ช่วงกลางถึงปลายของเดือนห้า แคว้นเป่ยเยี่ยนส่งราชทูตมาที่แคว้นหนานฉี ถวายหนังสือยอมแพ้เวลานั้นเซียวอวี้และเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ให้ราชทูตเข้าเฝ้า ด้วยท่าทีองอาจราชทูตเป่ยเยี่ยนก้มศีรษะลงต่ำ สองมือประคองหนังสือยอมแพ้ขึ้นเหนือศีรษะ“ขอฮ่องเต้ฉีโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”น้ำเสียงของราชทูตสั่นเครือกลัวแต่ว่าฮ่องเต้ฉีจะไม่ยอมปล่อยแคว้นเป่ยเยี่ยนไป ทำให้เหล่าราษฎรต้องกลายเป็นทาสจากแคว้นที่ล่มสลายแววตาของฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรเย็นชาและเข้มงวด“มีแค่หนังสือยอมแพ้รึ”ราชทูตเงียบไปครู่หนึ่ง“ขอเพียงแคว้นท่านยกทัพกลับ ท่านอ๋องของกระหม่อมย่อมซาบซึ้งในพระเมตตาของฮ่องเต้หนานฉีพ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องของกระหม่อม ไม่ใช่ฮ่องเต้ของกระหม่อมเท่านี้ก็เพียงพอที่จะเห็นเจตนาในการลดสถานะตนเองของแคว้นเป่ยเยี่ยนแล้วเซียวอวี้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เสียงหัวเราะนี้ทำเอาราชทูตหวาดกลัวจากนั้นเซียวอวี้ก็หันไปมองข้ารับใช้หลิวซื่อเหลียงขันทีใหญ่หยิบสาส์นตราตั้งฉบับหนึ่งออกมาส่งให้ราชทูตเป่ยเยี่ยนเซียวอวี้พูดอย่างผู้เหนือกว่า“นำกลับไปให้เยี่ยนอ๋องของพวกเจ้าดูให้ดี ๆ เรารอคอยที่จะได้พบเขา”ราชทูตตกตะลึงไปครู่
วังหลวงภายในตำหนักหย่งเหอฮองเฮาทรงต้อนรับ “ราชทูต” ด้วยพระองค์เองเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยได้ยินเรื่องอาจารย์นาม “หลิ่วซิง” ของหร่วนฝูอวี้มานานแล้ว นางได้รับความไว้วางใจจากหนานเจียงอ๋องเป็นอย่างมาก มีศิษย์อย่างน้อยหนึ่งร้อยคนทว่ากลับถูกใจหร่วนฝูอวี้คนเดียวเท่านั้น ต้องการจะถ่ายทอดวิชาให้นางให้ได้ ช่างทำให้ผู้คนสงสัยนักราชทูตหลิ่วซิงเดินเข้าไปในตำหนักหย่งเหอทั้งที่ยังสวมหมวกม่านนางมองผ่านม่านบางนั้น ไปทางฮองเฮาที่อยู่ด้านบนหากเป็นการเรียกให้ราชทูตเข้าเฝ้าจริง ๆ เหตุใดจึงไม่เห็นฮ่องเต้ฉี?ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงข้ออ้างให้นางเข้าวังเท่านั้นหลิ่วซิงเก็บซ่อนรังสีฆ่าฟันเอาไว้เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ประทานเก้าอี้”หลิ่วซิงไม่พูด นางรอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดเฟิ่งจิ่วเหยียนมีนิสับตรงไปตรงมา จึงอธิบายจุดประสงค์ตรง ๆ“ข้าเป็นสหายสนิทกับหร่วนฝูอวี้ ได้รับการไหว้วานจากนางให้ปรึกษากับผู้อาวุโส”“สหายสนิทอะไรกัน? ฮองเฮาไม่ใช่คนจิตใจเหี้ยมเกรียมหรอกหรือ?” คำพูดนี้ของหลิ่วซิงคมกริบยิ่งนักสาวใช้หว่านชิวขมวดคิ้วเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับใจกว้างนัก สั่งให้ข้าหลวงที่รับใช้อยู่ออกไ
ภายในลาน สตรีผู้หนึ่งสวมหมวกม่าน ทั้งร่างสวมชุดแดงลอยตัวลงมาจากด้านบนผู้คนมองเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัด ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของนางโดยเฉพาะกลิ่นอายของรังสีสังหารนั่น ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนชันหร่วนฝูอวี้ที่จำอาจารย์ของตนได้ในทันที รีบออกไปคารวะ“ศิษย์คารวะอาจารย์เจ้าค่ะ!”เมื่อรุ่ยอ๋องเห็นภาพนี้จึงตามไปคารวะด้วยสตรีผู้นี้กลับมองเพียงหร่วนฝูอวี้ แววตาที่มองผ่านผ้าคลุมบาง ๆ นั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชา“เป็นศิษย์คนดีของข้าจริง ๆ เสียด้วย”คำพูดนี้แฝงไปด้วยการเสียดสีอย่างเห็นได้ชัดหัวใจของหร่วนฝูอวี้บีบรัดเล็กน้อยแม้ปกติจะอวดดีเพียงใด ทว่าต่อหน้าอาจารย์ นางก็กลายเป็นแค่กระต่ายเชื่องตัวหนึ่งเมื่อมองเห็นอาจารย์เข้ามาใกล้ หร่วนฝูอวี้ได้แต่ก้มศีรษะลงต่ำ สองมือกำแน่นเวลานี้เองรุ่ยอ๋องก็เดินมาบังนาง แล้วเป็นฝ่ายพูดอธิบาย“นางเป็นพระชายาของข้าแล้ว...”สตรีชุดแดงมีแววตาเฉยชา “นักฆ่าพวกนี้เป็นเจ้าส่งมาหรือ?”ที่นางชี้ก็คือพวกองค์รักษ์ที่นางจับกุมมา และถูกนางทำลายกำลังภายในแล้วรุ่ยอ๋องไม่ปฏิเสธ“เป็นข้าคนเดียวที่ทำ พระชายาไม่รู้เรื่องด้วย”สตรีนางนั้นยิ้มเย็น “ช่างกล้
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้จักหร่วนฝูอวี้ดีกว่ารุ่ยอ๋องมากนักแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะนางตั้งใจไปสืบ เป็นหร่วนฝูอวี้ที่ลากนางไปแล้วเล่าออกมาให้นางฟังจนหมดเอง“แม่ของนางเป็นชาวหนานเจียง พ่อเป็นชาวหนานฉี“ตามประเพณีที่ชาวหนานเจียงนิยมกันในตอนนั้น จะไม่แต่งงานกับชาวต่างแคว้น“ดังนั้นการที่สองสามีภรรยาแต่งงานกัน จึงต้องประสบกับการกีดกันจากหลายฝ่าย“เมื่อพ่อแม่ของนางตายไปทั้งคู่ ต่อมาจึงถูกอาจารย์ของนางรับเอาไว้“ถึงแม้จะมีอาจารย์ ทว่ากลับไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสำนัก“ราชาพิษหนอนกู่รับใช้เชื้อพระวงศ์ รับผิดชอบการทำพิธีเซ่นไหว้ สืบทอดวิชาไสยเวท ราชาพิษหนอนกู่และเหล่าศิษย์ล้วนถูกควบคุมด้วยกฎของเชื้อพระวงศ์“ราชาพิษหนอนกู่ทุกคนจะต้องใช้ตัวเองเป็นเครื่องบูชายัญ แล้วใช้สิ่งนี้ในการทำข้อตกลงกับสวรรค์และใต้พิภพ คุ้มครองให้ฮ่องเต้ปลอดภัยมีพลานามัยแข็งแรง ให้แคว้นฝนตกต้องตามฤดูกาล”เซียวอวี้ฟังมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว“ที่ว่าบูชายัญ นี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายหรอกหรือ?”เรื่องการบูชายัญ เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ทว่ารู้ไม่มากนักเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบาย “ว่ากันว่าคือการแช่ตัวอยู่ในน้ำพิษ เพื่อฝึกให้ร่างกายมีภูมิคุ้มก
เมื่อรุ่ยอ๋องอาบน้ำเสร็จ กลับมายังโถงหมิงจิ้งอีกครั้ง บ่าวรับใช้กลับบอกว่า พระชายาออกจากจวนไปแล้วแววตาของเขาลึกล้ำ เรียกองครักษ์ที่ซ่อนอยู่ออกมาคนนั้นตอบ “ท่านอ๋อง หลังจากท่านออกไปแล้ว ก็มีบุรุษนามว่าเก๋อสือชีมาขอเข้าพบพระชายาขอรับ”องครักษ์มิได้ยินทั้งสองสนทนากันในห้อง ทว่าแน่ใจ หลังจากพระชายาออกมา สีหน้าแลดูไม่สู้ดีนักรุ่ยอ๋องอยากให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงสั่งคนไปจับตัวเก๋อสือชีมาในทันทีที่พักอาศัยของเก๋อสือชีมีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง รุ่ยอ๋องจักตามหาเขานั้นไม่ยากเมื่อเก๋อสือชีเห็นเขา ก็เอ่ยขึ้นทันที “ศิษย์พี่เขย!”รุ่ยอ๋องแทบจะยกยิ้ม ทว่าก็ฝืนระงับไว้“เจ้าพูดสิ่งใดกับพระชายา”เก๋อสือชียิ้มด้วยท่าทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสา “ศิษย์พี่เขย ศิษย์พี่หญิงมิได้บอกท่านหรือ? ข้านึกว่าพวกท่านสองสามีภรรยาไร้ความลับต่อกันเสียอีก”สีหน้ารุ่ยอ๋องเปลี่ยนไป มีแววเย็นยะเยือกของไอสังหารภายนอกเขาดูสงบอ่อนโยน หากแต่ภายในยังคงเปี่ยมด้วยอำนาจเก๋อสือชีหาได้เหมือนบุคคลอื่น สามารถมองเห็นถึงอีกด้านที่ซ่อนอยู่ของรุ่ยอ๋องซึ่งด้านนี้อันตราย บ้าคลั่งความโหดเหี้ยมของฮ่องเต้ฉี เห็นได้ชัดจา
ตำหนักหย่งเหอ พวกสาวใช้ยามหยุดพักจากภารกิจเร่งรีบ แอบนั่งสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน“เมื่อคืน ฝ่าบาทถูกองค์ชายรองอึใส่มืออีกแล้วนะ!” “โอ๊ย! ก็เพราะเป็นพระโอรส หากเป็นผู้อื่น ป่านนี้ศีรษะคงหล่นตกพื้นไปแล้ว” “ฝ่าบาทมิเพียงไม่กริ้ว ยังมีรับสั่งให้หมอหลวงถวายการตรวจให้กับองค์ชายอีกด้วย” “นี่นะ ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จกลับจากท้องพระโรง ก็รีบเสด็จมาที่นี่ทันที ช่างรักใคร่เอ็นดูพระองค์ชายทั้งสองเหลือเกิน”ภายในตำหนัก เซียวอวี้อุ้มโอรสองค์โต ส่วนโอรสองค์รอง เขาค่อยดูอยู่ห่าง ๆ ทว่าภายหลัง เขาได้ยินว่า โอรสองค์รองเคยต้องลมจับไข้ ทุกข์ทรมานไม่น้อย เขาจึงรู้สึกห่วงใยขึ้นมา รีบช้อนตัวเจ้าคนรองมาจากอ้อมแขนแม่นม “ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ ต่อไปจักช่วยพี่ชายของเจ้าดูแลราชการแผ่นดินได้อย่างไร?” จากนั้นก็เปลี่ยนจากสีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยเสียงเปี่ยมด้วยความเอ็นดู “ดูใบหน้าเล็ก ๆ นี้สิ ไร้ซึ่งเลือดฝาด ทานอาหารเข้าไปไม่มาก แต่กลับถ่ายออกเสียมาก เช่นนี้จักเติบโตได้เยี่ยงไร?”โอรสน้อยกระพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อกำลังบ่นพึมพำอันใด รู้เพียงริมฝีปากนั้นขยับไปมา จากนั้นก็เอาหมัดเล็ก ๆ ยัดใส่ปากเสี
ครั้นเมื่อเซียวอวี้หายสาบสูญ พวกพี่น้องของเขาไม่อาจนิ่งเฉย ต่างหมายใจจะถือโอกาสเสี่ยงชิงอำนาจ หากแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนเสด็จกลับพระราชวังพร้อมพระราชโอรส แผนการอันสวยหรูของพวกเขาล่มสลายสิ้นภายหลัง เซียวถงขึ้นครองบัลลังก์พวกเขาจักย่อมทนให้ผู้เยาว์ก้าวล้ำหน้าตนไปได้อย่างไร?ฉะนั้น พวกเขาปรึกษาหารือกันลับหลังมิใช่น้อย ใคร่จะกำจัดเซียวถง แล้วสวมแทนที่ทว่าฟ้าลิขิตไม่เป็นใจยังมิทันรอให้พวกเขาได้ลงมือ เซียวอวี้ก็กลับมาแล้วท่านอ๋องหลายคนก็พาลหมดอาลัย คิดว่าฟ้าดินก็มิใคร่เมตตาพวกเขาวันนั้น พวกเขาก็ออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบ ๆตอนค่ำเซียวอวี้ประทับแรม ณ ตำหนักหย่งเหอไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องได้กอดนอนกับภรรยาและลูกให้จงได้เมื่อมองเห็นโอรสองค์น้อย ภาพตอนกลางวันก็พลันแล่นวาบกลับมาดังนั้น เขาเลือกที่จะอุ้มโอรสองค์รองวางลงในเปล“ว๊า...” เสียงร้องไห้ระงมเมื่อลูกน้อยถูกวางลงต้องรู้ว่า เดิมเขากำลังเล่นอยู่กับฮองเฮาอย่างสนุกสนานเฟิ่งจิ่วเหยียนแสดงสีหน้าจนใจ“อุ้มเขากลับมาเถิดเพคะ”เซียวอวี้ก็มิรู้ว่าโอรสคนเล็กเป็นอะไรกันแน่ อุ้มก็ร้อง ไม่อุ้มก็ร้องเขาได้แต่ปลอบใจตนเอง...ลูกในไส้
เซียวอวี้เพิ่งได้มีวันที่ “มีความสุข” ไม่กี่วัน เพราะชื่อ “เซียวเซี่ย” ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนมิสนใจเขาอีกแล้วนางกลอกตามองบน อุ้มองค์ชายใหญ่แล้วเดินล่วงหน้าไปก่อน “หนิงเฟย ตามข้าไปตำหนักหย่งเหอ” “เพคะ ฮองเฮา!”หนิงเฟยชำเลืองมองฝ่าบาท รู้สึกราวกับเมฆดำลอยต่ำปกคลุมทางด้านนั้น นางอดหัวเราะมิได้ เซียวเซี่ย? ตั้งชื่ออันใดกัน! วันหน้ามีคนถามองค์ชายรอง...นามของท่านเป็นมาอย่างไร? องค์ชายรองคงมิอาจบอกคนอื่น...อ้อ ครั้งแรกที่พบเสด็จพ่อแล้วข้าปัสสาวะใส่ท่าน เสด็จพ่อตรัสว่าข้าปลดปล่อยไกลพันลี้ จึงตั้งชื่อให้ข้าว่าเซียวเซี่ยหนิงเฟยยิ่งคิดยิ่งขำ อดกลั้นจนหน้าแดงไปหมดองค์ชายรองปัสสาวะเปื้อนอาภรณ์ แม่นมรับหน้าที่พาเขาไปล้างก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนอุ้มองค์ชายใหญ่ ขอบใจหนิงเฟยอย่างจริงจังหนิงเฟยจักน้อมรับไว้ได้อย่างไร “หามิได้ ฮองเฮา! นี่ล้วนเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน...อ้อ คือสิ่งที่หม่อมฉันควรทำ หม่อมฉันมิกล้าคิดเกินเลยแม้แต่น้อย”องค์ชายใหญ่พรากจากพระมารดาหลายเดือน กลับหาได้ตื่นกลัวไม่ เขาเกาะบนอาภรณ์ของเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างอิงอาศัย ปากเอื้อนเอ่ยเสียงเล็กแหลมไร้ถ้อยคำ จากนั้นก็นำอา
พระราชวัง ในตำหนักเซี่ยวเสียน หนิงเฟยกำลังเลี้ยงดูโอรสทั้งสองพระองค์ ในมือถือกลองป๋องแป๋งแววตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่ ที่มิใช่ผู้ให้กำเนิด หากแต่ไม่ด้อยไปกว่ามารดาที่แท้จริงสาวใช้วิ่งเข้ามา อย่างมิได้ระวัง “พระนางเพคะ! พระนาง! “ฝ่าบาทกับฮองเฮาเสด็จกลับวังแล้วเพคะ!”เสียง “ตัก!” ดังขึ้น กลองป๋องแป๋งในมือหนิงเฟยตกลงกระทบพื้น พร้อมกันนั้น รอยยิ้มก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้นนางหันไปมองลูกทั้งสองคน พวกเขายังยิ้มให้กับนาง หาได้เข้าใจถึงคำว่าพรากจากไม่ ในใจหนิงเฟยนั้น มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ เพียงสามเดือนสั้น ๆ ที่อยู่ด้วยกัน นางรักใคร่พวกเขาจากใจจริง บางครั้งยังมีความคิดอย่างเห็นแก่ตัว อยากถือครองพวกเขาไว้เป็นของตนทว่านางยังคงมีสติอยู่ฝ่าบาทกับฮองเฮากลับมาได้อย่างปลอดภัย แคว้นหนานฉีถึงจะร่มเย็นเป็นสุข ช่วงเวลาอันสั้นที่นางได้ดูแลโอรสทั้งสอง ก็พอใจแล้วหนิงเฟยรีบปรับอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ฝืนยิ้มพลางมีรับสั่ง “เปลี่ยนอาภรณ์ ข้าจักพาพระราชโอรสทั้งสองไปเฝ้ารับเสด็จฝ่าบาทกับฮองเฮา”“เพคะ!”ตำหนักฉือหนิงไทเฮาทราบข่าวการกลับมาของฝ่าบาทกับฮองเฮาท่านก็ปลื้มปีติ ทว่