นิรมลคงจะปิดตากรีดร้องอยู่ในรถอีกนาน หากเธอไม่ได้ยินเสียงแตรรถด้านหลังที่เร่งให้รีบขับออกไป ไม่ใช่จอดรถแช่อยู่แบบนี้
หญิงสาวสะดุ้ง รีบเงยหน้าขึ้นมองถนน...ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอหันไปมองเกาะกลางถนนอีกครั้ง รู้สึกโล่งใจที่ไม่เห็นวิญญาณแก้วตาอีก นิรมลรีบขับรถยนต์ออกไปจากตรงนั้นเพื่อกลับคอนโดฯ
นิรมลรีบขึ้นไปที่ห้อง เมื่อถึงห้องเธอก็ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า ตั้งใจจะเล่าให้เอกภพฟังถึงเรื่องราวที่น่ากลัวสำหรับเธอในวันนี้ แต่เมื่อหยิบมือถือขึ้นมาดู ที่หน้าจอกลับมีสายเรียกเข้ามาแทน
‘แกเป็นไงบ้างเนี่ยนิว เมื่อกี้เพื่อนฉันโทร. มาหา เล่าให้ฟังว่าเจอแกที่ห้องอาหาร ท่าทางเหมือนจะไม่สบาย พวกนั้นขอให้ฉันโทร. หาแกเนี่ยว่าเป็นยังไงบ้าง’
นิรมลยิ้มอย่างโล่งใจที่ได้คุยกับใครสักคน กำลังจะเล่าให้ชมพูนุทฟังว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แต่อยู่ๆ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงแหบๆ พูดกระซิบที่ข้างหูของเธอ
“อย่าเล่า!”
นิรมลหยุดชะงัก หันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจว่าเสียงใครกันแน่ มือยังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น
‘นิว! ยังอยู่หรือเปล่า’
เสียงจากโทรศัพท์ดังลั่นออกมา ทำให้นิรมลสะดุ้งอีกครั้ง หญิงสาวรีบตั้งสติ ก่อนจะรีบตอบคำถาม
“ยังอยู่ เมื่อกี้ทำโทรศัพท์หลุดมือน่ะ นั่งประชุมทั้งวัน ปวดหัวไปหมด”
‘แกเป็นอะไรมากหรือเปล่า แล้วตอนนี้กลับถึงคอนโดฯ หรือยัง’
“ถึงแล้ว เดี๋ยวจะนอนพักสักตื่นคงดีขึ้นแน่ๆ”
นิรมลพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ทางด้านโน้นได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความเป็นห่วง
‘ฉันว่าแกก็เพลาๆ งานลงบ้างเหอะนิว ออกไปกินข้าวข้างนอกบ้าง วันๆ อยู่แต่ในบริษัท นั่งทำงานอยู่แต่ที่โต๊ะ ฉันอยากให้แกออกไปข้างนอกเพื่อผ่อนคลายบ้าง วันพรุ่งนี้ออกไปกินข้าวด้วยกันไหมล่ะ’
“เอาสิ ฉันขอชวนหนึ่งออกไปด้วยนะ นานแล้วนะที่ไม่ได้ออกไปกินข้าวด้วยกัน”
‘ตามใจแกสิยะ จะชวนแฟนไปด้วยกันก็ได้ ฉันขออย่างเดียว...อย่ามาสวีตหวานต่อหน้าฉันก็แล้วกัน อิจฉา!’
นิรมลหัวเราะ เธอวางสายแล้วนึกขึ้นได้ว่าเอกภพยังอยู่ที่ทำงาน จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งถึงเอกภพอีกครั้ง
‘ว่าไงจิ๋ว บีกำลังจะกลับบ้าน จิ๋วจะกลับหรือยัง จะได้กลับด้วยกันเลย’
นิรมลนิ่งอึ้ง นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองหนีกลับบ้านก่อน เธอกำลังคิดว่าจะอธิบายให้เอกภพฟังว่ายังไงดี จนเอกภพต้องส่งข้อความถามอีกครั้ง
‘จิ๋ว...ยังอยู่หรือเปล่า เป็นอะไรทำไมไม่ตอบบี’
‘เอ่อ ขอโทษทีนะบี ตอนนี้จิ๋วกลับมาถึงคอนโดฯ แล้วอะ คือ...เมื่อกี้จิ๋วรู้สึกปวดหัว ก็เลยกลับมาห้องแล้ว ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกบีก่อน’
‘โธ่...บีก็นึกว่าเป็นอะไร ถ้างั้นจิ๋วนอนพักก่อนเถอะ หรือว่าจะให้บีซื้ออะไรไปให้หรือเปล่า’
นิรมลมองนาฬิกา ในตอนนั้นเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว ใจหนึ่งก็นึกอยากเจอหน้าเอกภพ อีกใจก็เห็นใจว่าเขาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว คงอยากจะกลับบ้านไปพักผ่อนมากกว่า
‘จิ๋วไม่เป็นอะไรแล้วละ บีรีบกลับบ้านเถอะ ขับรถกลับดีๆ นะ’
............................................
วันรุ่งขึ้น นิรมลทำตามที่พูดไว้ เธอจัดการชวนเอกภพไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เอกภพรับปากเป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขากลับไปด้วยไม่ได้
“ขอโทษทีนะจิ๋ว บีติดงานด่วน ตอนบ่ายต้องออกไปพบลูกค้า ยังเตรียมของไม่เสร็จเลย จิ๋วไปกินข้าวกับชมพูก่อนก็แล้วกันนะ”
นิรมลเดินมาหาชมพูนุทที่นั่งรออยู่ข้างล่าง อีกฝ่ายได้แต่มองด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงลงมาเพียงคนเดียว
“หนึ่งไปไหนล่ะ ทำไมแกลงมาคนเดียวล่ะนิว”
“หนึ่งต้องออกไปพบลูกค้าตอนบ่าย ก็เลยไม่ออกไปกินข้าวข้างนอกกับพวกเราแล้ว”
นิรมลตอบคำถาม สายตามองไปที่ชมพูนุทอย่างสงสัย
“อ้าว แล้วคนอื่นๆ ล่ะชมพู วันนี้ไม่มีใครมากินข้าวด้วยเหรอ มีแต่เธอกับฉันหรือไง”
ชมพูนุทพยักหน้าตอบรับ เธอก้มลงมองนาฬิกาเห็นว่าเลยเวลาพักเที่ยงแล้ว จึงเร่งนิรมลให้รีบออกไป
“รีบไปกินข้าวเหอะแก ฉันโทร. ไปสั่งข้าวให้แล้ว ไปรถฉันเถอะ”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังไปที่ร้านอาหาร ทั้งคู่นั่งเงียบกริบ นิรมลนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลา อยู่ๆ ชมพูนุทก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
“เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้นานแล้วเนอะ ตั้งแต่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย”
นิรมลพยักหน้ารับ นึกย้อนไปถึงอดีตที่ผ่านมา
............................................
ทั้งสองคนรู้จักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ทั้งคู่เรียนที่คณะเดียวกันแต่คนละสาขาวิชา นิรมลเรียนบริหารธุรกิจ ส่วนชมพูนุทเรียนประชาสัมพันธ์
ทั้งสองคนมาเจอกันเมื่อเรียนอยู่ชั้นปีที่สาม ทั้งนิรมลและชมพูนุทเลือกเรียนวิชาเดียวกัน วันหนึ่งชมพูนุทมาสาย ที่นั่งด้านหลังประจำกลับมีเพื่อนคนอื่นนั่งอยู่เต็มไปหมด หญิงสาวมองไปรอบห้อง เห็นว่ามีที่นั่งว่างเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น ชมพูนุทรีบเดินไปนั่งก่อนที่จะถูกอาจารย์ตำหนิ รีบหยิบสมุดขึ้นมาจดตามที่อาจารย์สอนอย่างตั้งใจ
จนอาจารย์สอนเสร็จ จึงสั่งให้ทำรายงาน โดยให้นักศึกษาจับคู่กับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ชมพูนุทหันหน้าไปมองเพื่อนที่นั่งข้างเธอ อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัว หันมายิ้มให้ แล้วพูดแนะนำตัวก่อน
“ฉันชื่อนิว เธอล่ะ”
“ฉันชื่อชมพู เธอมีคู่ทำงานหรือยัง”
นิรมลหันไปมองเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลัง ก็เห็นว่าทุกคนจับคู่กันหมดแล้ว เธอหันไปหาชมพูนุท
“คนอื่นจับคู่กันไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันทำงานคู่กับเธอก็แล้วกัน”
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองคนเริ่มรู้จักกัน ทั้งคู่แลกไลน์และนัดกันเพื่อทำงานคู่ โดยส่วนใหญ่ชมพูนุทจะเป็นฝ่ายเสนอไอเดียมากกว่า
“ฉันว่าเรื่องนี้ ด้านนี้ต้องมีคนอื่นทำไปแล้วแน่ๆ ฉันว่ามาเลือกหัวข้อนี้ดีกว่า รับรองว่าใครก็คิดไม่ถึง”
ชมพูนุทและนิรมลนัดกันทำงานที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย หญิงสาวเสนอแนะพร้อมกับหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาชี้ให้นิรมลดูข้อมูล อีกฝ่ายอ่านแล้วคิดตามที่เพื่อนนำเสนอให้ฟัง
“ก็ดีนะ นำเสนอมุมมองอีกด้าน ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าจะยังไม่มีใครทำแน่นอน”
ชมพูนุทยิ้มให้ด้วยความพอใจ
“ถ้าแกตกลงตามนี้ งั้นเดี๋ยวฉันเขียนร่างให้แกก่อน แล้วแกก็เอาไปพิมพ์ต่อก็แล้วกันนะนิว”
“อ้าว! ไม่พิมพ์งานด้วยกันเหรอชมพู นี่เพิ่งจะบ่ายสามเองนะ”
ชมพูนุทไม่ตอบ หยิบกระเป๋าขึ้นมาถือ เตรียมตัวจะกลับ ทำให้นิรมลเรียกอีกครั้ง
“อ้าว นี่กลับจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่อยู่ช่วยกันก่อนล่ะชมพู จะได้ทำให้เสร็จ”
ชมพูนุทก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันต้องไปทำงานน่ะ เอาเป็นว่า...งานพวกนี้แกก็หาข้อมูลแล้วก็ทำไปก่อน เดี๋ยวเราค่อยมานัดกันอีกที”
นิรมลพยักหน้ารับรู้ นั่งพิมพ์งานและหาข้อมูลอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ โดยมีชมพูนุทช่วยเสนอแนะและบอกให้เพิ่มเติมข้อมูลอะไรบ้างเท่านั้น จนนิรมลนำงานชิ้นนั้นมาส่งอาจารย์และได้คะแนนเต็มเพียงชิ้นเดียว อาจารย์จึงให้ทั้งสองคนมานำเสนองาน แต่ในครั้งนี้ชมพูนุทขอนำเสนองานเอง
“แกพิมพ์รายงานแล้ว รอบนี้นำเสนอฉันขอออกไปเอง”
นิรมลตกลง ชมพูนุทนำเสนองานได้ดีกว่าที่เธอคิดไว้ และอาจารย์ก็ชื่นชมงานของทั้งสองคนว่าสามารถทำออกมาได้ดี หญิงสาวยิ้มให้กับเพื่อนที่มานั่งข้างๆ และพูดยกยอการทำรายงานของเธอ
“นิวทำงานเก่งมากๆ เลยอะ ถ้าฉันไม่ได้จับคู่กับนิวคงไม่ได้คะแนนเต็มแบบนี้แน่ๆ”
ชมพูนุทพูดชื่นชม แต่นิรมลกลับพูดเพียงแค่ว่า
“งานชิ้นนี้เราสองคนช่วยกัน”
นับตั้งแต่เรียนจบวิชานั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้เรียนวิชาเดียวกันอีกเลย แต่ยังคงพบเจอกันอยู่บ้างภายในมหาวิทยาลัย ทักทายกันบ้างเมื่อพบเจอกัน
หลังจากวันนั้น ธันวาก็ฝันซ้ำๆ แบบเดิมติดต่อกันถึงเจ็ดวัน ในแต่ละครั้งเขาจะพูดบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมรับปากกรกฎ จนกระทั่งในคืนที่เจ็ด เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่มียังคงฝันซ้ำๆ เช่นนี้ รู้สึกเอะใจ คิดว่าน้องชายน่าจะต้องการให้เขาไปจัดการเรื่องที่กรุงเทพฯ และเริ่มมั่นใจว่าน่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับน้องชาย“พี่ช่วยมาดูแลห้องพักให้ผมที พี่จะขายหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่พี่เลยครับ”ธันวาเดินเข้ามาหากรกฎที่ยืนมองเขาด้วยแววตาที่อาลัยอาวรณ์ เขาคิดว่าน้องชายมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะพูด“กฎมีอะไรจะบอกกับพี่หรือเปล่า นี่พี่ฝันเรื่องเดิมๆ แบบนี้ติดกันเจ็ดวันแล้วนะ”กรกฎยิ้ม แต่ใบหน้าของเขายังคงเศร้าหมองอยู่“ผมอยากให้พี่ไปกรุงเทพฯ จัดการเรื่องทรัพย์สินของผมครับ ถ้าพี่ไปที่โน่น คุณนิรมลจะช่วยจัดการเรื่องให้พี่เอง ผมขอร้องนะครับ”ธันวานิ่งเงียบ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาคิดวนเวียนอยู่ว่าควรจะไปดีไหม จนไม่ได้สังเกตว่ากรกฎกลับค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากเขา กระทั่งได้ยินเสียงกรกฎดังแว่วมาจากที่ไกล“พี่ไปกรุงเทพฯ ให้ได้นะครับ ผมหมดเวลาแล้ว”ธันวาสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขานึกเอ
นิรมลและทีมทำงานที่จังหวัดกาญจนบุรีเพียงสองสัปดาห์ พวกเขาก็ได้ผลงานเกินเป้าหมายที่วางไว้ ลูกค้าที่ไปนำเสนอสินค้าพากันซื้อจนสินค้าที่เอาไปไม่เพียงพอ“ผมคุยกับทางท่านประธานแล้ว ท่านบอกว่าทีมเราทำงานกันได้ดีมาก และอนุญาตให้พวกเราหยุดพักผ่อนกันได้ ถ้าใครไม่มีงานด่วนก็กลับไปทำงานวันจันทร์ หรือจะอยู่เที่ยวแถวนี้ก่อนก็ได้นะ”“ไชโย!”ทุกคนร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ โดยเฉพาะชมพูนุทที่หันมาคุยกับนิรมลและเอกภพ“วันพรุ่งนี้ได้กลับบ้านแล้ว”นิรมลนิ่งเงียบ ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว ส่วนเอกภพเขาหันไปพูดกับทุกคน“ผมว่าพวกเรามาเก็บของกันดีกว่า วันพรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้า ดีไหมครับหัวหน้า ดีไหมนิว ชมพู”ทุกคนพยักหน้าเห็นดีด้วย โดยเฉพาะนิรมลที่ไม่ได้พยักหน้าเฉยๆ แต่กลับดึงมือชมพูนุทให้ขึ้นไปข้างบนด้วยกัน“ไปเถอะชมพู ของแกเยอะด้วย กว่าจะเก็บเสื้อผ้า เก็บเครื่องสำอางต่างๆ ของแกอีก”............................................เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ และทยอยขนกร
หลังจากที่ชมพูนุทและหัวหน้าขึ้นรถตู้ออกไปแล้ว นิรมลกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง“พวกเขาไปแล้ว พี่กล้ามารับนิวกับหนึ่งได้เลยค่ะ”เพียงครู่เดียว รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งก็วิ่งมา มันเป็นรถกระบะสีดำมีแคปให้นั่ง เอกภพมองรถแล้วพยักหน้าบอกกับนิรมลให้เข้าไปนั่งที่แคปด้านหลังจะดีกว่า“อำเภอสังขละบุรีนี่ไกลไหมคะพี่กล้า”“ไปอีกประมาณห้าสิบกิโลเมตร หรืออาจจะไปไกลกว่านั้นเพราะต้องไปแนวตะเข็บชายแดน ถ้ายังไงคุณลองเปิด GPS ด้วยก็ได้ จะได้รู้ว่าเราหลงกันหรือเปล่าด้วย”เอกภพที่นั่งด้านหน้าคู่กับคนขับรถจึงต้องเป็นคนที่เปิด GPS เพื่อช่วยเพชรกล้าดูทางตามที่อยู่ตามที่หญิงสาวจดมา“ตอนนี้หาบ้านเลขที่ตามสมุดนี่ไม่เจอเลยนิว เอายังไงดีครับ”เอกภพถามแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ดู ในขณะที่รถยนต์จอดติดไฟแดงอยู่ เพชรกล้าขมวดคิ้ว เขากำลังนั่งนึกถึงสถานที่ที่กำลังจะไปว่าควรจะไปที่ไหนดี“ถ้าอย่างนั้น สถานที่ที่ง่ายที่สุด หาง่ายที่สุด น้องลองเลือกสถานที่เป็นที่ว่าการอำเภอสังขละบุรีก่อนก็ได้ ตอนนี้ไปให้ถึงก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องบ้านเลขที่นี้ว่ามันมีไหมดีกว่านะน้องนิว”
หลังจากกลับมาจากตลาดนัดมาบ้านเช่าชั่วคราว นิรมลที่กำลังเดินเข้าบ้านก็ถูกดึงมือเสียก่อน เธอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นเอกภพที่เป็นคนดึงมือเธอไว้“มาคุยกันก่อนสิจิ๋ว”เอกภพเดินนำหน้าเธอ เขาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน หน้าเอกภพคิ้วขมวดมุ่นราวกับมีเรื่องให้คิด ใบหน้าที่เคยอารมณ์ดีหรือยิ้มหัวเราะให้เธอกลับกลายเป็นใบหน้าที่ดูจริงจัง ทำให้นิรมลคิดว่าเขาคงจะเครียดหรือคิดเรื่องอะไรอยู่“บีมีอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าตาดูจริงจัง จิ๋วทำอะไรผิดหรือเปล่า”“ผู้ชายคนที่คุยด้วยที่ตลาดคือใครเหรอ ทำไมถึงดูสนิทสนมกันจัง”เอกภพถาม หน้าตาดูจริงจัง นิรมลเกือบถอนหายใจ แต่เมื่อเห็นสายตาของเขาที่มองมาแบบต้องการคำตอบ เธอจึงรีบอธิบาย“เขาคือพี่เพชรกล้า สามีของแก้วตาไง คือว่า...จิ๋วมีเรื่องที่จะขอความช่วยเหลือน่ะ”“ทำไมต้องขอความช่วยเหลือด้วยล่ะ ทำไมมีอะไรไม่เห็นจะเล่าเรื่องให้บีฟังบ้างเลย”นิรมลแอบถอนหายใจไม่ให้เอกภพเห็น หญิงสาวเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟังตั้งแต่ต้นเท่าที่เธอจำได้ รวมทั้งเรื่องราวที่เธอมีสัมผัสพิเศษ แต่เอกภพที่ฟังแล้วกลับยิ่งคิ้วขมวดมากขึ้น เมื่
เช้าวันรุ่งขึ้น นิรมลเดินออกมาจากห้องพัก พอดีกับที่รติมา แฟนของกรกฎเปิดประตูออกมาจากห้องข้างๆ เช่นกัน นิรมลทักทายอีกฝ่ายทันที“สวัสดีค่ะคุณรติ เมื่อคืนเข้ามาพักที่นี่เหรอคะ นิวไม่รู้เลยว่าคุณมา”“ค่ะ รติเข้ามาที่นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว รติมาเก็บของ ตั้งใจจะไปพักที่บ้านแม่ค่ะ”รติมาพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง นิรมลเดินมาหาอีกฝ่ายเพื่อจะมาปลอบใจ เธอมองอีกฝ่ายถือของเต็มทั้งสองมือจึงอาสาช่วยเหลือ“ถ้าอย่างนั้นนิวช่วยนะคะ กล่องที่วางหน้าห้องนั่นก็ด้วยใช่ไหม”“ขอบคุณค่ะคุณนิว”รติมายิ้มให้ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ นิรมลยกกล่องกระดาษขึ้นมา ไม่หนักสักเท่าไรหรอก พอถือไหวในระหว่างที่กำลังลงลิฟต์ นิรมลก็ชวนอีกฝ่ายคุยถึงเรื่องของกรกฎ“ว่าแต่ทำไมคุณรติไม่อยู่ห้องนี้ต่อล่ะคะ ทำไมย้ายออกไป?”“บ้านแม่อยู่ใกล้ที่ทำงานรติมากกว่าค่ะ อีกอย่างรติก็รู้สึกผิดกับกฎมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แล้วก็...”รติมาพูดแล้วหยุดชะงัก เธอลังเลว่าควรจะเล่าดีหรือไม่ นิรมลที่กำลังฟังอยู่จึงซักถามให้อีกฝ่ายเล่าต่อ“ยังไงต่อเหรอคะคุณรติ”“เมื่อคืน
เมื่อเข้าห้องพักได้ นิรมลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทร. มาหา แต่ปรากฏว่าหน้าจอโทรศัพท์ไม่มีข้อความหรือสัญญาณสายเรียกเข้าขึ้นมาเลย ทำให้หญิงสาวยืนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างแต่ภาพที่เห็น...ทำเอานิรมลมือไม้อ่อนจนโทรศัพท์แทบจะหลุดจากมือ ตรงบริเวณประตูห้อง เธอเห็นวิญญาณของกรกฎยืนมองเธออยู่ แต่เขาไม่ได้เข้ามาใกล้มากกว่านี้วิญญาณกรกฎยิ้มให้นิรมล เขาไม่ได้มาหาในสภาพที่น่ากลัวอีก และในวันนี้เขามาบอกรายละเอียดในการตามหาพี่ชายให้หญิงสาวรับรู้ และขอให้เธอช่วยทำอะไรบางอย่างในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำเองได้แล้ว“พี่ชายของผมอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาทำงานอะไร แล้วจะยอมมาดูแลห้องพักให้ผมหรือเปล่า แล้วก็...ผมอยากขอให้ช่วยสืบเรื่องแฟนผมด้วยว่าเธอจงใจหรือตั้งใจทำร้ายผมหรือเปล่า”นิรมลนิ่งเงียบฟังข้อมูลที่กรกฎบอก คิ้วขมวดและนึกอะไรบางอย่าง เธอถามเขาก่อนที่กรกฎจะพูดออกมา“ถ้าอย่างนั้นต้องคิดเรื่องการตามหาพี่ชายของคุณก่อนก็แล้วกัน พี่ชายคุณชื่ออะไรคะ แล้วที่บอกว่าอยู่จังหวัดกาญจนบุรีนี่อยู่ตรงไหน จังหวัดนี้มันไม่ใช