ก่อนจะมาเป็นองครักษ์วังหลวง ทำงานรับใช้ใต้ท้าวเฉินลู่ซี ข้า เจิ้งหมิง เป็นเพียงชาวยุทธพเนจรเท่านั้น ไม่เคยสนใจหญิงใดในใต้หล้า ไม่นึกเลยว่า แม่ของลูกข้า จะเป็นคนเช่นนาง ณารา เป็นตำรวจลับจากห้วงอนาคตในอีกสามร้อยกว่าปีข้างหน้า ฉากหน้าของนางคือ นักแสดงสาวชื่อดังระดับเอเชีย ที่ต้องมาที่นี่ ก็เพราะนางถูกพ่อค้ายาเสพติดฆ่าตาย! ความวุ่นวายเรื่มต้นขึ้น เมื่อวิญญาณของนาง ต้องมาอยู่ในร่าง “จ้าวเจี้ยนฟาง” ธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง 9 ซึ่งถูกลอบสังหารเช่นกัน โชคดีที่ข้าพบนางกลางป่า ข้าจึงช่วยนางไว้ แล้วพามาอยู่กับใต้ท้าวเฉินลู่ซี นางจึงใช้ความเป็นตำรวจลับของนางช่วยข้าสืบคดีการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์ในเมืองฉางโจว
View Moreณ พระตำหนักฉางชุนฮวา พระตำหนักฤดูร้อน ตกแต่งด้วยภาพเขียนลายปักษาสวรรค์ ท่ามกลางสวนกุหลาบสวรรค์งดงาม รอบพระตำหนักจัดเป็นอุทยานกุหลาบนานาพันธุ์ ดูราวกับยกเอาสวนสวรรค์มาไว้บนดินก็ไม่ปาน
เหนือแท่นปิดทองคำ “ฮ่องเต้ไท่จือ” จักรพรรตืองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ต้าเถียน ราชอาณาจักรทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ทรงประทับอยู่ พระพักตร์งดงามราวรูปสลัก พระโอษฐ์แย้มสรวลน้อยๆ เมื่อเห็นว่า “ท่านเสนาหลินจื้อกง” พร้อมด้วย “เฉินลู่ซี” เจ้าเมืองซื่อเหอเดินเข้ามาถวายบังคม พร้อมกล่าวถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
แต่จะว่าไป ชีวิตคนเรานั้น จะมีอายุยืนยาวสักเท่าไรนั้น ก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะลิขิตนั่นละ
“ท่านเสนาหลิน ขุนนางเฉิน เชิญนั่ง”
“ขอบพระทัย” ขุนนางทั้งสองกล่าวพร้อมกัน
“ท่านเฉิน ที่ข้าเรียกท่านมาในวันนี้ ก็เพื่อจะให้ท่านเป็นผู้แทนพระองค์แทนข้าสักหน่อย ข้าจะให้ท่านนำของขวัญวันเกิดไปถวายท่านอาเก้า ที่เมืองฉางโจว ท่านคงไม่ขัดข้องใช่มั้ย”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรจะให้ขุนนางท่านอื่นไปพะยะค่ะ”
“ท่านกำลังจะบอกข้าว่า ท่านเป็นห่วงราษฎรเมืองซื่อเหอล่ะสิ เรื่องนั้น ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้ท่านไปเป็นแรมปีสักหน่อย อย่างมากก็แค่ชั่วสามเดือนเท่านั้น”
“แต่กระหม่อม…” เฉินลู่ซีอ้ำอึ้ง ด้วยไม่รู้จะทูลอย่างไรให้ตนเองไม่ต้องไปราชการต่างเมืองดี
“ที่ข้าให้ท่านไป ก็เพราะท่านนั้น ได้ชื่อว่าเป็นขุนนางที่ท่านอาทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ ด้วยความที่ท่านเป็นคนตงฉิน ตรงไปตรงมา ตัดสินคดีแบบไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ท่านอาเห็นท่านเดินทางไปด้วยตนเองเช่นนี้ คงดีพระทัยไม่น้อย ท่านไปเถอะนะ ข้าไม่ได้หวังจะให้ท่านไปรื่นเริงสังสรรค์หรอก เพราะข้าเองก็รู้ว่าท่านไม่ชอบ จริงมั้ย”
“พะยะค่ะ”
“อ้อ อีกเรื่องที่ข้าจะไหว้วานท่าน ท่านจำท่านหญิงเจี้ยนฟาง ลูกสาวคนเล็กของท่านอา ที่เข้ามาฝึกการเรือน การดนตรีในวังตั้งแต่ยังเยาว์ได้มั้ย”
เฉินลู่ซีค้อมศีรษะรับแทนคำตอบ
“ข้าจะให้นางติดตามไปกับท่านด้วย นางจากบ้านเกิดมาหลายปี ได้กลับไปอยู่กับท่านอาสักที คงดีใจไม่น้อย เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านแล้วล่ะนะ”
ลองไท่จือฮ่องเต้มอบหมายงานให้เขาถึงสองงานซ้อนแบบนี้ เฉินลู่ซีก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรในการขอหลบเลี่ยงอีก แม้จะห่วงงานราชการ ห่วงชาวเมืองซื่อเหอสักปานใด แต่ก็จำต้องทำตามรับสั่งอย่างมิอาจขัดได้
เจิ้งหมิง องครักษ์หนุ่มรูปงาม หน้าตาคมคาย คิ้วมังกรหางเชิดขึ้นสูง ดวงตาเรียวใหญ่เต็มไปด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่น จมูกคมสันรับกับริมฝีปากหนาได้รูป สวมชุดลำลองสีน้ำเงินกลางตัวเสื้อกับสายรัดเอวแถบขาว ถือกระบี่คู่กายดูภูมิฐาน ยืนรอการกลับมาของใต้ท้าวเฉินอยู่หน้าศาล ครั้นเห็นใต้ท้าวก้าวลงมาจากเกี้ยว สีหน้าเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ ก็นึกรู้ในทันทีว่า การไปเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะต้องมีอะไรที่ทำให้ใต้ท้าวของเขาไม่สบายใจอย่างแน่นอน
“ฝ่าบาทจะให้ใต้ท้าวไปที่เมืองฉางโจวอย่างนั้นเหรอครับ” องครักษ์หนุ่มถามขึ้น หลังจากเดินตามเข้ามาในห้องทำงาน ภายในจวนแล้ว
“ใช่ ฝ่าบาทให้ข้านำของขวัญวันเกิดไปให้ท่านอ๋อง 9 และพาธิดาคนเล็กของท่านกลับไปส่งด้วย”
“ใต้ท้าวครับ” เจียงจื่อหยา เลขาคนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลนอบน้อมอยู่ในที “ข้าน้อยเห็นว่า การที่ฝ่าบาทให้ใต้ท้าวไปราชการที่เมืองฉางโจวคราวนี้ คงไม่ใช่เหตุผลเรื่องที่ใต้ท้าวสนิทสนมกับท่านอ๋องเพียงอย่างเดียวแน่ครับ คงอยากจะให้ทานไปตรวจดูความเรียบร้อยตามแนวชายแดนด้วยเป็นแน่ ทางตะวันออกของฉางโจวอยู่ติดกับชายแดนด้านตะวันตกของแคว้นเหลียว เพียงแม่น้ำหงกั้นเท่านั้น ส่วนทางใต้ก็มีพรมแดนทางทะเลร่วมกับแคว้นเหลียวอีก ฝ่าบาทเองก็ทรงมีกองทหารลับส่วนพระองค์อยู่ คงเห็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นแล้วเป็นแน่ จึงทรงให้ใต้ท้าวเดินทางไปตรวจดูอีกครั้ง”
“อึม ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เฉินลู่ซียกมือขึ้นลูบเครายาวเบาๆ ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่อจากนั้น พลันก็ได้ยินเสียงตีกลองดังมาจากหน้าศาล
“จี้หมินืเจิ้นหยาง! สั่งการ เปิดศาล!” น้ำเสียงเอ่ยออกมานั้นห้าวหาญ เฉียบขาดอยู่ในที
เจิ้งหมิงยืนเคียงข้างบัลลังก์ของเฉินลู่ซี มีจี้หมินกับเจิ้นหยาง สองพี่น้องแซ่ฟาน สองมือปราบคนสนิท อีกด้านหนึ่งเป็นที่นั่งประจำของเลขาเจียงจื่อหยา เบื้องหน้ามีทหารหลายนายยืนถือไม้พลองเรียงหน้ากระดานหันหน้าเข้าหากัน ขณะที่ผู้ร้องทุกข์นั้น นั่งคุกเข่าคำนับอยู่
“ข้าน้อยจางเหวินชิง คำนับใต้ท้าว” เจ้าของชื่อนั้น เป็นชายฉกรรจ์ วัย 30 ปีโดยประมาณ หน้าตาหมองคล้ำ อมทุกข์ เนื้อตัวมอมแมม คงเพราะเดินทางมาไกล
ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากเจ้าทุกข์คนอื่นๆ
“เจ้ามาจากที่ไหน”
“เรียนใต้ท้าว ข้าน้อยเป็นชาวฉางโจวครับ”
“แล้วทำไม เจ้าจึงดั้นด้นเดินทางมาร้องทุกข์ถึงที่นี่”
“ภรรยาของข้าน้อย ซึ่งตั้งครรภ์อยู่หายตัวไปครับ ไม่ใช่แพียงครอบครัวของข้าน้อยเท่านั้น แต่หญิงตั้งครรภ์หลายคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันก็ล้วนแต่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าน้อยกับชาวบ้านคนอื่นๆ ไปแจ้งความกับเจ้าเมืองแล้ว ท่านรับเรื่อง แต่คดีกลับไร้ความคืบหน้า ข้าน้อยจึงมาร้องทุกข์กับใต้ท้าวถึงที่นี่ล่ะครับ”
“แล้วข้าจะเชื่อได้ยังไงว่า เจ้าไม่ได้กล่าวเท็จ”
“ใต้ท้าวครับ ถ้าเรื่องที่ข้าน้อยกล่าวมาเป็นความเท็จละก็ ข้าน้อยยินดีให้ใต้ท้าวลงโทษครับ”
“ดี เรื่องนี้คงต้องสืบอีกมาก แต่ข้ารับปากว่าจะคืนความเป็นธรรมให้กับเจ้า เอาล่ะ วันนี้เอาไว้เท่านี้ก่อน เลิกศาล!”
หลังจากเลิกศาลแล้ว เฉินลู่ซี ก็เรียกเลขาเจียง และเจิ้งหมิง มาปรึกษากันภายในห้องทำงาน
“ถ้ารู้ว่าหญิงท้องหายไปหลายคนเช่นนี้ แล้วทำไม นายอำเภอ หรือแม้แต่เจ้าเมืองฉางโจวถึงยังนิ่งเฉยอยู่อีก หรือเรื่องนี้จะไม่ธรรมดาซะแล้ว”
“เท่าที่ข้าทราบมา ใต้ท้าวเจียก็นับได้ว่าเป็นข้าราชการที่ทำงานดี ซื่อสัตย์ สุจริตคนหนึ่ง ไม่น่าจะนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้นะครับ”
“นั่นสิ เห็นที ข้าคงต้องรบกวนท่านแล้วล่ะนะ องครักษ์เจิ้ง”
“ครับ ใต้ท้าว ข้าน้อยพร้อมรับคำสั่ง” เจิ้งหมิงเหยียดมือซ้ายตรง ทับกำปั้นขวาด้วยท่าทีขึงขัง
“ท่านจงเดินทางล่วงหน้าไปที่เมืองฉางโจว สืบเรื่องนี้ดูก่อน แล้วค่อยไปพบกันที่จวนเจ้าเมือง”
“ครับใต้ท้าว” เจิ้งหมิงรับคำเสียงหนักแน่น ก่อนจะก้าวออกจากห้องทำงานของเฉินลู่ซีมา
คล้อยหลังเจิ้งหมิง เจิ้นหยาง ก็เข้ามารายงานว่า ท่านหญิงจ้าวเจี้ยนฟางมาขอพบเฉินลู่ซี ตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับรองแล้ว
ทันทีที่กองทัพจากเมืองหลวงยกพลขึ้นบกที่เกาะจวินจวู พร้อมด้วยเจิ้งหมิง จี้หมิน และเจิ้นหยาง บรรดาหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกจับตัวไป ก็ถูกช่วยพาขึ้นเรือกลับมายังฝั่ง เมื่อไม่ได้รับยาจากคนของเจ้าเกาะ ความทรงจำของพวกนางก็ค่อยๆ กลับคืนมา ที่ต้องลุ้นระทึกก็คือ หญิงตั้งครรภ์จำนวน 5 นาง ได้คลอดลูกบนเรือ ดีที่เจียงจื่อหยารอบคอบ ให้หมอตำแยในเมืองฉางโจวติดตามไปด้วยหลายคน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน เฉินลู่ซีก็ส่งหญิงตั้งครรภ์กลับสู่ครอบครัวได้สำเร็จ“อวี้เอ๋อ” จางเหวินชิง กอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนทั้งน้ำตาอาบสองแก้ม นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้พบภรรยาเสียแล้ว“ท่านพี่” นางเองก็กอดสามีเอาไว้แน่นเช่นกัน“ขอบคุณใต้ท้าว องครักษ์เจิ้ง ที่ช่วยคลี่คลายคดีความทุกข์ให้ครอบครัวข้า ขอบคุณครับ” จางเหวินชิงคารวะจากใจขณะที่เสี่ยวหง ปิงปิงและซวงเอ๋อเองก็ต่างโผเข้ากอดสามีของนาง ก่อนจะรีบผละออก เมื่อเห็นว่าณารายืนมองมายิ้มๆ“เจี้ยนฟาง” นางทั้งสามปรี่เข้ามาหาณารา ต่างกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลางลำตัว“เอ๊ะ เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์นี่” ซวงเอ๋อทักขึ้นด้วยความประหลาดใจ“อึม” ณาราพยักหน้า
เจ้าเป็นถึงฮูหยินรองของตำหนักอ๋อง ใครเล่าจะข่มขู่เจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ อย่างไรข้าก็ต้องพาตัวทั้งเจ้าและพ่อบ้านไปรับโทษอย่างแน่นอน” สิ้นคำพูดของท่านอ๋อง 9 ไห่หลานก็พาตัวจ้าวหลงซินออกมา โดยมีเฉินลู่ซี และมือปราบเจิ้นหยางเดินตามเข้ามาในห้องเช้าวันต่อมา นอกจากข่าวใหญ่ เรื่องคนของศาลซื่อเหอ นำกำลังทหารจากเมืองหลวงไปยังเกาะจวินจวูแล้ว ยังมีข่าวของฮูหยินรองแห่งตำหนักอ๋อง ปองร้ายธิดาคนเล็กของท่านอ๋อง มิหนำซ้ำยังลักลอบเป็นชู้กับพ่อบ้านจ้าวหลงซิน เป็นที่พูดถึงทั่วเมืองเมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ไห่ถวนก็ขอตัวตามเจิ้งหมิงกลับเกาะจวินจวู ขณะที่ณาราในร่างจ้าวเจี้ยนฟางเอง ต้องรออยู่ที่ตำหนักอ๋อง ให้เจิ้งหมิงทำธุระของเขาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ค่อยพาผู้ใหญ่จากเมืองหลวงมาสู่ขอนางตามประเพณีแม้จะมีชีวิตสุขสบายดีแล้ว ณาราก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี ที่ไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ว่า เธอไม่ใช่จ้าวเจี้ยนฟาง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋อง 9 เสียใจเรื่องธิดาได้ จึงทำได้เพียงเก็บคำเสียค่ำคืนหนึ่ง ท่านอ๋อง 9 นอนกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงนิทรารมย์ ที่มีเพียงม่านหมอกขาวจนมองไม่เ
นึกไม่ถึงว่า เสี่ยวชุ่ยจะฝ่าฝืนคำสั่ง คิดปองร้ายจ้าวเจี้ยนฟาง“ข้าผิดไปแล้ว ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“ข้าจะให้ใต้ท้าวเฉิน เป็นคนตัดสินความเรื่องนี้เอง”ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย”“เสี่ยวชุ่ย บอกข้ามาว่าใครสั่งการให้เจ้าทำร้ายท่านหญิงน้อยเช่นนี้” ฮุ่ยเหนียงปราดเข้าหาคนผิด จิกเล็บลงกับเรือนผมของนางสุดแรง จนหน้าหงาย ดวงตาจับจ้องหน้าสาวรับใช้วาวโรจน์ มิใช่เพราะต้องการให้นางสาภาพความจริง ตรงกันข้าม ฮุ่ยเหนียงต้องการให้นางปิดปากให้สนิทต่างหาก“ฮูหยินรอง ข้าข้า”“พูด” ท่านอ๋อง 9 ตวาดลั่น ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ“หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าซะ” ฮุ่ยเหนียงบอกเป็นนัยๆ ว่า หากนางเปิดปาก จะตัดลิ้นสาวรับใช้เสียให้รู้แล้วรู้รอดหากยังไม่ทันที่เสี่ยวชุ่ยจะเอ่ยอะไรออกมา ร่างนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็กระตุกเฮือก ชักตาตั้ง กระอักเลือดสีแดงสดออกมา“ท่านอ๋อง ท่านหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ” ไห่หลานโวยวายพลางร้องไห้โฮๆ“เด็กๆ พานางไปขังไว้ก่อน ใต้ท้าวเฉินมาค่อยตัดสินความ”สิ้นคำสั่งเรียกคนของท่านแล้ว ท่านอ๋อง9 ก็ปราดมาที่เตียง ประคองธิดาคนเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน“เจี้ยนฟาง เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ” ท่านอ๋อง 9 รำพัน น้ำตานองหน้า
ณารายิ้มยั่วเย้า“อยากรู้ว่าเคยมั้ยล่ะคะ” ณาราสบตาคนตรงหน้าแน่วนิ่ง ก่อนจะดันร่างของคนตัวใหญ่กว่าให้เดินถอยหลังไปที่เตียง แกล้งผลักเขาลงกับที่นอน แล้วกระโดดขึ้นคร่อม ทั้งที่ในชีวิตนี้ เธอไม่เคยทำแบบนี้กับชายใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว“เจ้าจะทำอะไร!” เจิ้งหมิงเบิกตากว้าง ตกใจกับท่าทีของเธอ ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงจากโลกอนาคตจะไวไฟได้เพียงนี้แต่แทนที่ณาราจะตอบคำถาม กลับก้มลงจรดริมฝีปากกับหน้าผากของเขาแล้วเลื่อนเรื่อยลงมาหยุดตรงซอกคออย่างย่ามใจเรื่องอะไรเจิ้งหมิงจะยอมให้นางทำอย่างนั้นฝ่ายเดียว พอนางเผลอ เขาก็เป็นฝ่ายพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำเอาคนคิดจะแกล้งหยอกเย้าเล่นหน้าตื่น“พี่จะทำอะไร”“เจ้าอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ หึม” เจิ้งหมิงเป็นฝ่ายยิ้มยั่วเย้าบ้าง แล้วจรดริมฝีปากอุ่นจัดลงกับใบหูเล็ก ระเรื่อยลงมายังซอกคอขาวละมุน แล้ววนเรื่อยขึ้นไปยังใบหูเล็กรวดเร็ว“พี่เจิ้ง อย่า ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้จริงจังสักหน่อย”“แต่เจ้าทำให้ข้าอยากจริงจังนี่นา”“ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าแค่ล้อเล่น ข้าบอกให้ก็ได้ว่า ข้ายังไม่เคยมีความสัมพันธ์กับชายใดสักหน่อย” ณาราสารภาพอ้อมแอ้ม“ลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไห่ถวนก็มาเห็นเข้าหรอ
ท่านอ๋อง 9 ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหาจนแทบจะชนกัน เมื่อจู่ๆ ธิดาคนเล็กก็พาหญิงสาวผู้หนึ่งมาแนะนำให้รู้จัก พร้อมกับหนุ่มน้อยไห่ถวน จากเกาะจวินจวู“นี่ไห่หลาน พี่สาวของไห่ถวน เพิ่งมาจากเกาะจวินจวูค่ะ” ณาราแนะนำทั้งที่แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่“อึม แม่นางไห่หลานนี่ ดูลักษณะรูปร่างช่างดูค้นตานัก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน” เฉินลู่ซีตั้งข้อสังเกต แม้เรือนร่างภายใต้เครื่องแต่งกายสตรีจะไม่ได้กำยำล่ำสันมากนัก แต่ก็ดูบึกบึนกว่าสตรีโดยทั่วไปอยู่ดีเจิ้งหมิงทำชะม้ายชายตาครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกดวงหน้าแตะแต้มด้วยเครื่องสำอาง แม้งดงามก็จริง แต่ทำไมเขาจะจำดวงตาคมกล้าคู่นั้นไม่ได้เล่าว่า นางเคยเป็นใครมาก่อน“นี่เจ้า เอ่อ…”“ท่านพ่อ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” ณาราเดินมาเกาะแขนท่านอ๋อง 9 เอาไว้หลวมๆ“ท่านพ่อคะ อย่างไร ลูกขอพาคนของลูกไปด้วยนะคะ ตอนอยู่บนเกาะ ทั้งสองช่วยเหลือลูกเอาไว้มากเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงทำได้เพียงรับรองทั้งสองเป็นอย่างดี”“ได้สิลูก เรากลับกันเถอะนะ” ท่านอ๋อง 9 ยิ้มน้อยๆ ทั้งที่ประหลาดใจเหมือนกันว่า ทำไมเจิ้งหมิงจ
ท่านอ๋อง 9 และเจิ้งหมิงยังคงนั่งเฝ้าจ้าวเจี้ยนฟางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง นานๆ จึงจะหันมามองหน้ากันสักครั้ง กระทั่งนาทีหนึ่ง ต่างก็หันมาสนทนากัน กลายเป็นว่าต่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน“เจิ้งหมิง”“ท่านอ๋อง”“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถิด”“ท่านอ๋องกินอะไรบ้างเถิดดนะครับ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” องครักษ์หนุ่มปรายสายตาไปยังโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าสีขาวสะอาดตากลางห้อง ซึ่งมีข้าวกับซี่โครงหมูตุ๋นกับฟักวางอยู่สองที่“เจ้าเองก็ควรจะกินอะไรบ้างนะ อย่ามัวบอกให้ข้ากินแต่ฝ่ายเดียว คนหนุ่มก็ล้มป่วยได้เช่นกัน”“ถ้าอย่างนั้น เชิญครับท่านอ๋อง” ว่าพลางเจิ้งหมิงก็เป็นฝ่ายผายมือให้ท่านอ๋องไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อน แล้วจึงเป็นฝ่ายตามไปนั่งบ้าง“ข้ามีบุตรธิดาหลายคนก็จริง แต่เจี้ยนฟางก็เป็นลูกที่ข้ารักและห่วงใยมากที่สุด เพราะนางเหมือนฮุหยินของข้ามาก ข้าก็เหมือนพ่อคนอื่นๆ ที่ทั้งรักทั้งหวงลูกสาว ดังแก้วตาดวงใจ ในเมื่อรู้ว่าเจี้ยนฟางกับเจ้าต่างมีใจให้กัน อีกทั้ง ข้าก็ได้เห็นกับตาแล้วว่า ตอนที่หลี่จิ้งจับเจี้ยนฟางเป็นตัวประกันนั้น เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนางมาก ยิ่งกว่าชีวิตของตนเองซะอีก หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับลูกข้าจริง ก็
เวลาเดียวกัน หลี่จิ้งรออยู่นอกศาล เห็นความอัปยศที่เฉินลู่ซีหยิบยื่นให้บิดาดังนั้น ความอดทนก็หมดลง เขาจึงบุกเข้ามาในศาลทันที“หลักฐานเพียงเท่านี้ ท่านถึงกับกล้าถอดชุดกับหมวกประจำตำแหน่งพ่อข้าออกเลยเชียวเรอะ” หลี่จิ้งโวยวายลั่น พลางชักกระบี่คู่กายออกจากฝัก“แม่ทัพหลี่ คุณชาย พวกท่านคงไม่รู้ว่า ฮ่องเต้เองก็ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว”“เหลวไหล ฮ่องเต้อยู่ที่เมืองหลวง จะทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร” ยิ่งเฉินลู่ซีเอ่ยถึงผู้อยู่สุขสบายในวังหลวง แม่ทัพหลี่ก็ยิ่งไม่อาจเชื่อถือคำพูดของเขาได้“ฮ่องเต้ ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นแผ่นดินทั่วหล้า ท่านแม่ทัพ ท่านคงไม่รู้หรอกว่า พระองค์ทรงมีหน่วยลับประจำพระองค์กระจายอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งบนเกาะจวินจวู พระองค์ทรงทราบการกระทำของท่านจากหน่วยลับอยู่ก่อนแล้ว จึงส่งข้ามาสืบความจริงให้กระจ่าง” เฉินลู่ซีเอ่ย พร้อมกับภาพเหตุการณ์หนึ่งผ่านเข้ามาในห้วงความคิดในคืนก่อนวันที่เขาจะออกเดินทางจากเมืองซื่อเหอนั้น ขณะกำลังศึกษาแผนที่ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับเมืองฉางโจว ที่เลขาเจียงค้นคว้ามาให้นั้น จู่ๆ หน้าต่างห้องทำงานของเขาก็พลันเปิดออก สายลมยามดึกพัดเรื่อยเข้ามานั้น ไม่ได้ทำให้
แต่ดูเหมือนว่า ร่างกายของจ้าวเจี้ยนฟางนี่สิ จะไม่ค่อยเป็นใจเอาซะเลย นอกจากจะอ่อนแอ ด้วยไม่เคยผ่านการฝึกฝนทางด้านการต่อสู้ อีกประการคือ ณาราคงไม่ใช่เจ้าของร่างที่แท้จริง เมื่อประมือกับชายผู้นั้นไปสักพัก ก็เริ่มล้า แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จู่ๆ ทุกอย่างก็ดับวูบลง พร้อมกับร่างล้มลงกับพื้น“เก่งนักเรอะ” ชายผู้นั้นคำรามในลำคอ ก่อนแบกร่างเธอขึ้นบ่า ยัดใส่กระสอบที่เตรียมมาด้วย แล้วเดินจากไปขณะเดียวกัน เจิ้งหมิงกระโดดลงจากหลังม้า มุ่งหน้าเข้าสุ่จวนตระกูลหลี่ พร้อมด้วยหมายจากศาลซื่อเหอ“คารวะท่านแม่ทัพหลี่”“องครักษ์เจิ้ง ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลี่เหวินเฉาเอ่ยกลั้วหัวเราะ แม้ภายนอกจะดูจริงใจ เปิดเผย ทว่ากลับซุกซ่อนความประหลาดใจว่า เหตุใดคนของศาลซื่อเหอจึงมาถึงที่นี่ได้ ทั้งที่เขาก็ส่งคนไปจัดการกับนายกองฉวนแล้วนี่นะ“ใต้ท้าวให้มาเชิญท่านไปให้การที่ศาลฉางโจวหน่อยน่ะครับ มีคนฟ้องว่า ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์ในเมืองฉางโจว”“อ้อ อย่างนั้นเรอะ ไปสิ ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว ข้าเองก็อยากไปเห็นหน้าคนที่กล้าปรักปรำข้าอยู่เหมือนกัน”เจิ้งหมิงยิ้มน้อยๆ แอบโล่งใจที่การมาเชิญหลี่เหว
“ขอเรียนตามตรง เรื่องนั้นข้าทราบแล้วครับ”“แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าแต่งงานกับเจี้ยนฟางลูกข้า วันๆ เจ้าก็เอาแต่ทำงานสืบคดี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกอย่างด้วยภาระหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะทำให้ลูกข้ามีความสุขได้อย่างไร ข้าไม่อยากให้เจี้ยนฟางต้องทุกข์ใจเพราะเจ้า”“เรื่องนั้น ข้ารู้ตนเองดีครับ” เจิ้งหมิงค้อมศีรษะรับน้อยๆ รู้ตนเองดีว่า แม้ในร่างของเจี้ยนฟาง จะเป็นแม่นางผู้กล้าของเขา แต่ถึงอย่างไร นางก็คือผู้หญิงทั่วไป ที่ต้องการความรัก ความสุขในครอบครัวหลังแต่งงาน“หน้าที่ของข้า คือรักษากฎหมาย ขจัดความอยุติธรรมในบ้านเมือง แต่ภายใต้หน้าที่ที่ข้าสมัครใจแบกมันไว้บนบ่า ข้าเชื่อว่า จะสามารถดูแลท่านหญิงน้อยให้มีความสุขได้ ขอเพียงท่านอ๋องอนุญาตให้ข้าได้คบหาดูใจกับนาง ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้นครับ”“ข้าไม่มีทางเชื่อลมปากของเจ้าเด็ดขาด ถ้าเจ้ายังดื้อดึงอยู่เช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ข้าลาล่ะ ไม่ต้องส่ง”ณาราแอบฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นอกห้องรับรอง รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างไรชอบกล เมื่อได้ยินท่านอ๋อง9 พูดกับเจิ้งหมิงเช่นนั้น เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การมีพ่อคอยรักคอยหวง ให้ความรู้สึกเช่นไร อยากจ
Comments