เวลานี้เมื่อเซียวอวี้เห็นเมิ่งเฉียวม่อ เขาพลันนึกถึงทหารของกองทัพมังกรพยัคฆ์ที่ล่วงลับไปเหล่านั้น“มีเรื่องใด” สายตาของเขาข้ามผ่านเฉียวม่อ และมองไปยังองค์หญิงใหญ่องค์หญิงใหญ่กลับมองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยแววตาประสงค์ร้าย“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮองเฮา”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สะทกสะท้าน ดูนิ่งเฉยเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางองค์หญิงใหญ่เอ่ยออกมาทันที“ฝ่าบาท ฮองเฮาที่อยู่ข้างกายของท่านผู้นี้ นางไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียงตัวจริง!”สีหน้าของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาเขาสั่งให้ข้าหลวงในตำหนักออกไปก่อน และย้อนถามองค์หญิงใหญ่“ท่านฟังเรื่องเหลวไหลจากผู้ใดมา?”องค์หญิงใหญ่จ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยแววตาเยือกเย็น“ฝ่าบาท ข้าไม่ใช่คนที่เชื่อคำให้ร้ายของผู้อื่น “เรื่องนี้ข้าเป็นคนสืบรู้เอง” “ตอนแรกฮูหยินตระกูลเฟิ่งให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝด สตรีผู้นี้ถูกตระกูลเฟิ่งทอดทิ้ง นางจึงไม่ใช่คนของตระกูลเฟิ่งอีกต่อไปแล้ว“นางจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นฮองเฮา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งลงด้านข้างของเซียวอวี้ สีหน้าของนางดูปกตินางเดาว่าองค์หญิงใหญ่ไม่มีทางสงสัยภูมิหลังของนางโดยไม่มีสาเหตุ คิดว่าเฉียวม่อต
คนที่เซียวอวี้ต้องการจับกุมก็คือเมิ่งเฉียวม่อแววตาของเขาเยือกเย็นและแฝงความองอาจน่าเกรงขาม“เมิ่งเฉียวม่อ เจ้ารู้ความผิดหรือไม่!”เฉียวม่อถูกองครักษ์สองคนจับตัวไว้ นางมองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียนโดยไม่รู้ตัวมันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!เห็นกันอยู่ว่ากำลังพูดถึงเรื่องอภิเษกสมรสแทน เหตุใดถึงจับกุมนาง?“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้ว่าทำผิดเรื่องใด...”องค์หญิงใหญ่ทรงไม่รู้สาเหตุเช่นกัน“ฝ่าบาท เหตุใดอยู่ดี ๆ ท่านถึงจับกุมเมิ่งเฉียวม่อ?”เรื่องอภิเษกสมรสแทนไม่ควรพูดให้ผู้อื่นฟัง ทว่าองค์หญิงใหญ่เป็นคนในครอบครัวเพื่อไม่ให้นางถูกเมิ่งเฉียวม่อหลอกอีก เซียวอวี้จึงเอ่ยโดยไม่หลบเลี่ยง“เรารู้เรื่องที่ฮองเฮาอภิเษกสมรสแทนตั้งแต่แรกแล้ว”องค์หญิงใหญ่ยิ่งรู้สึกงุนงง “ฝ่าบาท ในเมื่อท่านรู้แล้วเหตุใดจึงไม่...”เซียวอวี้พูดขัดจังหวะนาง “เสด็จพี่หญิงไม่อยากรู้หรือว่าเฟิ่งเวยเฉียงตัวจริงอยู่ที่ใด ท่านก็ลองถามเมิ่งเฉียวม่อดู”องค์หญิงใหญ่มองเฉียวม่อด้วยความสงสัย“นี่...นี่มันเรื่องใดกัน?”สีหน้าของเฉียวม่อมัวหมองและสับสนนางก็อยากรู้เช่นกันว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงเอ่ยว่
เฉียวม่อจมอยู่กับความโศกเศร้าและความคับแค้นที่ถูกอาจารย์กับอาจารย์หญิงทอดทิ้งและหักหลัง จนเกือบลืมไปว่าตนยังมีป้ายทองไว้ชีวิต เมื่อครู่นางคิดว่าตนเองต้องตายอย่างแน่นอนในยามนี้ดวงตาของนางมีประกายแห่งความหวังปรากฏขึ้นอีกครั้งเฉียวม่อพลันเปลี่ยนอารมณ์ทันที นางคุกเข่าลงและยอมรับความผิด “ฝ่าบาท หม่อมฉันทำผิดสมควรตาย!“เรื่องกองทัพมังกรพยัคฆ์ หม่อมฉันทำเพื่อล่อศัตรูเข้ามาติดกับ“แม้ว่าแผนนี้จะสำเร็จและยึดครองรัฐเหลียงได้ แต่หม่อมฉันก็ต้องทนอยู่กับความทุกข์และความรู้สึกผิดมาตลอด“ทว่าถึงแม้จะให้โอกาสหม่อมฉันอีกครั้ง หม่อมฉันก็ยังจะสละสิ่งที่ไม่สำคัญเพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญ ใช้สิ่งเล็กเดิมพันกับสิ่งใหญ่ หากถึงคราวจำเป็นแม้แต่ตนเองก็ยอมสละได้”ต้องบอกว่าเฉียวม่อเรียกสติกลับมาได้เร็ว และหาข้อแก้ตัวที่สวยหรูให้กับตนเองได้นางมั่นใจว่าฮ่องเต้ก็ต้องสละคนที่ไม่สำคัญเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเช่นเดียวกับนาง เมื่อตอนที่เขานำทัพออกศึก เผชิญกับสถานการณ์คับขัน เขาก็เสียสละกองกำลังส่วนน้อย จนทำให้ฝ่าวงล้อมของศัตรูได้สำเร็จฮ่องเต้ถูกโน้มน้าวจนสำเร็จหรือไม่นั้นไม่มีผู้ใดรู้ ทว่าองค์หญิงใหญ่ทรงเชื่
องค์หญิงใหญ่ไม่อาจยอมรับการกระทำหลอกลวงเบื้องสูงของเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ นี่ถือเป็นการลบหลู่ทั้งราชวงศ์!สายตาของเซียวอวี้ทอดมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีแน่วแน่“หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยให้ผู้คนทั่วหล้ารับรู้ นั่นถึงจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของราชวงศ์“อีกอย่างนางก็เป็นบุตรสาวของตระกูลเฟิ่งเช่นกัน จึงไม่ถือว่าขัดขืนพระประสงค์ของฮ่องเต้องค์ก่อน”องค์หญิงใหญ่รู้สึกแปลกใจ“ฝ่าบาท ท่าน...ท่านคิดจะไม่สืบสวนใช่หรือไม่?”นี่ก็ไร้สาระสิ้นดี!สิ่งที่ตระกูลเฟิ่งทำผิดเป็นโทษร้ายแรงหลอกลวงเบื้องสูง!การเลือกฮองเฮาถือเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ตระกูลเฟิ่งเหตุใดจึงกล้าเปลี่ยนตัวเจ้าสาว!สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดคือ นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะปล่อยวางเรื่องนี้อย่างง่ายดาย“ฝ่าบาท ข้าไม่เห็นด้วย! “องค์หญิงใหญ่ยืนกรานหนักแน่นกว่านางจะพบหลักฐานว่าฮองเฮาอภิเษกสมรสแทนนั้นไม่ง่ายเลย จะให้ปล่อยผ่านไปได้อย่างไรนางไม่ชอบฮองเฮาผู้นี้อย่างมาก ทั้งใส่ร้ายแม่ทัพน้อยเมิ่ง ล่อลวงฮ่องเต้ และยังละโมบในทรัพย์สินสตรีเช่นนี้มีแต่จะทำร้ายฮ่องเต้เท่านั้น!เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจว่าองค์หญิงใหญ่จะมีเจตนาร้ายต่อนางหรือไ
ภายในคุกเทียนเหลาเฉียวม่อถูกคุมขังทันทีโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวต่อหน้าธารกำนัลชุดแม่ทัพที่ดูองอาจน่าเกรงขามแต่เดิมถูกถอดออก และเปลี่ยนเป็นชุดนักโทษสีขาวหม่นแทนแววตาของนางแฝงด้วยความไม่ยินยอม เมื่อนางเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำเมื่อไม่มีผู้คนอยู่โดยรอบ เฉียวม่อจึงเอ่ยถามออกมาตามตรง“ศิษย์พี่ ท่านไม่นึกถึงความผูกพันในอดีตสักนิดเลยหรือ!“เห็นข้ามีจุดจบในสภาพเช่นนี้ ท่านมีความสุขใช่หรือไม่!“ท่านใช้วิธีใดกันแน่ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาททรงไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ท่านหลอกลวงเบื้องสูง!”ทันใดนั้น เฉียวม่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางมองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสายตาเหยียดหยาม พร้อมกับเย้ยหยัน“ข้ารู้แล้ว ท่านคงพยายามใช้ท่าทางยั่วยวนตอนอยู่บนเตียง ปรนนิบัติฮ่องเต้จนสบายพระทัยเป็นแน่!“ใช่แล้ว สตรีในวังหลังก็ไม่ต่างจากโสเภณีในหอนางโลม! “เพื่อชื่อเสียงลาภยศจึงขายเรือนร่างของตนเอง“ถึงแม้จะไม่ใช่บุรุษที่ชื่นชอบก็รื่นรมย์กับเรือนกายของเขาได้!“ศิษย์พี่ ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านจะเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้“ตอนที่ท่านนอบน้อมเอาอกเอาใจฝ่าบาท ท่านเคยนึกถึงพี่ใหญ่ต้วนบ้างหรือไม่
ราชทูตสงเหยียนเตรียมตัวมาอย่างดี เขาเอ่ยอธิบาย“ฮ่องเต้ฉี ฮ่องเต้เราส่งราชทูตนำของขวัญวันเกิดมาถวายให้ท่านโดยเฉพาะ แต่น่าเสียดายระหว่างทางเจอกับนักฆ่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงต้องเสียเวลาอยู่หลายวัน“กระหม่อมมาถึงช้าไป ท่านคงไม่ถือสากระมัง?”เหตุผลนี้ฟังดูไม่ขึ้นเลย เห็นกันอยู่ว่าเจตนามาถึงช้า เพราะจะรอให้ปืนหอกไฟสร้างเสร็จก่อน ค่อยเข้ามาแทรกแซง!ชาวเป่ยเยี่ยนช่างอดทนเสียจริงเหล่าขุนนางหนานฉีรู้สึกผิดอย่างมากหากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก กลุ่มคนในกรมศัสตราวุธคงจะไม่รีบร้อนถึงเพียงนี้ถ่วงเวลาเขาไปสักหนึ่งปีหรือครึ่งปีก็คงดี!เซียวอวี้เย้ยหยัน“ราชทูตช่างมีหูตาเฉียบไวยิ่งนัก”สงเหยียนดูเหมือนเคารพนอบน้อม“ฮ่องเต้ฉีทรงชมเกินไปแล้ว!”จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาที่หัวข้อสำคัญ “ฮ่องเต้ฉี กระหม่อมจะเข้าชมปืนหอกไฟได้เมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ? หนานฉีเป็นแคว้นใหญ่ คิดว่าคงมีจิตใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร ไม่เหมือนกับแคว้นเล็กอย่างตงเว่ย”เหล่าขุนนางในที่นั้นต่างกระวนกระวายใจทุกคนรู้ดีว่า “มังกรไฟ” ที่แคว้นตงเว่ยสร้างขึ้นมานั้น ตกเป็นเป้าสายตาของมหาอำนาจอย่างเป่ยเยี่ยน และทำเช่นเดียวกันคืออ้างว่าข
องค์หญิงใหญ่จะทรงรู้ได้อย่างไร นางดูถูกฮองเฮา ทว่าพิมพ์เขียวของปืนหอกไฟนั้นก็เป็นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่วาดขึ้นมานางมั่นใจว่าเฉียวม่อสามารถแก้ไขได้ คาดไม่ถึงว่าเฉียวม่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเริ่มลงมืออย่างไรก่อนหน้านี้เฉียวม่อแค่คิดจะคว้าโอกาสนี้เพื่อออกจากคุกเทียนเหลาตอนนี้นางเกิดลังเลขึ้นแล้วโดยเฉพาะได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสว่า: “สิ่งที่เราต้องการคือไร้ข้อผิดพลาด มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกเพิ่มโทษขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง”แววตาของเซียวอวี้ดูเย็นชา ไม่ยอมให้โอกาสำหรับต่อรองเฉียวม่อจึงกระวนกระวายใจหากคิดแค่อยากจะลองดูเท่านั้นคงไม่สำเร็จแน่องค์หญิงใหญ่รู้สึกร้อนใจ“ฝ่าบาท เมิ่งเฉียวม่อต้อง...”ก่อนที่คำว่า “ทำได้” จะหลุดออกมา ก็ได้ยินเฉียวม่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“หม่อมฉัน...ทำไม่ได้”องค์หญิงใหญ่ตกใจอย่างมากเมิ่งเฉียวม่อพูดสิ่งใด?!เหตุใดถึงทำไม่ได้? ก็แค่เพิ่มกลไกบางอย่างลงในพิมพ์เขียวเดิมเท่านั้น สำหรับแม่ทัพน้อยเมิ่งผู้องอาจคงไม่ยากกระมัง!แผ่นหลังของเฉียวม่อเต็มไปด้วยเหงื่อนางไม่สามารถถูกเพิ่มโทษขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มั่นใจเต็มร้อยเพคะ”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยี
ราชทูตของเป่ยเยี่ยนพยายามขู่เข็ญ ตลอดทั้งวันจะเฝ้ารออยู่แต่ในกรมศัสตราวุธพวกเขาค้นพบคลังสมบัติห้องหนึ่ง ทว่ากลับถูกห้ามไม่ให้เข้าไปด้านใน หัวหน้าราชทูตสงเหยียนจึงไม่พอใจอย่างมาก“ฮ่องเต้ฉีทรงรับปากแล้วว่า จะให้พวกข้าเยี่ยมชมปืนหอกไฟนั่น พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาขัดขวาง!”หัวหน้ากรมศัสตราวุธเดินมาขออภัยด้วยตนเอง“ท่านราชทูต ปืนหอกไฟนั้นยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ โปรดรออีกสักสองสามวัน”สงเหยียนมองออกว่าพวกเขามีเจตนาจะถ่วงเวลา ทว่าหนานฉีก็ยอมอ่อนข้อให้แล้ว หากเป่ยเยี่ยนบีบบังคับมากเกินไป เกรงว่าผลที่ได้จะตรงข้ามกับที่คาดหวังถึงอย่างไรก็แค่รอเพิ่มอีกสองสามวัน เขามีเวลาเหลือเฟือ ก่อนจะกลับ สงเหยียนเอ่ยประโยคหนึ่งที่มีความหมายเป็นนัย ๆ ว่า “ไม่ว่าจะหลบหน้าอย่างไรก็ไม่มีทางหลบพ้นได้”หลังเขาจากไป คนในกรมศัสตราวุธต่างพากันเหงื่อตกเย็นวาบเป่ยเยี่ยนข่มเหงมากเกินไปแล้ว!ในเวลากลางคืนภายในตำหนักหย่งเหอเซียวอวี้ทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกลางวัน น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยน“เมิ่งเฉียวม่อทำความผิดไว้มาก ถึงแม้ครั้งนี้นางจะสร้างความดีความชอบ เราก็จะไม่
พระราชวัง ในตำหนักเซี่ยวเสียน หนิงเฟยกำลังเลี้ยงดูโอรสทั้งสองพระองค์ ในมือถือกลองป๋องแป๋งแววตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่ ที่มิใช่ผู้ให้กำเนิด หากแต่ไม่ด้อยไปกว่ามารดาที่แท้จริงสาวใช้วิ่งเข้ามา อย่างมิได้ระวัง “พระนางเพคะ! พระนาง! “ฝ่าบาทกับฮองเฮาเสด็จกลับวังแล้วเพคะ!”เสียง “ตัก!” ดังขึ้น กลองป๋องแป๋งในมือหนิงเฟยตกลงกระทบพื้น พร้อมกันนั้น รอยยิ้มก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้นนางหันไปมองลูกทั้งสองคน พวกเขายังยิ้มให้กับนาง หาได้เข้าใจถึงคำว่าพรากจากไม่ ในใจหนิงเฟยนั้น มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ เพียงสามเดือนสั้น ๆ ที่อยู่ด้วยกัน นางรักใคร่พวกเขาจากใจจริง บางครั้งยังมีความคิดอย่างเห็นแก่ตัว อยากถือครองพวกเขาไว้เป็นของตนทว่านางยังคงมีสติอยู่ฝ่าบาทกับฮองเฮากลับมาได้อย่างปลอดภัย แคว้นหนานฉีถึงจะร่มเย็นเป็นสุข ช่วงเวลาอันสั้นที่นางได้ดูแลโอรสทั้งสอง ก็พอใจแล้วหนิงเฟยรีบปรับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ฝืนยิ้มพลางมีรับสั่ง “เปลี่ยนอาภรณ์ ข้าจักพาพระราชโอรสทั้งสองไปเฝ้ารับเสด็จฝ่าบาทกับฮองเฮา”“เพคะ!”ตำหนักฉือหนิงไทเฮาทราบข่าวการกลับมาของฝ่าบาทกับฮองเฮาท่านก็ปลื้มปีติ ทว่
จักรพรรดิองค์ใหม่เป่ยเยี่ยนถูกลวงให้ตกหลุมพราง จึงรีบเรียกเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊เข้าประชุมเร่งด่วน หาทางต้านศึกอย่างไรดีบรรยากาศในท้องพระโรงตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงบ่นครวญเผชิญกับคำถามของจักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดสามารถเสนอแผนการอันเป็นประโยชน์ได้ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิองค์ใหม่โกรธเป็นล้นพ้น“รับราชบำเหน็จจากแผ่นดิน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเรา! พวกเจ้าเหล่านี้ เราจะเลี้ยงพวกเจ้าเพื่อประโยชน์อันใด! ออกไปให้พ้นหน้า!”หลังออกมาจากวัง เหล่าขุนนางต่างคนต่างบ่นพึมพำ“ฝ่าบาทให้เราคิดหาหนทาง เขาไม่ลองคิดดู สถานการณ์ยามนี้ ยังจะเหลือหนทางออกใดอีก?”“ใช่แล้ว! แคว้นหนานฉีโอบล้อมทางตะวันออกกับทางใต้ของเรา แคว้นซีหนี่ว์ก็ข่มขู่เราทางด้านตะวันตก ภูมิประเทศทางด้านเหนือก็ไม่เอื้อให้ฝ่าวงล้อมได้ สถานการณ์ยามนี้ เหมือนสัตว์ติดกับดัก!”“ไม่ดูเลยว่าใครเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่าบาททรงหลงเชื่อคำคนชั่ว ฆ่าขุนนางจงรักภักดี ฆ่าพี่น้อง เสียดายองค์ชายเจ็ดทรงมีปรีชาญาณ กลับถูกฝ่าบาทปองร้ายจนตาย! เฮ้อ!”นึกถึงองค์ชายเจ็ด เหล่าขุนนางล้วนพากันเสียดายทว่าพวกเขาก็เพียงกล้าคิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา
องค์ชายสี่ขึ้นครองราช แผ่นดินเป่ยเยี่ยนก็ประหนึ่งชีพจรจะขาดสะบั้น มิมีวันฟื้นคืนกลับมารุ่งเรืองอีกดั่งเดิม หากแต่สำหรับเซียวอวี้นั้น เพียงเท่านี้หาเพียงพอไม่เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งสารไปยังดินแดนต่าง ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เขียนจดหมาย ส่งไปยังแคว้นซีหนี่ว์“หากจะล้างผลาญเป่ยเยี่ยนให้สิ้นซาก ย่อมมิอาจขาดการสนับสนุนจากแคว้นซีหนี่ว์ได้”เซียวอวี้พยักศีรษะ“เจ้าพูดถูก”……ภายในเขตแดนเป่ยเยี่ยน องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจสิ่งใดไม่ มัวแต่คิดหมายกำจัดเหล่าพี่น้องที่ขวางหูขวางตา โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดทว่าเขาก็มิใช่คนโง่เขลา ยังพอฟังคำของที่ปรึกษา มิได้กระทำอุกอาจ หากกลับเชื้อเชิญพี่น้องทั้งปวงให้กลับมาร่วมกันไว้ทุกข์บรรดาขุนนางผู้ภักดีต่อองค์ชายเจ็ดพากันกังวล จึงรีบร้อนเขียนจดหมายแจ้งองค์ชายเจ็ด อย่าได้กลับมาเด็ดขาด ทว่าน่าเสียดาย จดหมายของพวกเขาถูกดักจับเสีย ด้วยสายลับของฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรก แล้วปลอมแปลงเนื้อหา วางกับดัก รอคอยองค์ชายเจ็ดมาตกหลุมพรางดังที่คาดไว้ องค์ชายเจ็ดกลับมาร่วมงานพระศพยังเมืองหลวง ได้เลือกเส้นทางลับตามที่กล่าวว่าไว้ในจดหมายลับ ได้ยินว่าทางน
เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับขึ้นไปบนรถม้า เห็นคอเสื้อของเซียวอวี้เปิดกว้าง ไม่กระชับ ดูเหมือนสวมอาภรณ์ไม่เรียบร้อย คล้ายกับคณิกาชายในสภาพตกอับโดยเฉพาะสายตาของเขาที่มองมา ท่าทีราวกับขอความเมตตาจากนาง ทำให้คนรู้สึกขนลุกชันนางนั่งลงทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “มีสิ่งใดอีกหรือเพคะ?”“รุ่ยอ๋องไม่ยอมทายาให้เรา” เซียวอวี้เอ่ยอย่างจนใจเฟิ่งจิ่วเหยียนยิ้มอย่างเรียบเฉย“เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้ยาแล้ว“เพราะอย่างไรบาดแผลก็หายสนิทแล้ว”“จะกลายเป็นแผลเป็นได้” เซียวอวี้ย้ายมาใกล้ ๆ นางในดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแฝงรอยยิ้มที่มีความหมายมากขึ้น “อ๋อ? จริงหรือ? เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางแล้ว ที่จริงแผลเป็นก็ไม่เป็นไร มีบุรุษคนใดบ้างที่บนตัวไม่มีรอยแผล”นางกลับไม่รู้ว่า เขาใส่ใจผิวพรรณเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดเซียวอวี้เป็นฝ่ายแสดงท่าทีผูกมิตร “ชื่อของลูก เราจะลองคิดดูอีกที หากใช้ไม่ได้จริง ๆ ก็ให้คนที่มีความสามารถมาจัดการ ว่าอย่างไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหลุดหัวเราะออกมานางกลั้นไม่ไหวจริง ๆ“ได้เพคะ”ที่จริงนางก็มิได้คิดมากกับเรื่องนี้ เป็นเขาที่คิดซับซ้อนเกินไป ยืนกรานจะทายาด้วยตัวเอง ทั้งยอมให้รุ่ยอ๋องช่วยเหลือ แ
เมื่อทราบว่าฮ่องเต้ทรงได้รับการช่วยเหลือ ในขณะเดียวกันกับที่รุ่ยอ๋องรู้สึกยินดี ก็ยังรู้สึกยกย่องฮองเฮามากขึ้นด้วยเขารีบตรงไปที่ข้างรถม้า และแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้“ฝ่าบาท...”ภายในห้องโดยสาร ทันทีที่เซียวอวี้ได้ยินเสียงรุ่ยอ๋อง ก็ขมวดคิ้ว “เข้ามาก่อนเถอะ”รุ่ยอ๋องไม่มีความสงสัยแล้ว จึงรีบเข้ามาภายในห้องโดยสารจากนั้นกลับมองเห็น ฮ่องเต้มิได้สวมใส่อาภรณ์ท่อนบน กำลังทายาอย่างยากลำบากสาเหตุที่ยากลำบาก เป็นเพราะเขาทาไม่ถึงบาดแผลที่อยู่ด้านหลัง“ช่วยเราทายาหน่อย” เซียวอวี้ส่งขวดยาให้กับรุ่ยอ๋องทันที จากนั้นก็รอรับการช่วยเหลือรุ่ยอ๋องก้มมองยาที่อยู่ในมือ และเหลือบมองฮ่องเต้หากเขาไม่มา ฮ่องเต้จะทรงทำอย่างไร?รุ่ยอ๋องถามเหมือนไม่ตั้งใจ: “ฝ่าบาท เหตุใดจึงมิให้ฮองเฮา...”เซียวอวี้รู้ว่าเขาคิดจะถามสิ่งใด จึงกระแอมเบา ๆ“ฮองเฮายังมีเรื่องอื่นต้องทำ อีกอย่าง แค่ทายา เราทำเองได้ ไม่ต้องรบกวนนาง”รุ่ยอ๋อง: ดังนั้นท่านจึงต้องมารบกวนกระหม่อมหรือ?เขาหารู้ไม่ว่า ที่จริงแล้ว เพราะเรื่องตั้งชื่อให้ลูก เซียวอวี้รู้ว่าตนเองผิดพลาด จึงไม่สะดวกใจที่จะรบกวนเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกอย่าง บาดแผลบน
สำหรับเรื่องชื่อของบุตร เซียวอวี้รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่หลายวันเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จิ่วเหยียนที่ปกติเป็นคนง่าย ๆ แต่สำหรับชื่อแล้วจะเรื่องมากถึงเพียงนี้ชื่อที่เขาเลือกมา กลับถูกมองด้วยสายตาเย็นชาจากนางทางนี้พวกเขาก็แค่ขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ทางนั้น เมืองหลวงของเป่ยเยี่ยนกลับทะเลาะกันรุนแรงใหญ่โตเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างตระหนกตกใจอย่างมากเหตุใดผ่านไปคืนเดียว จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงนี้เล่า?ฮ่องเต้เสด็จสวรรคต และมอบบัลลังก์ให้กับองค์ชายสี่แล้วองค์ชายเจ็ดเล่า?ในราชสำนักมีคนที่สนับสนุนองค์ชายเจ็ดไม่น้อย ในที่ประชุมราชสำนักจึงตั้งข้อสงสัยทันทีก่อนพิธีราชาภิเษกฮ่องเต้องค์ใหม่ จะต้องจัดงานพระศพของอดีตฮ่องเต้เสียก่อนดังนั้น ตำแหน่งขององค์ชายสี่ ยังต้องรอการหารือเหล่าขุนนางโต้เถียงกันไม่หยุด ส่วนองค์ชายสี่กลับแสดงตัวว่าเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ จัดการปราบปรามกลุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าต่อต้านอย่างรวดเร็วเฉียบขาด“เราคือผู้สืบทอดบัลลังก์ที่เสด็จพ่อทรงเลือกแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะขัดพระราชโองการให้ได้ใช่หรือไม่? ทหาร ลากทุกคนออกไป!”องค์ชายสี่ต้องการจะปิดปากคนเหล่านั้น ด้วยวิธีที่เรียบง่าย
เซียวอวี้นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า จิ่วเหยียนจะกำเนิดบุตรชายให้เขาสองคน!สิ่งแรกที่เขานึกถึง คือความลำบากของนางเขาโอบกอดนางไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“คงลำบากอย่างมากเป็นแน่“เราได้ยินว่า ลำพังคลอดบุตรคนเดียว ก็เจ็บปวดจนขาข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในประตูผีแล้ว“จิ่วเหยียน เราควรจะอยู่เคียงข้างเจ้า”เขายังไม่รู้ว่า นางได้รับผลกระทบจากการหายตัวไปของเขา จนคลอดกะทันหัน และเกือบจะคลอดยากเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่คิดจะบอกเขาถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว หากจะให้เขามาเสียใจและเป็นกังวลตามไปด้วย มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจเท่านั้นมิสู้ถนอมความสุขที่อยู่ตรงหน้าจะดีกว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนส่ายศีรษะอย่างผ่อนคลาย“สตรีคนอื่นอาจจะลำบาก แต่หม่อมฉันเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ความลำบากระดับนี้ ทนรับได้อยู่แล้ว“อีกอย่าง เด็กทั้งสองคนนี้ก็ว่าง่าย ไม่พลิกตัวไปมาวุ่นวาย”เซียวอวี้ยังคงกอดนางไว้“ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องขอบใจเจ้า“ในที่สุดเราก็มีทายาทแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องอยู่บนบัลลังก์ฮ่องเต้จนแก่ชรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินคำพูดนี้ รู้สึกชอบกลอยู่บ้างนางจ้องมองเขาพร้อมถามทันที“เหตุใดหม่อมฉันถึงรู้สึกว่า ตอนนี้
หร่วนฝูอวี้เคยเจอคนที่ตามตอแยมามาก ไม่คาดคิดว่ารุ่ยอ๋องก็เป็นคนเช่นนั้นด้วยนึกไม่ถึงว่าเขาจะยื่นหน้าเข้ามา เพื่อให้นางตบนางถูกบีบจนต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ“เจ้า เจ้าคงไม่เสียสติหรอกกระมัง?”ในดวงตาของรุ่ยอ๋องมีแต่นางรู้ดีว่านางแค่อยากจะให้เขายอมแพ้ ก็ทำตัวหน้าหนาหน้าทนเสียเลย“ฝ่ามือของพระชายาเมื่อครู่ ช่างหอมเหลือเกิน”ปัง!สมองของหร่วนฝูอวี้ระเบิดแล้วนางกำลังจะบ้าตาย!รุ่ยอ๋องเห็นนางทำตัวไม่เป็นปกติ จึงนั่งกลับลงไปตามเดิมทันทีเขากำมือแตะข้างริมฝีปาก กระแอมเบา ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีจุดประสงค์ใด ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าก็แน่ใจว่า ข้าอยากจะอยู่กับเจ้า“ทว่า เรื่องของเรา ค่อยหารือกันภายหลังได้“ตอนนี้การไปเป่ยเยี่ยนช่วยฝ่าบาทเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่า”หร่วนฝูอวี้ฝืนหัวเราะ“ไม่นึกว่าเจ้ายังรู้จักแยกแยะได้ว่าสิ่งใดสำคัญและเร่งด่วน”รุ่ยอ๋องมองออกไปนอกรถม้า ในใจราวกับปกคลุมด้วยเมฆหมอกกับหร่วนฝูอวี้ก็แค่หยอกล้อ เขายังคงรู้สึกหนักใจกลัวว่าฝ่าบาทจะทรงเกิดเรื่องไม่คาดคิดเพียงหวังว่าจะรีบไปให้ถึงเป่ยเยี่ยนโดยเร็ว......อีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ออกจากเมืองห
กล่าวถึงทางด้านรุ่ยอ๋อง เมื่อได้รับข่าวของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รีบร้อนจะมุ่งหน้าไปที่เป่ยเยี่ยนโดยเร็วหร่วนฝูอวี้มาพบกับเขากลางทาง ก็เอ่ยตัดพ้อกับเขา“ตอนที่ข้ากลับไปถึงหนานเจียง อาการป่วยของอาจารย์ก็ไม่มีปัญหาแล้ว อาจารย์ท่านก็คิดแต่จะให้ข้าสืบทอดวิชา ต้องการให้ข้าอยู่ที่นั่น“โชคดีที่คนของเจ้ามา มิเช่นนั้นข้าคงไปไหนไม่ได้จริง ๆ“ใช่แล้ว ฮ่องเต้ฉีทรงถูกจับไปที่เป่ยเยี่นจริงหรือ?”สีหน้าของรุ่ยอ๋องดูคร่ำเคร่ง“ตามที่ได้ยินมาเป็นเช่นนั้น”หร่วนฝูอวี้แค่นเสียงเย้ยหยัน“เขามิใช่อวดอ้างว่าตนมีวิทยายุทธ์สูงส่งหรอกหรือ ข้างกายก็มีองครักษ์คุ้มกันตั้งมากมาย เหตุใดถึงตกไปอยู่ในมือของชาวเป่ยเยี่ยนได้เล่า?”หากอ่อนแอเพียงนี้ แล้วจะปกป้องซูฮ่วนได้อย่างไร?กลับกลายเป็นซูฮ่วนต้องปกป้องเขาแล้วทว่านางก็รู้ว่ารุ่ยอ๋องมีความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อฮ่องเต้ จึงเอ่ยปลอบเขา: “วางใจเถอะ ในเมื่อซูฮ่วนไปถึงเป่ยเยี่ยนแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเป็นแน่”รุ่ยอ๋องพยักหน้า ทว่าความกังวลที่ปรากฏบนหว่างคิ้ว แทบจะกลืนกินความสงบนิ่งอันน้อยนิดของเขาไปหมดขณะที่หร่วนฝูอวี้กำลังลำบากใจไม่รู้ควรเอ่ยสิ