้จะสิ้นพระชนม์เมื่อทรงมีพระชนมายุ 7 เดือนรู้ไหมว่าด้วยสาเหตุอะไร”จางเย่วฉินถามกลับไปด้วยความอยากรู้ เออ...จ้าวมี่อิงนั่งอ้ำอึ้งไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น “ประวัติศาสตร์ช่วงนี้มีบันทึกแตกต่างกันหลายฉบับ บางบันทึกก็บอกว่าเป็นฝีมือของอู่เจาอี๋ลงมือฆ่าลูกตัวเองเพื่อใส่ร้ายหวังฮองเฮาจะได้โค่นอำนาจลงและให้ตัวเองได้รับการสถาปนาแทน บางบันทึกก็บอกว่าคนใกล้ตัวนางเป็นคนทำเพื่อหวังผลในราชบัลลังก์ แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปจะต้องไม่เกิดผลดีอย่างแน่นอน เดี๋ยวเส้นประวัติศาสตร์ที่เคยเดินอยู่ดีๆ จะเปลี่ยนไปเสียหมด”จ้าวมี่อิงครุ่นคิดอยู่ภายในใจ “เจ้านิ่งเงียบเช่นนี้แสดงว่าเป็นสิ่งเลวร้ายกระทบถึงราชบัลลังก์ของฝ่าบาทใช่หรือไม่ จงบอกข้ามานางมารน้อย”จางเย่วฉินเป็นฝ่ายเอ่ยถามทำลายความเงียบ ในขณะที่หญิงสาวสบจังหวะที่เขาพูดขึ้นมาพอดีทำให้มีตัวช่วยรีบแก้สถานการณ์ให้แลดูกลมกลืนและน่าเชื่อถือ “ข้าเงียบก็เพราะว่าสาเหตุที่องค์หญิงน้อยผู้นี้สิ้นพระชนม์ลงเพราะมองไม่เห็นว่าเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ เห็นแต่เพียง
จวนตระกูลจางปัง!!!! ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะหนังสือเสียงดังสนั่นจนร่างใหญ่ที่เอาแต่นั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่ตลอดเวลาสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันทีแต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าสบตากับดวงตาสีชาคู่สวยที่กำลังจ้องเขม็งอยู่ในขณะนี้ “วันนี้นอกจากจะทำให้ข้าต้องจ่ายเงินมากมายให้กับหอฝูหรงแล้ว ยังนำร่างของข้าวิ่งไปทั่วทั้งเมืองฉางอาน เหตุใดต้องหาเรื่องให้ข้าปวดหัวไม่เว้นแต่ละวันเช่นนี้นางมารน้อย อยู่อย่างสงบสุขสักวันไม่ได้หรืออย่างไง”จางเย่วฉินถามอีกฝ่ายกลับไปพลางยกมือขึ้นกุมขมับ นั่งหันข้างไม่อยากเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ “อิงอิงขอโทษพี่ฉิน”จ้าวมี่อิงในร่างของแม่ทัพผู้กล้าพูดขอโทษเสียงอ่อยๆ ด้วยความสำนึกผิด ในขณะที่คนฟังหายปวดหัวขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นออกมา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มระรื่นด้วยความดีใจที่นางมารน้อยเรียกขานตัวเองและเรียกคำแทนตัวตนเขาแบบนั้น พลางหันร่างกลับมานั่งตัวตรงตามเดิมก่อนจะหรี่ตามองร่างของตัวเองพร้อมเอ่ยขึ้น “ในเมื่อรู้ตัวว่าทำความผิดก็ให้มันแล้วไป ต่อไปอย่าสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีกแค่วันนี้เจ้าก็ทำให้ข้าตามแก้ไม่หยุดตั้งแต่เหยียบเข้าจวนของข้าแล้ว มิห
ร่างสูงใหญ่ของจางเย่วฉินก้าวออกมาจากห้องเก็บเครื่องประทินโฉมเพื่อเลือกเครื่องหอมสำหรับใช้กับเส้นผมและร่างกายตลอดจนสิ่งของทุกอย่างที่บุรุษสามารถใช้ได้ เพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับแม่ทัพหนุ่มชื่อก้อง และเธอยืนฟังการตอบโต้ระหว่างทั้งสองอยู่หลังร้านพร้อมกับเจ้าหอฝูหรงซึ่งรู้จักจางเย่วฉินเป็นอย่างดี ทำให้เธอล่วงรู้รายละเอียดจากปากของเจ้าหอเพิ่มเติมว่าเสี้ยนจูเพ่ยหลินตกหลุมรักแม่ทัพแห่งต้าถัง และมีแรงปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะสมรสกับจางเย่วฉินให้จงได้ จ้าวมี่อิงเลียนแบบกิริยาของแม่ทัพหนุ่มที่มักใช้อยู่เป็นประจำ คือการใช้มือไพล่เอาไว้ทางด้านหลังอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามด้วยความเคยชินและเธอก็สวมบทบาทเป็นเจ้าของร่างดังกล่าวทันที ท่ามกลางความตกใจของธิดาไต้อ๋อง ครั้นเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำลังเดินออกมาจากหลังร้าน ใบหน้าหล่อเหลาเกินต้านจนทะลุเบ้าตาที่ยากนักจะมีบุรุษใดมีใบหน้าที่คมเข้มและสูงใหญ่กว่าผู้คนทั่วไปเช่นนี้ หากแม้นคนผู้นั้นไม่ใช่แม่ทัพผู้กล้าจางเย่วฉินเพียงหนึ่งเดียวของนาง “ทะ..ท่าน...นี่...ท่านคะ..คือ”เสี้ยนจูเพ่ยหลินถึงกับออกอาการติดอ่างขึ้นมาโดยพลั
หอฝูหรงอาคารสูงสามชั้นทำจากไม้ทั้งหมดก่อสร้างด้วยฝีมือช่างในยุคราชวงศ์ถัง ลวดลายที่แกะสลักบนลายไม้บอกเล่าเอกลักษณ์และความเป็นตัวตนของยุคทองอันรุ่งเรืองเป็นอย่างดี ช่างเป็นที่น่าเสียดายที่งานอันทรงคุณค่ายิ่งในแผ่นดินต้าถังหลงเหลือไปถึงยุคปัจจุบันน้อยยิ่งนัก ทุกสิ่งในยุคนี้กลายเป็นของล้ำค่าและคู่ควรต่อการจดจำยิ่ง รถม้าจากจวนไต้อ๋องมาหยุดอยู่ตรงหน้าหอฝูหรง พร้อมร่างงามของสตรีสาวชั้นสูงภายใต้อาภรณ์อันสูงค่าพรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องประดับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าค่อยๆ เดินนวยนาดลงจากรถม้าก่อนจะชายหางตามองผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมากันอย่างขวักไขว่ด้วยความรังเกียจ พลางทอดสายตามองทางเข้าหอฝูหรงเห็นชาวเมืองกำลังยืนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อซื้อเครื่องประทินโฉมจากหอมีชื่อดังกล่าวกันอย่างคับคั่ง “ไล่พวกชั้นต่ำออกไปให้ห่างจากประตู กลิ่นสาบสางของพวกไพร่เวลาเดินเข้าไปจะได้ไม่ถูกกายข้า!”เสี้ยนจูเพ่ยหลินบอกนางกำนัลคนสนิทที่ติดตามพลางยกมือขึ้นอังปลายจมูกด้วยรู้สึกขยะแขยงชาวเมืองที่ไร้บรรดาศักดิ์ แลดูต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาของนางยิ่งนัก ทันทีที่ได้รับคำสั่งเช่นนั้นบรรดาบ่าวรับใช้ของจวนไต้อ๋
ทว่ามี่อิงไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดที่เพิ่งพูดออกไปนั้นทำให้จางเย่วฉินซึ่งอยู่ในร่างของเธอในขณะนี้มีอาการใจหายวาบขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้นก่อนจะรีบเรียกสติและความเป็นตัวตนของตัวเองกลับคืน “เมื่อวันนั้นมาถึงข้าจะจุดดอกไม้ไฟฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนที่เจ้าออกไปจากชีวิตของข้าเสียทีนางมารน้อย”จางเย่วฉินพูดพร้อมเดินเอามือไพล่หลัง หันหลังเดินกลับออกจากตรอกดังกล่าว โดยมีสายตาของมี่อิงมองตามด้วยความหมั่นไส้ “อีตาแม่ทัพบ้า! เล่นจุดดอกไม้ไฟฉลองที่ฉันไปจากชีวิตเลยเหรอ.เชอะ! คิดว่าทำเป็นคนเดียวหรือไง ฉันก็จะจุดประทัดเอาสักแสนนัดไปเลย จุดมันตรงหน้าจวนตระกูลจางก่อนจะกลับบ้านนี่แหละ”จ้าวมี่อิงยืนบ่นพึมพำ “จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม! เดี๋ยวก็โดนมือสังหารดักจับไปฆ่าขึ้นมาหรอก!”จางเย่วฉินตวาดกลับมา แต่แล้วเพียงครู่แม่ทัพหนุ่มพลันเปลี่ยนใจหันหลังกลับเดินตรงเข้ามาหาร่างของตัวเองกระชากข้อมือใหญ่พร้อมใช้เชือกที่เตรียมมาด้วยตรงเข้าผูกเงื่อนไว้ที่ข้อมือของตัวเองและจ้าวมี่อิงท่ามกลางเสียงโวยวายของอีกฝ่าย “ท่านมาผูกข้อมือของท่านกับข้าเอาไว้แบบนี้ทำไมท่านแม่ทัพ”หญิงสาวถามกลับไป “ก็ผูกเอา
หอศิลปะสังคีตจูโหม่วหลันรถม้าจากจวนตระกูลจางเคลื่อนตัวมาหยุดลงตรงหน้าประตูทางเข้าหอศิลปะสังคีต ซึ่งตั้งอยู่หัวมุมถนนแต่อยู่ตรงใจกลางเมืองในย่านการค้าขายอันเป็นหัวใจสำคัญของฉางอานในขณะที่มีผู้คนมากมายต่างพากันเดินเข้าออกกันอย่างคับคั่งด้วยเพราะหอสังคีตจูโหม่วหลันแห่งนี้มีชื่อเสียงที่สุดในฉางอาน เต็มไปด้วยนักกวี นักดนตรีและการละเล่นต่างๆ ฟ้อนรำ ดีดฉิน ผีผา กูเจิ้งและเครื่องดนตรีที่หายากมากมายล้วนอยู่ในหอสังคีตนี้ด้วยกันทั้งสิ้นพรึ่บ!!! ประตูผ้าถูกเปิดออกทันทีที่รถม้าหยุดการเคลื่อนตัวเมื่อบ่าวรับใช้ของจวนนำบันไดมาวางเทียบทางขึ้นเพื่อให้คนด้านในลงถึงพื้นได้อย่างสะดวกใบหน้าหล่อเหลาของจางเย่วฉินหันไปมองตรงหน้าต่าง เห็นผู้คนมากมายเดินเข้าออกกันอย่างคับคั่ง ประตูทางเข้าของหอสังคีตมีชายงามและหญิงงามออกมายืนรอต้อนรับแขกผู้มาเยือนกันอย่างครึกครื้นกันเลยทีเดียว“ว้าว! น่าตื่นเต้นจังเลยที่จะได้เห็นหอสังคีตในยุคโบราณ เห็นแต่ในสารคดีไม่รู้ว่าของจริงจะเป็นอย่างไง ว่าแต่ยังไม่รู้เลยแฮะว่าเงินในยุคนี้เขาใช้กันอย่างไง ยุคนี้ไม่มีวีแชท ไม่มีแอพที่จะสแกนจ่ายเหม
จวนสกุลจาง ห้องหนังสือ“ว่าอะไรนะ! พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในท้องพระโรงอย่างนั้นเหรอ”จ้าวมี่อิงถามกลับไปเสียงสูงด้วยความตกใจอย่างสุดขีดเมื่อล่วงรู้ว่าต้องเข้าวัง “เจ้าทำหน้าประหลาดอีกแล้ว การเข้าเฝ้าฮ่องเต้ถือเป็นเรื่องปกติของข้า ขืนไม่เข้าไปสิจะได้ถูกสั่งประหารบั่นคอจนหัวหลุดออกจากบ่า”จางเย่วฉินนั่งบ่นพึมพำอยู่บนตั่งมองร่างของตัวเองที่กำลังนั่งพิงผนังตั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม จ้าวมี่อิงกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกทั้งกลัวและหวั่นเกรงจนหัวใจสั่นหวิวๆ ขึ้นมาอย่างทันทีทันใด “นี่ฉันจะได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิตัวเป็นๆ จริงเหรอ! คราวที่แล้วพลัดหลงมาตรงกับปีสุดท้ายของถังไท่จง มาคราวนี้ผ่านไปถึงห้าปีก็ต้องเป็นรัชสมัยของถังเกาจงนะสิ แสดงว่านอกจากจะได้เห็นตัวจริงของถังเกาจงแล้ว ฉันก็จะได้มีโอกาสเห็นจักรพรรดินีบูเช็คเทียนตัวเป็นๆ ด้วยเหมือนกันสินะ! ใช่แล้วเมื่อก่อนชื่อเดิมของนางคืออู๋เหมยเนียง!”จ้าวมี่อิงพึมพำออกมาพร้อมดวงตาลุกวาวโรจน์ด้วยความดีใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มยิ้มกว้างจนอีกฝ่ายต้องแปลกใจกับอาการดังกล่าว “เป็นอะไรของเจ้านั่งบ่นพึมพำอยู่คนเดียว