เมื่อได้ยินนางเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ หรงจือจือก็รู้เจตนาในการมาของอีกฝ่ายแล้วนางกงซุนเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “อย่างไรเจ้าก็เป็นคนที่ลูกชายข้าชอบ ข้าเองก็ไม่อยากพูดให้ไม่เข้าหูเกินไป จบกันไปแค่ตรงนี้เถอะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”ใช่ว่านางไม่พูดอะไรที่มันฟังไม่รื่นหูเพราะสิ่งนี้ แต่เพราะประโยคนั้นของตนเมื่อครู่ก็นับว่าฟังไม่รื่นหูแล้วนางเป็นกังวลว่าหากตนพูดจาฟังไม่รื่นหู แล้วบุตรชายมารู้เข้า บุตรชายจะไม่ยอมปล่อยตนไปง่าย ๆในใจของนางก็ยังหวาดกลัวเฉินเยี่ยนซูอยู่หรงจือจือตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ วันนี้ท่านเสนาบดีส่งของมาให้ข้าไม่น้อย อย่างไรขอให้ฮูหยินนำของทั้งหมดกลับไปด้วยนะเจ้าคะ”ครั้นพูดจบ นางก็มองเจาซีทีหนึ่งผิวหน้าของนางกงซุนตึงเล็กน้อย ของขวัญที่บุตรชายคนโตส่งมา นางไม่กล้านำกลับไปส่ง ๆ หรอก เพียงแต่ไม่นาน หลังเห็นของขวัญเหล่านั้น…ความกังวลที่อยู่เต็มหัวใจนาง พลันสลายหายไปจนหมดสิ้นนี่เยี่ยนซูมอบอะไรให้หรงจือจือกัน? กระทั่งยังส่งของขวัญผิดฤดูกาล เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนซูไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อยมิใช่หรือ?นางยังเป็นกังวลว่าหากเยี่ยนซูรู้เรื่องนี้เข้า จะมาโวยวายกับต
เพิ่งจะพาตัวหมอดูผู้นั้นมาถึงจวนเสนาบดีผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็มารายงานว่า “ใต้เท้าหลิวอวิ๋นขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่าไปจวนสกุลหรงขอรับ!”สีหน้าของหลิวอวิ๋นเปลี่ยน “แย่แล้ว! ท่านเสนาบดีล่ะ?”หลังพ่อบ้านหวงทำความเข้าใจเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าก็ปั้นยากขึ้นทันใด “ท่านเสนาบดีไปเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ข้าจะส่งคนไปในวังเดี๋ยวนี้ พอท่านเสนาบดีเข้าเฝ้าในท้องพระโรงเสร็จ จะได้รายงานข่าวกับเขาทันที”เรื่องนี้ยุ่งยากจริง ๆ เปลี่ยนเป็นคนอื่น พวกเขายังพอไปขัดขวางได้ทว่าคนผู้นั้นดันเป็นฮูหยินผู้เฒ่า เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของท่านเสนาบดี พวกเขากล้าไม่เคารพเสียที่ไหน?หลิวอวิ๋นหิ้วคอเสื้อหมอดูผู้นั้นทั้งหน้าคล้ำดำเขียว “ก่อนที่ท่านเสนาบดีกลับมา ข้าจะไต่สวนเขาให้กระจ่างก่อน!”…จวนสกุลหรงวันนี้ฟ้าเพิ่งจะสว่างได้ไม่นาน เฉินเยี่ยนซูก็ส่งให้คนนำของขวัญมาส่งหรงจือจือมากมายแล้ว นางหวังไปดูด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นในแววตาก็เต็มไปด้วยการเหยียดหยามตอนหรงจือจือได้รับของขวัญเหล่านี้ ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกันเพียงแต่เนื่องจากของที่เฉินเยี่ยนซูส่งมา ล้วนเป็นของขวัญต่างฤดูกาลทั้งสิ้น อาทิเช่น ผ้าด
นับตั้งแต่วันที่ท่านกั๋วจิ้วบอกกับนางกงซุนว่า บางทีหรงจือจืออาจเป็นตัวซวยต่อนาง นางกงซุนก็นอนหลับไม่สนิทมาเป็นเวลานานแล้วแม้นางเฉินลูกสะใภ้คนเล็กของตนจะปลอบตนหลายครั้งแล้ว ทว่าในใจของนางก็ยากจะสงบลงได้วันนี้จึงฉวยโอกาสสลัดลูกสะใภ้คนเล็กลอบออกจากจวนมาเพียงลำพังคนตาบอดที่ทำนายดวงชะตาผู้นั้น หลับตาพลางกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ฮูหยินเป็นคนที่ใด ปีนี้อายุเท่าไร?”นางกงซุนรีบตอบกลับคนตาบอดนับนิ้วคำนวณ แล้วกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฮูหยิน อัปมงคลยิ่งนัก! คนผู้นี้ที่ท่านอยากจะตรวจดูดวงชะตา ดวงชะตาแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด ขัดกับดวงชะตาของท่าน มีดวงชะตาอยู่ร่วมกันไม่ได้ไม่ใครสักคนต้องตาย”“และแม้ดวงของนางจะแย่อย่างยิ่ง ทว่าดวงแข็งผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายจะเป็นฮูหยิน”ครั้นนางกงซุนได้ยินเช่นนั้น หน้าก็ซีดเผือด “เป็นเช่นนี้จริง ๆ หรือ? มีวิธีไหนแก้ได้บ้างข้ามีเงิน…”นางไม่ได้ตรวจดูดวงชะตามาแค่ครั้งสองครั้ง ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า มีหมอดู ผู้วิเศษที่บรรลุเต๋าบางราย ล้วนมีวิธีทั้งนั้นคนตาบอดตรวจดูดวงชะตาส่ายศีรษะ ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มี! พื้นดวงชะตาเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ที่มีความสาม
นางหวังเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าจัดการคนสกุลฉีเรียบร้อยแล้วหรือ? ให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเรือนของเจ้าหรือ?”หรงจือจือขมวดคิ้ว แล้วถามกลับด้วยความสงสัย “เหตุใดฮูหยินหรงถึงคิดว่า พวกเขายังมีคุณสมบัติจะอยู่ในเรือนของข้าอย่างนั้นหรือ?”นางหวังอึ้งไป “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือเจ้าไม่ได้อนุญาตให้พวกเขาอยู่?”หรงจือจือฉีกยิ้มเบา ๆ พลางตอบกลับ “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากฮูหยินส่งคนไปสอบถามดู ก็จะรู้ว่าข้าหาที่ไปที่ดียิ่งกว่าให้พวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์และการกินไปอย่างน้อยสามเดือน”บ่าวรับใช้ข้างกายนางหวังเองกกลับมารายงานข่าวให้นางหวังฟังนางหวังเอ่ยขึ้นอย่างยากจะเชื่อว่า “ไม่…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะส่งพวกเขาเข้าคุกไปแล้ว? เหตุใดเจ้าถึงโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้?”หรงจือจือคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ที่จริงข้าคนนี้แค้นฝังลึกอย่างยิ่ง ฮูหยินหรงรู้สึกบ้างหรือไม่ว่า ข้าดีต่อท่านซึ่งเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดมากแล้วจริง ๆ?”นางหวังรู้สึกเสียวสันหลังวาบไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหรงจือจือ หากไม่ใช่เพราะตนมีสายเลือดเดียวกันกับนาง เพียงแค่ที่ตนทำกับนางก่อนหน้านี้ ตนค
ส่วนนางโชคดีขึ้นมาหน่อย อยู่ใต้กิ่งก้านเขียวชอุ่มเป็นพุ่มของต้นเหมยต้นหนึ่งพอดี ตอนนี้จึงไม่มีหิมะตกลงบนศีรษะของนางร่มของเจาซีและเซิ่งเฟิง ต่างกางเข้ามาแล้วเฉินเยี่ยนซูกระแอมเบา ๆ เสียงหนึ่ง เขาอดกลั้นความดีอกดีใจเอาไว้ไม่อยู่ พร้อมกับกล่าวขึ้นทั้งหน้าแดงก่ำว่า “ขอบคุณท่านหญิงที่เป็นห่วง”เขารู้สึกเพียงหัวใจของตนเต้นระรัวราวกับป๋องแป๋ง คล้ายกับจะหลุดออกมาจากอกของตน และแยกเป็นสองส่วนกับเขาก็มิปานหรงจือจือรีบโยนหิมะในมือทิ้งไป พร้อมกระแอมเสียงเบาทีหนึ่งอย่างไม่เป็นตัวเอง “ไหน ๆ ก็หิมะตกแล้ว ข้าเองก็ออกมานานแล้ว เช่นนั้นขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เฉินเยี่ยนซู “ข้าไปส่งท่านหญิงเอง”หรงจือจือกระวนกระวายใจ ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาขึ้นหลังรถม้าของแต่ละคนตามลำดับ นางยังรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างมากเมื่อนางหลับตาลง ก็เห็นใบหน้าเทียบได้กับเทพเซียน ไร้ซึ่งที่ติใบหน้านั้นของเขาผุดขึ้นมาอยู่ในหัวของนาง อยู่ใกล้กับนางอย่างมากเจาซีอดไม่ได้ที่จะโพล่งขำออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “คุณหนู บ่าวอยู่กับคุณหนูมานานหลายปีขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณหนูหน้าแดงเช่นนี้!”เมื่อได้ยินนางหยอกล้อ บนหน้าของหรง
เมื่อหรงจือจือได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ออกมาทั้งที่แสร้งทำเป็นเรียบเฉย ก็แทบจะหลุดขำออกมาเหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า นิสัยของท่านเสนาบดีปากไม่ตรงกับใจและน่ารักเช่นนี้?นางอดกลั้นเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่เล็กน้อย...ดังนั้นหลังเฉินเยี่ยนซูเอ่ยอย่างระมัดระวังจบ ยังไม่ทันได้ตอบรับ ครั้นเบือนศีรษะไปก็เห็นคนในใจเม้มปากพลางก้มหน้าก้มตา เห็นได้ชัดว่ากลัวหลุดขำแล้วตนจะได้ยินเฉินเยี่ยนซู “...”ในจังหวะนี้ เขาเองก็เข้าใจแล้ว เกรงว่าตนจะถูกนางหลอกเข้าแล้ว ในเวลาเพียงชั่วครู่บอกไม่ได้ว่าสิ่งที่ผุดขึ้นในใจคือความหงุดหงิดหรือว่าน่าขันเสียแรงที่เขาโอ้อวดตัวเองว่าฉลาดมาทั้งชีวิต ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลับอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้รากับเด็กน้อยอย่างนั้นหลายปีมานี้ใช้ชีวิตเสียเปล่าจริง ๆสิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโพล่งขำออกมาเสียงหนึ่งครั้นได้ยินเสียงหัวเราะแสนไพเราะราวกับหยกใส หรงจือจือก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาทีหนึ่ง ในใจรู้ว่าเขาเองก็รู้ว่าตัวเองติดกับแล้วในน้ำเสียงของเฉินเยี่ยนซูแฝงรอยยิ้มเอาไว้ “เช่นนี้ดูแล้ว วันนี้ข้าถูกท่านหญิงวางแผนทำร้ายเสียแล้ว”หรงจือจือ