นับตั้งแต่วันที่ท่านกั๋วจิ้วบอกกับนางกงซุนว่า บางทีหรงจือจืออาจเป็นตัวซวยต่อนาง นางกงซุนก็นอนหลับไม่สนิทมาเป็นเวลานานแล้วแม้นางเฉินลูกสะใภ้คนเล็กของตนจะปลอบตนหลายครั้งแล้ว ทว่าในใจของนางก็ยากจะสงบลงได้วันนี้จึงฉวยโอกาสสลัดลูกสะใภ้คนเล็กลอบออกจากจวนมาเพียงลำพังคนตาบอดที่ทำนายดวงชะตาผู้นั้น หลับตาพลางกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ฮูหยินเป็นคนที่ใด ปีนี้อายุเท่าไร?”นางกงซุนรีบตอบกลับคนตาบอดนับนิ้วคำนวณ แล้วกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฮูหยิน อัปมงคลยิ่งนัก! คนผู้นี้ที่ท่านอยากจะตรวจดูดวงชะตา ดวงชะตาแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด ขัดกับดวงชะตาของท่าน มีดวงชะตาอยู่ร่วมกันไม่ได้ไม่ใครสักคนต้องตาย”“และแม้ดวงของนางจะแย่อย่างยิ่ง ทว่าดวงแข็งผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายจะเป็นฮูหยิน”ครั้นนางกงซุนได้ยินเช่นนั้น หน้าก็ซีดเผือด “เป็นเช่นนี้จริง ๆ หรือ? มีวิธีไหนแก้ได้บ้างข้ามีเงิน…”นางไม่ได้ตรวจดูดวงชะตามาแค่ครั้งสองครั้ง ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า มีหมอดู ผู้วิเศษที่บรรลุเต๋าบางราย ล้วนมีวิธีทั้งนั้นคนตาบอดตรวจดูดวงชะตาส่ายศีรษะ ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มี! พื้นดวงชะตาเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ที่มีความสาม
นางหวังเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าจัดการคนสกุลฉีเรียบร้อยแล้วหรือ? ให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเรือนของเจ้าหรือ?”หรงจือจือขมวดคิ้ว แล้วถามกลับด้วยความสงสัย “เหตุใดฮูหยินหรงถึงคิดว่า พวกเขายังมีคุณสมบัติจะอยู่ในเรือนของข้าอย่างนั้นหรือ?”นางหวังอึ้งไป “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าไม่ได้อนุญาตให้พวกเขาอยู่?”หรงจือจือฉีกยิ้มเบา ๆ พลางตอบกลับ “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากฮูหยินส่งคนไปสอบถามดู ก็จะรู้ว่าข้าหาที่ไปที่ดียิ่งกว่าให้พวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์และการกินไปอย่างน้อยสามเดือน”บ่าวรับใช้ข้างกายนางหวังเองกกลับมารายงานข่าวให้นางหวังฟังนางหวังเอ่ยขึ้นอย่างยากจะเชื่อว่า “ไม่…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะส่งพวกเขาเข้าคุกไปแล้ว? เหตุใดเจ้าถึงโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้?”หรงจือจือคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ที่จริงข้าคนนี้แค้นฝังลึกอย่างยิ่ง ฮูหยินหรงรู้สึกบ้างหรือไม่ว่า ข้าดีต่อท่านซึ่งเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดมากแล้วจริง ๆ?”นางหวังรู้สึกเสียวสันหลังวาบไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหรงจือจือ หากไม่ใช่เพราะตนมีสายเลือดเดียวกันกับนาง เพียงแค่ที่ตนทำกับนางก่อนหน้านี้ ตนค
ส่วนนางโชคดีขึ้นมาหน่อย อยู่ใต้กิ่งก้านเขียวชอุ่มเป็นพุ่มของต้นเหมยต้นหนึ่งพอดี ตอนนี้จึงไม่มีหิมะตกลงบนศีรษะของนางร่มของเจาซีและเซิ่งเฟิง ต่างกางเข้ามาแล้วเฉินเยี่ยนซูกระแอมเบา ๆ เสียงหนึ่ง เขาอดกลั้นความดีอกดีใจเอาไว้ไม่อยู่ พร้อมกับกล่าวขึ้นทั้งหน้าแดงก่ำว่า “ขอบคุณท่านหญิงที่เป็นห่วง”เขารู้สึกเพียงหัวใจของตนเต้นระรัวราวกับป๋องแป๋ง คล้ายกับจะหลุดออกมาจากอกของตน และแยกเป็นสองส่วนกับเขาก็มิปานหรงจือจือรีบโยนหิมะในมือทิ้งไป พร้อมกระแอมเสียงเบาทีหนึ่งอย่างไม่เป็นตัวเอง “ไหน ๆ ก็หิมะตกแล้ว ข้าเองก็ออกมานานแล้ว เช่นนั้นขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เฉินเยี่ยนซู “ข้าไปส่งท่านหญิงเอง”หรงจือจือกระวนกระวายใจ ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาขึ้นหลังรถม้าของแต่ละคนตามลำดับ นางยังรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างมากเมื่อนางหลับตาลง ก็เห็นใบหน้าเทียบได้กับเทพเซียน ไร้ซึ่งที่ติใบหน้านั้นของเขาผุดขึ้นมาอยู่ในหัวของนาง อยู่ใกล้กับนางอย่างมากเจาซีอดไม่ได้ที่จะโพล่งขำออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “คุณหนู บ่าวอยู่กับคุณหนูมานานหลายปีขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณหนูหน้าแดงเช่นนี้!”เมื่อได้ยินนางหยอกล้อ บนหน้าของหรง
เมื่อหรงจือจือได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ออกมาทั้งที่แสร้งทำเป็นเรียบเฉย ก็แทบจะหลุดขำออกมาเหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า นิสัยของท่านเสนาบดีปากไม่ตรงกับใจและน่ารักเช่นนี้?นางอดกลั้นเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่เล็กน้อย...ดังนั้นหลังเฉินเยี่ยนซูเอ่ยอย่างระมัดระวังจบ ยังไม่ทันได้ตอบรับ ครั้นเบือนศีรษะไปก็เห็นคนในใจเม้มปากพลางก้มหน้าก้มตา เห็นได้ชัดว่ากลัวหลุดขำแล้วตนจะได้ยินเฉินเยี่ยนซู “...”ในจังหวะนี้ เขาเองก็เข้าใจแล้ว เกรงว่าตนจะถูกนางหลอกเข้าแล้ว ในเวลาเพียงชั่วครู่บอกไม่ได้ว่าสิ่งที่ผุดขึ้นในใจคือความหงุดหงิดหรือว่าน่าขันเสียแรงที่เขาโอ้อวดตัวเองว่าฉลาดมาทั้งชีวิต ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลับอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้รากับเด็กน้อยอย่างนั้นหลายปีมานี้ใช้ชีวิตเสียเปล่าจริง ๆสิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งขำออกมาเสียงหนึ่งครั้นได้ยินเสียงหัวเราะแสนไพเราะราวกับหยกใส หรงจือจือก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาทีหนึ่ง ในใจรู้ว่าเขาเองก็รู้ว่าตัวเองติดกับแล้วในน้ำเสียงของเฉินเยี่ยนซูแฝงรอยยิ้มเอาไว้ “เช่นนี้ดูแล้ว วันนี้ข้าถูกท่านหญิงวางแผนทำร้ายเสียแล้ว”หรงจือจือ
ทว่าเขาทั้งสิ้นหวังและประหลาดใจที่ได้ค้นพบเรื่องหนึ่ง ขอแค่เขาปรารถนา ปกติไม่ว่ากับผู้ใด เขาล้วนพูดคุยได้อย่างอิสระ ทว่าอยู่กับหรงจือจือ ในใจกลับทั้งกระสับกระส่ายและอึดอัดคล้ายกับอยากพูดคุยกับนางในทุกหัวข้อ ทว่าไม่กล้าเอ่ยเลยสักหัวข้อเป็นกังวลว่าจะไม่ถูกกาลเทศะ เป็นกังวลว่านางจะไม่มีความสุข เป็นกังวลว่านางจะคิดว่าเขาน่าเบื่อ...สุดท้าย เขากลับเค้นออกมาประโยคหนึ่ง คล้ายกับพยายามทุกวิถีทางก็มิปาน “อากาศวันนี้ หนาวจริง ๆ”เซิ่งเฟิงหลับตาลงด้วยความทุกข์ใจ แล้วพูดในใจว่า ท่านเสนาบดีถ้าท่านจะพูดเช่นนี้ ก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า เขาละยอมแล้วจริง ๆ!หรงจือจือชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านเสนาบดีจะกลับไปก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”เฉินเยี่ยนซู “...ไม่ต้องกลับไปหรอก”ในใจของเขาเองก็หงุดหงิดอยู่เล็กน้อย เหตุใดถึงได้บอกไปว่าวันนี้หนาวได้นะ? บางทีเขาควรบอกว่าวันนี้อบอุ่นจริง ๆ?กลับกันเซิ่งเฟิงคลี่ยิ้มพร้อมช่วยแก้ไขสถานการณ์ “ท่านหญิงพบเจอกับท่านเสนาบดีของเราไม่บ่อย มีเรื่องสงสัยอะไรอยากจะถามท่านเสนาบดีของเราหรือไม่?”คาดหวังกับท่านเสนาบดีผู้ไร้ประโยชน์นี่ วันนี้คงยากจะได้พูดคุย
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเซิ่งเฟิงดูสนใจจริง ๆ หรงจือจือย่อมอดไม่ได้ที่จะมองอีกสองสามทีครั้นนางมองเช่นนี้เฉินเยี่ยนซูเองก็หันหน้ากลับมาด้วยความสงสัย หางตาของเซิ่งเฟิงจ้องนายบ้านตนอยู่ตลอด หนำซ้ำยังเป็นวรยุทธ์ ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ย่อมปรับสีหน้าได้ทันทีอยู่แล้วฉะนั้นเฉินเยี่ยนซูเพียงมองใบหน้าที่แฝงรอยยิ้มเล็กน้อยของเขา ทว่าไม่ได้มีสีหน้าพิเศษอะไรในใจหรงจือจือคาดการณ์อะไรบางอย่างได้ จึงอดกลั้นเอาไว้ไม่ให้ขำออกมาครั้นหวังหยวนหลินออกมา ก็เห็นท่านเสนาบดีบ้านตน ไหนเลยเขาจะไม่รู้เจตนาในการมาของอีกฝ่าย? ที่จริงในสายตาของลูกศิษย์อย่างพวกเขา ท่านเสนาบดีใจกว้างตรงไปตรงมาที่สุด และสมบูรณ์แบบที่สุดต่อให้หรงจือจือจะดีแค่ไหน อย่างไรก็เป็นสตรีที่ผ่านการหย่ามาผู้หนึ่ง มากน้อยในใจของทุกคนก็ต้องคิดว่าไม่คู่ควรกับท่านเสนาบดีทว่าเห็นท่านเสนาบดีใส่ใจเช่นนี้...เช่นนั้นก็ต้องเห็นแก่ความสุขของท่านเสนาบดี จะให้พวกเขาทนเห็นท่านเสนาบดีอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังไปตลอดชีวิตไม่ได้หรือเปล่า?หวังหยวนหลินประสานมือพลางกล่าว “ข้าน้อยขอคารวะท่านเสนาบดี จัดการคดีเสร็จสิ้นแล้วขอรับ!”ฉีอวิ่นรีบขอความเมตตาให้คนทั้