ในระหว่างที่นั่งทำงานไป นึกหวนถึงอดีตไป นิรมลก็รู้สึกหิว นึกขึ้นมาได้ว่าเธอซื้อนมกล่องใส่ตู้เย็นไว้ จึงเดินไปยังห้องอาหารของบริษัทที่อยู่ชั้นสอง เมื่อเดินออกจากห้องทำงานก็พบว่าตึกทั้งตึกเงียบมาก พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่ทำงานล่วงเวลาเพียงไม่กี่คน หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องอาหาร เธอเห็นแม่บ้านคนหนึ่งยืนหันหลังให้ตรงหน้าต่าง นึกแปลกใจที่เวลานี้ยังมีแม่บ้านทำงานอยู่
“ยังไม่กลับบ้านเหรอคะ”
นิรมลพูดทักทายตามปกติ เดินตรงไปที่ตู้เย็นเพื่อค้นหานมกล่องจนเจอ หญิงสาวกำลังเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร นึกเอะใจที่แม่บ้านคนนี้ยืนนิ่งผิดปกติ เธอกำลังจะถามอีกครั้งก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นกระเบื้องและเสียงคุยกันดังก้อง
“เมื่อวานแกเห็นหรือเปล่าละ ฉันเห็นแกออกไปกินข้าวนี่นา”
“จะบ้าเหรอ...ใครที่ไหนจะเดินไปดูศพแล้วกินข้าวกันล่ะ ขนาดไม่เห็นกับตา ฉันยังนึกสภาพออกเลยว่าเป็นไง”
ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่สองคนอยู่แผนกประชาสัมพันธ์ ทั้งสองคนเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบของออกมา นิรมลมองตาม ทั้งคู่สะพายกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน น่าจะซื้อของแล้วนำมาแช่ตู้เย็นไว้ ทั้งคู่ยังคงสนทนากันต่อ ไม่ได้สนใจว่ายังมีใครอีกคนอยู่ในห้องนั้น
“คนที่ตายชื่ออะไรนะ แกรู้ไหมอะ แล้วบริษัทจะไปเป็นเจ้าภาพให้เมื่อไหร่นะ”
“ถ้าจำไม่ผิด ชื่อแก้วตานะ ส่วนเรื่องเป็นเจ้าภาพงานศพ ฉันได้ยินหัวหน้าบอกว่าวันพฤหัสบดีนี้แหละ เห็นครอบครัวเขาบอกว่าศพตายโหง คงไม่เอาไว้นาน”
นิรมลนิ่งฟังที่ทั้งสองคนคุยกัน ในระหว่างที่ฟัง เธอหันไปมองแม่บ้านที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างอีกครั้ง เห็นว่ายังคงยืนนิ่งไม่ขยับ แล้วหนึ่งในสองคนก็เดินไปยังหน้าต่างตรงที่เธอเห็นว่ามีแม่บ้านยืนอยู่จนเกือบจะชน หญิงสาวกำลังจะร้องทัก แต่เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างปิดปากไว้ไม่ให้เธอพูดออกมา
“แกว่าในห้องนี้มันมีกลิ่นเหม็นป่ะ วันพรุ่งนี้คงต้องบอกให้แม่บ้านมาทำความสะอาด ไม่รู้มีหนูหรืออะไรมาตายอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
นิรมลยังคงนั่งนิ่ง เธอนั่งจ้องมองร่างแม่บ้านที่เหมือนรับรู้ว่ามีคนมองอยู่ แม่บ้านคนนั้นหันหน้ามาหานิรมล ราวกับรู้ว่าหญิงสาวมองเห็น แม่บ้านที่ชื่อแก้วตา...
ถ้าหันมาทั้งตัวหรือเห็นในสภาพปกติ นิรมลคงไม่ตกใจ แต่นี่...แก้วตากลับหันมาเฉพาะหัว ใบหน้าบิดเบี้ยวจนผิดรูป มีเลือดไหลทะลักออกมาทั้งทางตา จมูกและปาก และหญิงสาวยังได้ยินเสียงดังแว่วมาจากร่างนั้น เธอนั่งอึ้งกับสิ่งที่เห็นจนพูดไม่ออก อยากกรีดร้องออกมาแต่กลับไม่มีเสียง ใบหน้าซีดขาวจนเห็นได้ชัด เหงื่อเริ่มซึมออกมาทั้งๆ ที่อากาศก็ไม่ได้ร้อนมากนัก
“เธอ...เธอเห็นฉันใช่ไหม!?! ช่วยฉันด้วย ฉันมีเรื่องอยากให้เธอช่วย...”
“เธอ...เธอ...เป็นอะไรหรือเปล่า”
เพื่อนคนหนึ่งพูดกับนิรมล เมื่อสังเกตเห็นว่าหญิงสาวยังคงนั่งนิ่งเงียบจนผิดปกติ สายตาจ้องไปที่ข้างหน้าต่างราวกับว่ามองอะไรอยู่ เพื่อนอีกคนเดินมาข้างตัวนิรมล เขย่าแขนเรียกอีกครั้ง
“นิวเป็นอะไร...นิว!”
นิรมลสะดุ้งตกใจ ใบหน้าขาวซีด เหงื่อเริ่มออกมากขึ้นเมื่อได้เห็นเต็มตาว่าร่างแม่บ้านที่เธอเห็นตอนแรกหายวับไปต่อหน้าต่อตา เธอลุกพรวดขึ้นมาจนเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนพลอยตกใจไปด้วย
“ฉะ...ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้คงหิวน่ะ”
นิรมลพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าซีดเผือด มองหน้าเพื่อนที่มีสีหน้างุนงงสงสัย จนทั้งสองคนรู้สึกเป็นห่วงว่าหญิงสาวเป็นอะไรกันแน่!
“แน่ใจนะ แล้วเธอขับรถกลับไหวหรือเปล่า”
นิรมลพยายามฝืนยิ้มให้กับทั้งสองคน แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร
“ขอบใจพวกเธอมากนะ ฉันดีขึ้นแล้ว”
นิรมลรีบเดินกลับมาเก็บของที่ห้องทำงาน เธอเดินคิดมาตลอดทางว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้กลายเป็นคนเห็นผีไปได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
นิรมลเดินมาขึ้นรถยนต์ ขับออกจากลานจอดรถโดยไม่รู้ตัวเลยว่าจะต้องผ่านจุดที่เกิดอุบัติเหตุ เธอขับรถออกมาหน้าบริษัท หันซ้ายหันขวามองรถก่อนจะออกจากซอย แล้วเธอก็ได้เห็นภาพแก้วตามายืนอยู่เกาะกลางถนนข้างเสาไฟฟ้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชุดแม่บ้านของเธอเปื้อนเลือดเต็มตัว คราวนี้นิรมลมองภาพตรงหน้าตาค้าง กรีดร้องเสียงลั่นรถยนต์
“กรี๊ดดด!!!”
นิรมลคงจะปิดตากรีดร้องอยู่ในรถอีกนาน หากเธอไม่ได้ยินเสียงแตรรถด้านหลังที่เร่งให้รีบขับออกไป ไม่ใช่จอดรถแช่อยู่แบบนี้หญิงสาวสะดุ้ง รีบเงยหน้าขึ้นมองถนน...ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอหันไปมองเกาะกลางถนนอีกครั้ง รู้สึกโล่งใจที่ไม่เห็นวิญญาณแก้วตาอีก นิรมลรีบขับรถยนต์ออกไปจากตรงนั้นเพื่อกลับคอนโดฯนิรมลรีบขึ้นไปที่ห้อง เมื่อถึงห้องเธอก็ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า ตั้งใจจะเล่าให้เอกภพฟังถึงเรื่องราวที่น่ากลัวสำหรับเธอในวันนี้ แต่เมื่อหยิบมือถือขึ้นมาดู ที่หน้าจอกลับมีสายเรียกเข้ามาแทน‘แกเป็นไงบ้างเนี่ยนิว เมื่อกี้เพื่อนฉันโทร. มาหา เล่าให้ฟังว่าเจอแกที่ห้องอาหาร ท่าทางเหมือนจะไม่สบาย พวกนั้นขอให้ฉันโทร. หาแกเนี่ยว่าเป็นยังไงบ้าง’นิรมลยิ้มอย่างโล่งใจที่ได้คุยกับใครสักคน กำลังจะเล่าให้ชมพูนุทฟังว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แต่อยู่ๆ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงแหบๆ พูดกระซิบที่ข้างหูของเธอ“อย่าเล่า!”นิรมลหยุดชะงัก หันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจว่าเสียงใครกันแน่ มือยังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น‘นิว! ยังอยู่หรือเ
ในระหว่างที่นั่งทำงานไป นึกหวนถึงอดีตไป นิรมลก็รู้สึกหิว นึกขึ้นมาได้ว่าเธอซื้อนมกล่องใส่ตู้เย็นไว้ จึงเดินไปยังห้องอาหารของบริษัทที่อยู่ชั้นสอง เมื่อเดินออกจากห้องทำงานก็พบว่าตึกทั้งตึกเงียบมาก พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่ทำงานล่วงเวลาเพียงไม่กี่คน หญิงสาวเดินเข้าไปในห้องอาหาร เธอเห็นแม่บ้านคนหนึ่งยืนหันหลังให้ตรงหน้าต่าง นึกแปลกใจที่เวลานี้ยังมีแม่บ้านทำงานอยู่“ยังไม่กลับบ้านเหรอคะ”นิรมลพูดทักทายตามปกติ เดินตรงไปที่ตู้เย็นเพื่อค้นหานมกล่องจนเจอ หญิงสาวกำลังเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร นึกเอะใจที่แม่บ้านคนนี้ยืนนิ่งผิดปกติ เธอกำลังจะถามอีกครั้งก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นกระเบื้องและเสียงคุยกันดังก้อง“เมื่อวานแกเห็นหรือเปล่าละ ฉันเห็นแกออกไปกินข้าวนี่นา”“จะบ้าเหรอ...ใครที่ไหนจะเดินไปดูศพแล้วกินข้าวกันล่ะ ขนาดไม่เห็นกับตา ฉันยังนึกสภาพออกเลยว่าเป็นไง”ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่สองคนอยู่แผนกประชาสัมพันธ์ ทั้งสองคนเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบของออกมา นิรมลมองตาม ทั้งคู่สะพายกระเป๋าเ
ทั้งนิรมลและเอกภพหายไปหนึ่งเดือน เพราะไปติดต่อกับมหาวิทยาลัยเพื่อยื่นจบการศึกษา และทั้งคู่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในวันที่เข้ามาทำงานวันแรกติ๊ง...เสียงลิฟต์ดังขึ้นที่ชั้นหนึ่ง พนักงานบริษัทที่ยืนรออยู่ต่างก็เดินเข้าไปในลิฟต์ ในตอนนั้นทุกคนยืนเบียดเสียดกันเข้าไปในสถานที่แคบๆ ไม่มีใครมองหน้าใคร“รอด้วยค่ะ...”เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับวิ่งเข้ามาในลิฟต์นั้น แต่เมื่อเธอก้าวเข้าไป ก็มีเสียงดังเกิดขึ้นตืด...“น้ำหนักเกินแล้ว น้องรอไปรอบหน้าก็แล้วกันนะ”พี่คนหนึ่งพูดขึ้น นิรมลก้มหัวให้แล้วออกมายืนรอด้วยความเซ็ง“โธ่เอ๊ย อุตส่าห์รีบวิ่งมาแล้วเชียว แล้วนี่จะขึ้นไปสแกนนิ้วทันไหมเนี่ย”นิรมลก้มมองนาฬิกาและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา โดยไม่ได้สนใจมองรอบข้างว่าจะมีใครมายืนอยู่ด้วยหรือไม่ เธอคงจะยืนเล่นอยู่อีกนานกว่านี้ หากไม่มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง“ไม่คิดจะรีบเข้างานหรือไง หรือว่าอยากจะมีประวัติมาทำงานสายตั้งแต่วันแ
เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลไปทำงานตามปกติ โดยไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่บริษัทบ้าง หญิงสาวหยิบแฟ้มสรุปงานเมื่อวานที่ไปพบลูกค้ามาเพื่อจะรายงานหัวหน้า ขณะเดียวกันเพื่อนที่นั่งทำงานโต๊ะข้างๆ ก็เดินเข้ามาพอดี เธอรีบวางกระเป๋าแล้วเดินไปหานิรมลเพื่อจะสนทนาถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้“นิว...เมื่อวานเธอไม่อยู่...”“นิวมาหรือยัง?”เสียงดังมาจากข้างหลัง ทุกคนหันหน้าไปมองตามเสียง เพื่อนคนที่กำลังจะเล่าเรื่องหยุดชะงักและถอยห่างจากนิรมลเมื่อเห็นสีหน้าคนถามที่ดูเคร่งเครียด“เมื่อวานผลเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวคุณเข้าไปสรุปให้ผมฟังที แล้วก็เตรียมข้อมูลและเข้าประชุมกับบอร์ดบริหารกับผมด้วย”“ได้ค่ะ”นิรมลรับคำแล้วรีบถือแฟ้มงานตามเข้าไปในห้องหัวหน้า เพื่อรายงานผลงานเมื่อวานนี้ และออกมาเตรียมเอกสารการประชุมด้วยความเคร่งเครียด จนเพื่อนคนที่จะเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟังได้แต่นั่งมองห่างๆ จนหญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีคนมอง“เมื่อเช้านี้พี่จะเล่าอะไรให้ฟังหรือเปล่าคะ หัวหน้ามาพอดีเลยไม่ได้คุยกันต่อ”“ไม่มีอะไรหรอก นิวรีบทำงานเหอะ อีกห้านาทีต้องเข้าประชุมแล้ว เดี๋ยวเตรียมเอกสารไม่ทัน”นิรมลพยักหน้าให้“งั้นค่อยคุยกันนะคะ”นิรม
“ดีใจไหมลูก หนูได้น้องสาวนะ”พ่อของนิรมลพาไปดูน้องที่ห้องทารกแรกเกิด เด็กหญิงนิรมลชะเง้อมองผ่านกระจก ในตอนนั้นเธออายุเพียงสิบสองปี ในความคิดของเด็กๆ เธอคิดว่าน้องสาวเสมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สามารถเล่นได้ จับแต่งตัวได้หลังจากนั้นไม่กี่วัน แม่ของเธอออกจากโรงพยาบาล ส่วนพ่อไปทำนาคนเดียว แม่หยุดพักเพียงสองสามวันก็ออกไปทำนาช่วยพ่ออีกแรง พาน้องสาวไปเลี้ยงที่ทุ่งนาด้วย จัดการผูกเปลไว้ที่ต้นไม้ แล้วตัวเองไปยืนหลังขดหลังแข็งทำนากลางแดดร้อนๆ ส่วนเด็กหญิงนิรมลต้องไปโรงเรียน เมื่อเลิกเรียนหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เธอจะช่วยแม่เลี้ยงน้องสาวเมื่อเวลาพ่อแม่ไปทำนา หรือเวลาที่แม่ต้องทำงานบ้าน เธอรักน้องสาวมากเพราะช่วยแม่เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเด็กหญิงนิรมลเห็นพ่อแม่ทำงานหนักแทบทุกวัน ไม่มีวันหยุดเลย นั่นทำให้เธอวางเป้าหมายในชีวิตไว้ทันที‘ฉันจะเรียนหนังสือให้เก่ง จะได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ เลี้ยงดูพ่อแม่เอง จะได้ไม่ต้องทำงานหนักอย่างทุกวันนี้’เวลาผ่านไป นิรมลเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ เธอได้รับการติดต่อจากบริษัทขายอาหารเสริมที่เธอไปฝึกงาน และหญิงสาวได้เข้าทำงานที่นี่ เธอตั้ง
ตืด...ตืด...เสียงนาฬิกาปลุกดังก้อง ทำให้นิรมลที่นอนอยู่บนเตียงดึงผ้าห่มมาคลุมโปง เพื่อให้ไม่ได้ยินเสียงดังที่รบกวนการนอน พร้อมกับเอื้อมมือมาปิดนาฬิกาปลุกที่ตอนนี้บอกเวลาหกนาฬิกานิรมลคงจะนอนต่ออย่างมีความสุขหากไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หญิงสาวถึงกับร้องออกมาด้วยความหงุดหงิดที่การนอนของเธอถูกรบกวน“โว้ย...คนจะหลับจะนอน”แต่เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง...ไม่ยอมหยุดสักที หญิงสาวหันไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือเบอร์โทรศัพท์ของหัวหน้างาน“เฮ้ย!”หญิงสาวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ตั้งสติด้วยการเปิดดูโทรศัพท์อีกครั้ง คราวนี้เสียงโทรศัพท์ทางไลน์ดังขึ้นมาแทน เธอรับโทรศัพท์ทันที‘ผมโทรศัพท์หาคุณตั้งหลายสายแล้ว นี่ตื่นหรือยัง’“อะ...เอ่อ...หัวหน้ามีอะไรคะ ฉันกำลังจะไปทำงานแล้วค่ะ”น้ำเสียงทางฝั่งโน้นไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักเมื่อได้ยินคำถามนี้ เสียงของเขาค่อนข้างเคร่งเครียด ในขณะที่นิรมลยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าทำไมหัวหน้าถึงไม่พอใจเช่นนี้‘คุณลืมอะไรไปหรือเปล่า วันนี้มีประชุมตอนเก้าโมงเช้า เดี๋ยวผมกำลังจะออกจากบ้านละ คุณไปเตรียมเอกสารการประชุมให้พร้อมก็แล้วกัน ผมจะได้อ่า