หลังจากเวยเฉียงออกจากวัง ก็กลับไปพักที่จวนตระกูลเฟิ่งชั่วคราวพร้อมกับซ่งหลี นางล่วงรู้เหตุการณ์ที่เคยถูกลักพาตัวเมื่อปีนั้นแล้ว จึงไม่หวาดกลัวการเผชิญหน้าอีกดังนั้น ซ่งหลีไม่ได้ห้ามนางทว่านายหญิงเฟิ่งหย่าร้างไปนานแล้ว ไม่สะดวกที่จะไปยังจวนตระกูลเฟิ่ง จึงไปพักที่จวนพลตรีทหาร อยู่กับบุตรชาย จะได้ใช้โอกาสนี้กล่อมบุตรชาย มิควรหมางเมินภรรยาหลวงเพื่อหญิงที่อยู่ข้างนอกหากแต่ ถ้อยคำพร่ำบ่นของนายหญิงเฟิ่ง ทำให้เฟิ่งเหยียนเฉินรำคาญใจนักเขาพูดตามตรง “ท่านแม่ พูดไปแล้ว ข้าก็เพียงอยากมีบุตรชายสักคนหนึ่ง “สายโลหิตตระกูลเฟิ่งต้องสืบทอดต่อไป” นายหญิงเฟิ่งย้อนถามทันควัน “เจ้าอยากได้บุตรชาย แล้วลูกสะใภ้ไม่อาจให้กำเนิดได้หรือ? ไยต้องไปหาหญิงอื่นข้างนอก” เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงข้ออ้างในการเสพสุขของเขาเท่านั้นเฟิ่งเหยียนเฉินนิ่งเงียบไปนาน แล้วตอบอย่างจนใจ “ตลอดหลายปีมานี้ นางตั้งครรภ์ยากมาตลอด หาหมอตรวจก็แล้ว และได้จ่ายใบสั่งยาให้นางมากมาย แม้นกระทั่งข้าเองก็ดื่มยากับนางด้วย ล้วนไร้ผล “หากมิใช่เพราะเหตุนี้ ข้าจักเก็บหญิงข้างนอกคนนั้นไว้ได้อย่างไร? “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าหญิงข้างนอ
เมื่อฟังคำอธิบายนี้จบ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหมือนกับครุ่นคิดข่าวลือในวังเหล่านั้น นางก็เคยได้ยินเช่นกันทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยเอามาใส่ใจฮ่องเต้ยิ่งแล้วใหญ่เขามีงานราชกิจมากมายให้จัดการในแต่ละวัน เมื่อครู่หลังลงจากเตียงของนาง ก็รีบเสด็จไปตรวจฎีกาที่ห้องทรงพระอักษรทันที ยุ่งเหยิงเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะไปสนใจข่าวลือเหล่านั้น“หนิงเฟยคิดมากไป เจ้าก็คิดมากไปเช่นกัน” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยปากพูด“ทว่า...”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางมือลงบนบ่าของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เวยเฉียง ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือเจ้า เจ้าได้รู้ความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นแล้ว ข้ากับท่านแม่ รวมถึงซ่งหลีที่อยู่นอกวัง พวกเราต่างก็เป็นห่วงเจ้า แทบอยากจะอยู่เคียงข้างเจ้าทุกเวลา“หากเจ้าออกจากวัง และสามารถอยู่กับซ่งหลีได้ แน่นอนว่าย่อมเป็นการดี“แต่ข้าขอถามเจ้าหนึ่งประโยค เจ้าพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่หรือไม่?”หลังจากเฟิ่งเวยเฉียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้า“อืม สามีข้าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรังเกียจข้าเพราะเรื่องนั้น เขายังช่วยรักษาข้ามาตลอด ข้าจะทำให้เขาผิดหวังได้อย่างไรกัน?“ข้าพยายามเผชิญหน้ากับค
สองสาวพี่น้องตระกูลเฟิ่งเป็นฝาแฝดกัน ทว่านิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหนิงเฟยมองสำรวจคนตรงหน้าผู้นี้ เอ่ยตามตรงโดยไม่อ้อมค้อม“ข่าวลือในวังเกี่ยวกับเจ้ากับฝ่าบาท ห้ามปรามแล้วก็ยังไม่หยุดกระจายข่าว แม่นางเวยเฉียงไม่เคยได้ยินแม้แต่น้อยเลยหรือ?”เฟิ่งเวยเฉียงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก“ข้ากับฝ่าบาท?”ไม่น่าแปลกใจที่นางไม่เคยได้ยิน นางแทบจะอยู่แต่ในตำหนักหย่งเหอ น้อยครั้งที่จะออกมาภายนอก ส่วนข้าหลวงในตำหนักหย่งเหอนี้ ก็มิใช่พวกปากมาก ยิ่งไม่มีใครกล้านินทาอะไรต่อหน้านาง ยิ่งไปกว่านั้น หลายวันมานี้นางจะอยู่นอกวังเป็นส่วนใหญ่ จึงมิได้สนใจข่าวลือในวังหนิงเฟยเห็นว่านางไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ จึงบอกให้นางรู้ไปเลยฟังจบ เฟิ่งเวยเฉียงสีหน้าแดงก่ำ มีแต่อารมณ์โกรธเท่านั้น“พวกเขา พวกเขาพูดเช่นนี้ได้อย่างไร!“ข้าก็แต่งงานแล้ว การที่อยู่ในวัง เพียงเพราะคิดถึงพี่หญิง อยากจะพูดคุยกับนางมากขึ้น และอยากมาดูองค์ชายน้อยทั้งสองด้วยก็เท่านั้น...”หนิงเฟยโบกมือ“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายกับข้าหรอก คำพูดของคนนั้นน่ากลัว ข้าขอแนะนำเจ้า ให้รีบออกไปอยู่นอกวังเสียแต่เนิ่น ๆ“แม่นางเวยเฉียง หากเจ้าไม่มีที่พัก ข้าก
ณ พระราชวังเซียวอวี้เดินเข้ามาในตำหนักหย่งเหอ คำพูดประโยคแรกก็คือการซักถามข้าหลวง“ฮองเฮาเสด็จกลับมาแล้วหรือยัง?”“ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาทรงประทับอยู่ด้านในกับองค์ชายทั้งสองเพคะ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซียวอวี้ที่เดิมทีไม่มีความหวังกลับมีรอยยิ้มขึ้นมาทันทีเขารีบเร่งฝีเท้า เดินเข้าไปตำหนักชั้นใน “จิ่วเหยียน เจ้า...”ไม่คาดคิดว่า ไม่เพียงแค่ฮองเฮาอยู่ที่นี่ เฟิ่งเวยเฉียงก็อยู่ด้วยเช่นกัน เซียวอวี้เก็บอารมณ์ทันที เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนกลับมาเป็นจักรพรรดิที่เคร่งขรึมเฟิ่งเวยเฉียงลุกขึ้นทันที “ถวายบังคมฝ่าบาท”นางเคยเป็นถึงประมุขแคว้นมาแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ จึงไม่หวาดกลัวเหมือนตอนแรก ทว่าอย่างไรก็เป็นผู้ที่มีอำนาจในฐานะโอรสสวรรค์ ก็ไม่อาจล่วงเกินได้เวยเฉียงหันไปพูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียน: “พี่หญิง เช่นนั้นข้าไปเตรียมตัวก่อน”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าเบา ๆ ให้นางหลังจากเฟิ่งเวยเฉียงออกไปแล้ว เซียวอวี้แทบรอไม่ไหวโอบกอดเฟิ่งจิ่วเหยียน พลางจุมพิตที่หน้าผากนาง พร้อมกับจุมพิตที่แก้ม และริมฝีปากนาง“วันนี้ออกไปนอกวังมาอีกหรือ?“เอาแต่ไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนน้องสาวเจ้า ไม่อยู่เป็นเพ
ณ จวนพลทหารเฟิ่งเหยียนเฉินกำลังดื่มสุราเพื่อคลายทุกข์เขาเป็นห่วงเวยเฉียง และเกลียดความไร้ประโยชน์ของตัวเองภรรยาโจวซื่อเข้ามาใกล้ ๆ เขา และแย่งจอกสุรามาจากในมือเขา“นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”ในฐานะสามีภรรยา ในใจนางก็ยังคงห่วงใยเขาเมื่อเห็นเขากลัดกลุ้มเพียงนี้ นางก็ทุกข์ใจตามไปด้วยจู่ ๆ เฟิ่งเหยียนเฉินก็กอดนางไว้ สองคนนี้คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน ศีรษะของเขาซบที่ท้องของนาง ราวกับเด็กน้อยเรียกร้องการปลอบโยน ดูอ่อนแอและบอบบาง“ข้าทำผิดอย่างร้ายแรงไปแล้ว...”หลังจากโจวซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ยกมือขึ้นและตบหลังเขาเบา ๆนางปลอบเขาอย่างเงียบ ๆ และอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกระทั่งเขาค่อย ๆ หลับไปภายในวังเฟิ่งจิ่วเหยียนรับปากเวยเฉียงว่า จะบอกนางเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนายหญิงเฟิ่งลำพังแค่การนึกถึงเรื่องเหล่านั้น ก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว จึงรีบออกไปทันทีเพื่อไม่ให้เวยเฉียงรับรู้เรื่องราวมากเกินไปในคราวเดียว จนไม่อาจทนรับไหว เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงพูดไปพลาง สังเกตอารมณ์ของเวยเฉียงไปพลาง หากเวยเฉียงมีอาการหวาดกลัวและตื่นตระหนก นางก็จะหยุดเล่าเวยเฉียงแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดไว้ หลังจากรู้ว่าตนเอง
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฟิ่งเวยเฉียง ทำให้จิ่วเหยียนกับเฟิ่งเหยียนเฉินต่างก็ตกใจเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นทันที พร้อมกับรีบเดินไปหาเฟิ่งเวยเฉียง“เวยเฉียง เจ้า...”เฟิ่งเวยเฉียงกลับจ้องมองเฟิ่งเหยียนเฉินตาไม่กะพริบ“พี่ชาย สิ่งที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่? ความทรงจำที่หายไปในช่วงนั้นของข้า เกี่ยวข้องกับโจรภูเขาเหล่านั้น ใช่หรือไม่?”เฟิ่งเหยียนเฉินใบหน้าซีดเผือด รู้สึกอับจนหนทาง“ข้า...” เขามองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียน หวังว่านางจะพูดบางอย่าง เพื่อแก้ตัวให้เรื่องผ่านไปหากเวยเฉียงรู้เรื่องนี้ จะต้องมีอาการกำเริบอย่างแน่นอนถ้าเป็นเช่นนั้น ความผิดของเขาก็จะยิ่งร้ายแรงเฟิ่งเวยเฉียงหันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน ในดวงตาแฝงด้วยความแน่วแน่“พี่หญิง เป็นเรื่องจริงหรือไม่?“ข้าอยากฟังความจริง“ท่านบอกข้าที จริง ๆ แล้วข้าถูก...”อารมณ์ของนางรุนแรงขึ้น จับแขนของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ ร่างกายสั่นไหวราวกับมีสิ่งที่น่ากลัวบางอย่างเจาะเข้าไปในสมองของนาง สะบัดอย่างไรก็ไม่ออกเฟิ่งจิ่วเหยียนยกมือขึ้นกอดนางไว้ แววตาดูอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยพลัง“ไม่ต้องกลัว“เวยเฉียง หากเจ้าอยากฟังความจ
เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ “พบก็ได้เพคะ”ไม่นานนัก เฟิ่งเหยียนเฉินก็ถูกพาเข้ามาที่ตำหนักหย่งเหอภายในห้องโถงหลัก เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ที่ตำแหน่งหลัก ไม่โกรธแต่ดูน่าเกรงขามถึงแม้นางกับเฟิ่งเหยียนเฉินจะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ทว่าก็มิได้สนิทสนมกันคนในตระกูลเฟิ่ง คนที่นางสนิทสนมด้วยจริง ๆ มีเพียงเวยเฉียงเท่านั้นเฟิ่งเหยียนเฉินสวมชุดขุนนาง แสดงความเคารพอย่างนอบน้อม“กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮา”เขาในฐานะขุนนางและราษฎร มีความภักดีและทุ่มเทต่อหน้าที่อย่างมิต้องสงสัยเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความจำเป็นต้องแสดงสีหน้าไม่พอใจ ด้วยสาเหตุเพราะอนุนอกเรือนผู้นั้นถึงอย่างไรแม้แต่ภรรยาของเขา---โจวซื่อพี่สะใภ้ของนางก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใด เหตุใดนางจะต้องแบกรับความโกรธมาไว้ที่ตนเองด้วย“เชิญนั่งเถอะ”“ขอบพระทัยฮองเฮา”เฟิ่งจิ่วเหยียนถามตามตรง: “พี่ชายเข้าวังมา ด้วยเรื่องใด” “เมื่อคืนภรรยากระหม่อมพูดว่า ได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ให้มาเป็นอาจารย์สอน ฮองเฮา เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างเรียบเฉย“มีเรื่องเช่นนั้นจริง ทว่า ข้ามิได้สั่งโดยการบังคับ แต่เป็นการตัดสินใจของพี่สะ
เมื่อออกจากประตูวังมาแล้ว โจวซื่อเพิ่งรู้สึกกังวลใจขึ้นมาภายหลังคำพูดของฮองเฮา ทำให้สมองของนางเกิดความคิดชั่ววูบ รับปากที่จะเป็นอาจารย์สอนทันทีตอนนี้ใจเย็นลงแล้ว ก็เริ่มกังวลว่า ทางด้านสามีนั้น ควรจะบอกอย่างไรดี?นางตบที่หน้าผากของตนเอง รู้สึกเสียใจอยู่บ้างไม่ควรวู่วามแล้วรับปากไปเช่นนั้นทว่า...คำพูดของฮองเฮา ทำให้คนจิตใจหวั่นไหวจริง ๆช่างเถอะ ค่อยเป็นค่อยไปทีละก้าว!ณ จวนพลทหารหลังจากเฟิ่งเหยียนเฉินเลิกจากงาน ก็ไปหาอนุนอกเรือนที่ตั้งครรภ์ก่อน เนื่องจากวันนี้หญิงผู้นั้นมีอาการไม่สบายตัว เขาจึงไปอยู่เป็นเพื่อนนางสักพักหลังจากทานมื้อค่ำอย่างเร่งรีบ เขาก็รีบกลับจวนทันที เพื่อไปทานอาหารกับภรรยาและบุตรสาวที่จวนเขาคิดว่าตนเองไม่เคยปฏิบัติด้วยความลำเอียง คำนึงถึงทั้งสองฝ่ายทว่า บนโต๊ะอาหาร ภรรยายังคงปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีเรียบเฉยในช่วงที่เพิ่งแต่งงานกัน พวกเขาก็ตัวติดกันไม่ห่าง สามีภรรยาก็รักกันหวานชื่น ตอนนั้นไม่ว่าเขาจะเลิกงานดึกเพียงใด ภรรยาก็จะเฝ้ารอเขา คอยดูแลเขาเปลี่ยนอาภรณ์ชำระกาย และเข้านอนร่วมกับเขารวมถึง นางมักจะมีเรื่องเล่ามากมายไม่รู้จบปกติแล้วเขาจะหลับไป
เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้รีบร้อนให้เวยเฉียงตัดสินใจนางกุมมือเวยเฉียงไว้ เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน“หลายวันนี้ที่ยังอยู่ในวัง เจ้าตัดสินใจให้ดี ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร พี่หญิงจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่”เฟิ่งเวยเฉียงพยักหน้าอย่างใจลอยจากนั้นนางเงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งจิ่วเหยียน ในสายตามีความหวาดวิตกบางส่วนนางถามอย่างดึงดัน“มันจะน่ากลัวมากมายเพียงใดกันเชียว?“หากเป็นพี่หญิง ท่านจะทนรับได้หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนลำคอแหบแห้งเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เวยเฉียงพบเจอในตอนนั้น หัวใจของนางราวกับถูกคนบีบ เจ็บแปลบ และหายใจไม่ออก“ข้าไม่อาจนึกภาพออกได้ เพราะนั่นเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้า ข้าไม่อาจเอ่ยอย่างหน้าตาเฉยได้ว่า หากเป็นข้า ข้าอาจจะพอทนได้“ทว่าข้าอยากบอกเจ้าว่า เจ้าในตอนนั้น ไม่อาจเผชิญหน้าได้ แต่เจ้าในตอนนี้ บางทีอาจมีความแข็งแกร่งที่ต่างจากเดิม”เช่นเดียวกับที่เวยเฉียงลงมือกับเฟิ่งเหยียนเฉินเมื่อคืนที่ผ่านมาหากเป็นแต่ก่อน ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจนึกภาพออกเช่นกันและเพราะเรื่องนี้ด้วย ทำให้นางตระหนักว่า เวยเฉียงกำลังเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ไม่ควรคิดแต่จะปกป