‘นิรมล’ หญิงสาวผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต วิญญาณของเธอได้ลงไปยังยมโลกและนึกสงสัยการเสียชีวิตของตัวเอง จนต้องร้องขอท่านยมบาลกลับมาสืบหาความจริงว่าใครเป็นคนทำร้ายเธอกันแน่ แต่ว่า...การย้อนเวลาย่อมมีการแลกเปลี่ยน นิรมลเสนอตัวช่วยเหลือดวงวิญญาณที่กำลังเดือดร้อนจำนวน 5 ดวงด้วยกัน แลกกับการที่ท่านยมบาลยินยอมให้หญิงสาวย้อนเวลากลับไปได้เพียง 90 วันเท่านั้น นิรมลได้ย้อนเวลากลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิม หญิงสาวกลายเป็นคนเห็นผี การช่วยเหลือดวงวิญญาณน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่เธอต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน และได้เรียนรู้ว่าจิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ไม่ว่าจะเป็นแฟนอย่าง ‘เอกภพ’ หรือ ‘ชมพูนุท’ เพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ล้วนแต่น่าสงสัยด้วยกันทั้งนั้น แล้วใครกันนะที่เป็นคนคิดทำร้ายเธอ!?!
View Moreวันที่ 31 เดือนตุลาคม...
รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็ว บนถนนที่กำลังออกนอกจังหวัดกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดนครปฐม มีรถยนต์ผ่านมาบ้างเพียงสามสี่คัน ภายในรถยนต์คันนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นผู้ขับ เธอสวมแว่นตาดำขับรถมาจนถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเหลืองมาเป็นสีแดงภายในพริบตา
หญิงสาวเงยหน้ามองเห็นไฟจราจรเปลี่ยน เท้าเหยียบเบรกรถยนต์ แต่...เบรกกลับไม่ยอมทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้หญิงสาวบนรถเริ่มมีสีหน้าตื่นตระหนก เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นว่ารถไม่ยอมหยุด
“กรี๊ดดด!!!”
โครม!!!
รถยนต์ของหญิงสาวพุ่งชนกับรถอีกคันหนึ่ง เศษกระจกแตกกระจายเกลื่อนกลางสี่แยก รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ที่กระจัดกระจาย เสียงคนกรีดร้องจากริมถนนและรถยนต์คันอื่นที่จอดติดสัญญาณไฟแดงอยู่แถวนั้น เพียงครู่เดียวก็มีพลเมืองดีโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ภัยและตำรวจทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ
น่าแปลก...ที่รถยนต์ของฝ่ายหลังถึงจะพังยับเยิน แต่คนขับรถที่เป็นผู้ชายกลับไม่เป็นอะไรเลย แค่ฟกช้ำจากการถูกกระแทกเพียงเล็กน้อย
กลับกัน...หญิงสาวในรถยนต์อีกคัน ร่างกายกระแทกกับพวงมาลัยรถ เศษกระจกบาดตามตัวของเธอผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น มีชิ้นหนึ่งบาดเข้าที่คอจนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ ทำให้เสียเลือดไปมาก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนหนึ่งเปิดประตูรถยนต์คันนั้นและได้เห็นสภาพของหญิงสาวที่ฟุบอยู่ตรงพวงมาลัยรถ พร้อมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เขาจับชีพจรของเธอ มองไปยังเบาะรถยนต์ด้านหลัง เห็นกระเป๋าถือของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายวางอยู่ เขากำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋านั้นมาดู แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
“เฮ้ย!”
เขาร้องอุทานด้วยความตกใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ว่าเสียงนั้นดังมาจากกระเป๋าตรงหน้าจึงเปิดกระเป๋าออกดู ก่อนพบกับโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้า หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาว่า ‘น้องสาว’
เจ้าหน้าที่กู้ภัยหันมาเจอตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่แถวนั้น เขายื่นโทรศัพท์ให้ตำรวจ แล้วหันมาค้นในกระเป๋าต่อจนเจอกระเป๋าสตางค์ของเธอ เขาเปิดออกดูหาบัตรประชาชน จะได้รู้ว่าหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนนี้คือใคร?
“เจอแล้วครับ ชื่อผู้ตาย นางสาวนิรมล...”
“ที่นี่...ที่ไหนกันนะ?”
หญิงสาวหันมองรอบตัวที่มืดมิดจนไม่รู้ทิศทาง หูได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของมนุษย์หรือสัตว์กันแน่ เธอหันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง และคงหันมองรอบตัวอีกนาน หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“ยังมีดวงวิญญาณหลงเหลืออีกหรือนี่ เจ้าน่ะชื่ออะไร?”
หญิงสาวหันหน้าไปมองก็พบชายคนหนึ่ง รูปร่างดูสูงใหญ่กว่าปกติ แต่ไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีแดง เมื่อเธอหันหน้ามามองเห็นว่าเขามายืนใกล้ชิดจนต้องถอยหลังหนี ด้วยความรู้สึกเกรงกลัวอะไรบางอย่างจาก ‘เขา’
“เจ้ามากับข้าทางนี้เถิด”
ชายคนนั้นเดินนำหน้าหญิงสาวที่ยังคงหันมองรอบทิศทาง หูยังคงเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ยังคงเดินตามหลังทั้งที่ในหัวยังคงมีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่คือที่ไหน จนเห็นสะพานเล็กๆ ตรงหน้า
“เจ้าเดินข้ามสะพานไปด้านโน้นเถิด”
หญิงสาวทำตามโดยดี แต่ก็ยังคงคิ้วขมวดด้วยความสงสัยจนอดที่จะถามไม่ได้
“ที่นี่คือที่ไหนคะ?”
“ที่นี่คือยมโลกยังไงละ หากเจ้าเดินข้ามสะพานไปทางด้านโน้น เจ้าจะได้พบกับท่านยมบาล”
ชายร่างสูงใหญ่นั้นคือ ‘ยมทูต’ นั่นเอง หญิงสาวก้มลงมองตัวเอง ก่อนพบว่าร่างของเธอโปร่งแสง แทบมองไม่เห็นแม้แต่มือ เธอได้แต่พึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“นี่...ฉะ...ฉันตายแล้วเหรอ แล้ว...ฉันตายได้ยังไงคะ”
“นี่เจ้าจำไม่ได้จริงๆ หรือว่าเจ้าตายได้ยังไง เจ้าเกิดอุบัติเหตุ รถยนต์ของเจ้าพุ่งชนกับรถอีกคันกลางสี่แยก”
หญิงสาวค่อยๆ นึกทบทวนความทรงจำ
“ใช่ ฉันจำได้ว่าเบรกรถยนต์ไม่ทำงาน พยายามเหยียบเบรก...แต่...”
‘ยมทูต’ คิดว่าถ้าปล่อยให้หญิงสาวถามอยู่แบบนี้ เธอคงไม่เดินไปไหนแน่ เขาใช้มือลากหญิงสาวให้เดินข้ามไปด้วยกัน
“เจ้าเดินข้ามสะพานไปเถิด ข้าไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวข้าจะต้องไปรับดวงวิญญาณดวงอื่นอีก เจ้ามาทางนี้”
หญิงสาวจะร้องโวยวายหรือขัดขืน แต่เหมือนโดนสะกดให้ต้องทำตาม ระหว่างนั้นเธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้น ภาพในหัวเริ่มค่อยๆ ปะติดปะต่อ และเริ่มชัดเจนโดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ อยู่ๆ พูดโพล่งออกมา
“ใครตัดสายเบรกหรือเปล่า?”
ยมทูตที่พาเดินนำหน้ามาหยุดชะงัก
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เอ่อ ฉะ...ฉันไม่แน่ใจ ทะ...ท่านจะพาฉันไปไหนคะ”
หญิงสาวมีอาการหวาดกลัวเพิ่มขึ้น ยิ่งกำลังจะเดินข้ามสะพานไปอีกด้าน เธอหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัว แต่กลับไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด หูยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งผู้ที่เดินนำหน้าเธอหยุดเดิน ทำให้หญิงสาวหันมามองตรงหน้า
ด้านหน้าของหญิงสาวมีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่สูงจนเธอต้องแหงนหน้ามอง ท่าทางดูมีอำนาจและดูน่าเกรงขาม ยมทูตที่พาเธอเข้ามารีบบอกอีกฝ่าย
“ยังมีดวงวิญญาณอีกหนึ่งดวง กระผมพามาจากด้านหน้านี่เองขอรับ”
“เจ้าชื่ออะไร?”
หญิงสาวกำลังจะตอบ แต่แล้วกลับมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นจนเธอตกใจ ท่านยมบาลรีบออกคำสั่งกับยมทูตตรงหน้า
“เจ้าไปดูทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”
ยมทูตหายไปตามคำบัญชา ท่านยมบาลหันมามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังมองซ้ายขวา มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอก ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องโหยหวนจากที่ดังอยู่แล้วกลับยิ่งดังมากขึ้น จนท่านยมบาลต้องถามซ้ำอีกครั้ง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ดะ...ดิฉันชื่อ นิรมล ติยะสกุลค่ะ”
หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก ท่านยมบาลเปิดประวัติดู คิ้วขมวดด้วยความสงสัยกับข้อมูลตรงหน้า ต่างจากเธอที่มีอาการ ‘กลัว’ อย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเป็นอะไรหรือ”
หญิงสาวหันซ้ายหันขวา ยังคงได้ยินเสียงร้องโหยหวนที่น่ากลัวนั้นอยู่ ปากพูดพึมพำโดยไม่ได้สนใจท่านยมบาลตรงหน้าสักนิด
“ฉันตายแล้วจริงๆ เหรอ ที่นี่คือยมโลก...ฉะ...ฉันตายแล้ว...”
“ใช่ เจ้าตายแล้ว ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนเหล่านั้นหรือไม่ นั่นคือเสียงพวกใจบาปหยาบหนาที่ข้ากำลังลงทัณฑ์พวกมันอยู่!”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ในใจคิดถึงบาปบุญที่เคยทำมา ท่านยมบาลเหมือนจะรู้ความในใจของเธอจึงพูดขึ้นมา
“หากที่ผ่านมาเจ้าทำบุญหรือทำดี ข้าคิดว่าไม่มีสิ่งใดต้องหวาดกลัวดอก”
คำพูดประโยคนั้นไม่ได้ช่วยให้หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้น แต่กลับนึกถึงสาเหตุการตายของตัวเองจนอดที่จะถาม ‘ท่าน’ ไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้สึกเกรงกลัว
“ฉันสงสัยการตายของตัวเองค่ะ ฉะ...ฉันขับรถมา อยู่ๆ เบรกก็ไม่ทำงาน ต้องมีใครคิดทำร้ายฉันแน่”
“เจ้าตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องบนโลกมนุษย์อีก”
ท่านยมบาลพูดเตือนสติ แต่นิรมลอึกอัก คิดลังเลอยู่ในใจ จะพูดดีไหมนะ แต่ถ้าไม่พูด...เธอก็จะไม่มีวันรู้แน่นอน...
“ฉันอยากจะขอร้องท่าน ขอย้อนเวลากลับไปยังโลกมนุษย์อีกครั้งค่ะ อยากขอโอกาสจากท่าน...อยากรู้ว่าฉันไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า หรือว่าไปทำอะไรไม่ดี ถึงต้องมาทำร้ายฉัน...จนตาย”
นิรมลพูดอ้อนวอนท่านยมบาล ถึงแม้ว่าเธอกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้าสบสายตากับ ‘ท่าน’ ได้แต่นั่งก้มหน้า แต่สิ่งที่สงสัยอยู่ในใจกลับมีมากกว่า อีกฝ่ายมองหญิงสาวนิ่ง
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น ไหนลองบอกข้าที ถ้ามีเหตุผลมากพอ ข้าอาจจะรับฟังเจ้า”
นิรมลนิ่งคิด ค่อยๆ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา แต่...เธอกลับนึกอะไรไม่ออกเสียเลย
“ฉะ...ฉัน...เป็นเสาหลักของครอบครัว พ่อแม่คงลำบากแน่ถ้าฉันเสียชีวิต น้องสาวก็ยังเรียนหนังสืออยู่ ไหนจะหน้าที่การงานอีก ฉันยังตายไม่ได้”
ท่านยมบาลมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ไม่พูดอะไรอีก ทำให้นิรมลพูดขอร้องอีกครั้ง
“ฉันรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่...ฉันอยากจะขอร้องท่านสักครั้ง ขอย้อนเวลากลับไปโลกมนุษย์ แค่ครั้งเดียวก็ยังดีค่ะ”
“เจ้าขอร้องข้าขนาดนี้ เจ้ามีสิ่งแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะได้มาง่ายๆ ดอก”
หญิงสาวนิ่งคิด ต้องมีสิ่งทดแทนสินะ จะเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนดี? เธอนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอยู่นานจนอีกฝ่ายไม่พอใจ
“เจ้าจะว่าอย่างไร ข้าไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้ารอคำตอบจากเจ้าเช่นนี้ดอกนะ”
นิรมลสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นสบสายตากับอีกฝ่าย แววตาแสดงความรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ แต่ก็ตัดสินใจพูดออกมา
“คะ...คือ ฉันจะช่วยเหลือดวงวิญญาณที่กำลังเดือดร้อนค่ะ จะได้เป็นบุญกุศลกับตัวฉัน และช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้นด้วย”
ท่านยมบาลนิ่ง อ่านประวัติของหญิงสาวตรงหน้าเพื่อคิดทบทวนอีกครั้ง
“ได้ ความจริงแล้วเจ้ายังไม่ถึงฆาต ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า ข้ายินยอมตามที่ร้องขอ แต่เจ้าจะย้อนเวลากลับไปได้เพียงเก้าสิบวันเท่านั้น และมอบสัมผัสพิเศษเปิดดวงตาที่สามให้เจ้ามองเห็น เจ้าต้องช่วยเหลือดวงวิญญาณห้าดวงตามที่พวกเขาร้องขอ เจ้าจะตกลงตามนี้หรือไม่”
“ตกลงค่ะ”
เมื่อสิ้นสุดคำว่า ‘ตกลง’ หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเบา คล้ายๆ จะลอยไปไหนสักแห่ง และในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติ หูของเธอได้ยินเสียงดังแว่ว
“แต่เจ้าจะจดจำช่วงเวลาเก้าสิบวันที่ผ่านมาไม่ได้ ยกเว้น...”
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ ทั้งนิรมลและนรีนันท์ต้องกลับไปทำงานที่บริษัทตามปกติ ทั้งสองคนขับรถยนต์ออกจากบ้านที่นครปฐมตั้งแต่ตีห้า เพราะต้องแวะคอนโดฯ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนิรมลขับรถยนต์มาเรื่อยๆ บนท้องถนนเวลานั้นยังมีรถยนต์ไม่มากนัก หญิงสาวขับรถยนต์มาแบบสบายๆ จนกระทั่งเริ่มจะเข้าเขตกรุงเทพฯ นรีนันท์เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ“พี่นิว นัทว่ารถคันนี้ขับตามเรามาตั้งแต่ที่นครปฐมแล้วนะ รถคนรู้จักหรือเปล่าพี่นิว”นรีนันท์ชี้ให้ดูพร้อมกับบอกเลขทะเบียนรถ เป็นรถยนต์สีขาวคันเล็ก นิรมลได้แต่ชำเลืองมอง“ไม่รู้จักหรอก รถทะเบียนกรุงเทพฯ นี่นา เขาอาจจะต้องมาทำงานที่นี่เหมือนเราก็ได้ อย่าคิดมากไปหน่อยเลยนัท”ถึงจะได้รับคำตอบแบบนั้น แต่นรีนันท์ยังคงขมวดคิ้ว มองด้วยความสงสัย และต้องการทดสอบบางอย่าง เพื่อจะได้รู้ว่ามันถูกหรือผิดกันแน่“ถ้าอย่างนั้น พี่นิวลองชะลอรถดูสิคะ ดูซิว่าเขาจะขับรถแซงเราหรือเปล่า หรือจะตามมา”นิรมลตอนแรกจะไม่ทำตามเพราะไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่นรีนันท์กลับพูดคะยั้นคะยออีกครั้ง“พี่นิวจะได้รู้ไงคะว่าใครพูดถูกหรือผิด หรือบางทีนั
“อ้าว! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ กำลังจะไปไหนเหรอ?”“ฉันแวะมาหาลูกค้าน่ะ งานเสริมของฉันเอง ตอนนี้เสร็จธุระแล้ว บังเอิญมาเจอกับเธอที่นี่แหละนิว”นิรมลมองหน้าเพื่อนด้วยความดีใจ จนลืมนึกอะไรบางอย่างไป หญิงสาวหลุดปากชักชวนเพื่อนตรงหน้าไปเที่ยวที่บ้าน“ถ้าอย่างนั้นไปบ้านนิวสิชมพู เผื่อว่าจะได้นอนค้างด้วยกัน”นิรมลขับรถยนต์นำหน้ารถของชมพูนุท จนกระทั่งมาถึงหน้าบ้านของเธอ ชมพูนุทที่เพิ่งมาบ้านของนิรมลครั้งแรกได้แต่เงยหน้ามองบ้านเก่าๆ ที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการนิ่งสงบ“มีใครอยู่บ้านหรือเปล่า นัทล่ะ”“นัทไม่อยู่บ้านหรอก บอกว่าจะไปหาเพื่อนเขาน่ะ ชมพูเข้าบ้านก่อน”ชมพูนุทเดินมานั่งที่โซฟา นิรมลเดินมาหยิบน้ำเปล่าให้เพื่อน เธอวางแก้วน้ำพร้อมทั้งขนม ชวนคุยต่อด้วยความตื่นเต้นที่เจอเพื่อน“แล้วเดี๋ยวชมพูจะไปไหนต่อหรือเปล่า จะหาโรงแรมนอนค้าง หรือว่าจะกลับกรุงเทพฯ เลย”“ฉันว่าจะกลับกรุงเทพฯ เลย เย็นนี้มีธุระน่ะ คงอยู่นานไม่ได้หรอก”“ถ้าอย่างนั้นอยู่กินข้าวกลางวันก่อนไหม แม่นิวทำกับข้าวไว้เยอะเลย”ชมพูนุทยังคงส่ายหน้าป
นิรมลเดินกลับขึ้นมาข้างบนห้องนอน ส่วนน้องสาวแยกไปเข้าห้องนอนแล้วเช่นกัน เธอนั่งที่โต๊ะทำงาน มองของทั้งสองชิ้นที่หยิบมาจากบ้านย่าของภูดิศ แล้วหวนนึกถึงคำพูดของแม่ที่พูดเหมือนรู้ว่าพวกเธอทั้งสองคนคิดจะทำอะไร‘เมื่อช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แม่ฝันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฝันว่าลูกทั้งสองคนโดนสุนัขวิ่งไล่กัด ถ้าคิดจะทำอะไรที่มันจะเสี่ยงอันตรายอยู่ละก็...เลิกเสียเถอะนะ’นิรมลมองของตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอพูดพึมพำกับตัวเอง“นิวถอยไม่ได้หรอก ก้าวขาเข้ามาแล้ว”นิรมลพูด มองสมุดบันทึกตรงหน้าออกมาดู ในหน้าแรกแค่อ่านก็น่าสนใจเสียแล้ววันที่ 1 เดือนพฤษภาคม...ฉันขอพ่อแม่มาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะฉันไม่อยากจมปลักอยู่ที่บ้านเกิด จังหวัดเล็กๆ แค่นั้น ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็คงรู้กันไปหมด วันนี้ฤกษ์ดี เป็นวันที่ฉันได้เปิดตัวบริษัทเสียที หลังจากที่เก็บเงินมาได้สักระยะ ถึงจะเป็นการเริ่มต้นจากเล็กๆ แต่สักวันมันจะต้องยิ่งใหญ่แน่นอน ฉันเชื่อแบบนั้น
นิรมลเดินออกมาเข้าห้องน้ำด้านนอก หญิงสาวมองไปรอบตัว ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น เธอหันหลังเดินกลับไปที่ตู้เก็บของด้านหน้า แต่เมื่อมองและค้นหาสิ่งของก็ไม่พบอะไรผิดปกติ มีเพียงรูปถ่ายและของใช้ทั่วไปวางอยู่เท่านั้นนิรมลเกือบจะเดินออกไปจากตรงนั้นแล้ว หากหญิงสาวไม่ได้ยินเสียงคล้ายๆ กับเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านในตู้นั้น เธอขยับตามเสียงแล้วเปิดตู้นั้นออกดูทันทีแอ๊ด...ของในตู้ร่วงหล่นลงมาตามประตูตู้ที่เปิด มีทั้งกระดาษเอสี่ที่ใช้แล้ว กล่องกระดาษที่มีของอยู่ในนั้น นิรมลหยิบกล่องกระดาษมาดูก็เห็นเป็นฮาร์ดดิสก์ หญิงสาวเห็นมีข้อความเขียนไว้บนกล่อง‘ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด’นั่นทำให้นิรมลหยิบมาดูแล้วรีบเอาใส่กระเป๋าของตัวเอง จากนั้นหญิงสาวรีบเก็บของที่หล่นลงมากลับไปใส่ไว้ในตู้เหมือนเดิม ระหว่างที่กำลังเก็บของพวกนั้นเข้าตู้ ก็มีสมุดเล่มหนึ่งตกลงมาตรงหน้าของเธอ เปิดโชว์ให้เห็นข้อความด้านในสมุด จนนิรมลร้องอุทานออกมา“นี่มันสมุดบันทึกนี่นา”นิรมลกำลังจะเปิดสมุดนั้นออกอ่าน เพราะอยากรู้ว่าสมุดบันทึก
เช้าวันเสาร์ นิรมลลุกขึ้นมาใส่บาตรตั้งแต่เช้า ตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงพิษณุ วิญญาณที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากเธออยู่นิวไม่รู้ว่าที่ตามสืบอยู่จะมาถูกทางหรือเปล่า แต่จะพยายามค้นหาความจริงให้ได้โดยเร็วที่สุดนะคะหลังจากใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย นิรมลเดินกลับขึ้นมาข้างบนห้อง พบว่าห้องเงียบราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ หญิงสาวจึงเดินไปเคาะประตูห้องนอนของนรีนันท์ และเมื่อบิดลูกบิดประตูก็พบว่าไม่ได้ล็อก เธอจึงเปิดเข้าไป เจอน้องสาวยังคงนอนอยู่บนเตียง“นัท ตื่นเถอะ จะได้กลับบ้านนครปฐมกัน”นรีนันท์ขยับตัว ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ อยากจะนอนหลับต่อเพราะเมื่อคืนเธอเอางานกลับมานั่งทำต่อจนดึกดื่น จึงได้แต่พลิกตัวหนีพี่สาว หันไปอีกทางด้วยความง่วง“อ้าว...นัทลุกขึ้นสิ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”“นัทไม่ไปไม่ได้เหรอ นัทง่วง...พี่นิวกลับไปคนเดียวเถอะ”“นัท...นัท”นิรมลเขย่าตัวอีกครั้ง แล้วก็หยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเธอเดินออกมาเข้าห้องน้ำก็ยังเห็นน้องสาวนั่งทำงานอยู่ด้านนอก หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ เดินออกมาด้านนอ
หลังจากวางสายนิรมลไปแล้ว นรีนันท์ยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ หญิงสาวมองรถและผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมานั่งรออยู่ตรงนี้เสียเวลาเปล่า ลองเข้าไปในซอยดีกว่านรีนันท์เดินเข้ามาในซอยสิบหก เธอมองซ้ายมองขวาเพราะไม่รู้เส้นทาง และคอยมองหาว่าร้านอาหารที่ชมพูนุทไปอยู่ตรงไหน หญิงสาวเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบสุดซอยทีเดียวจึงได้พบกับสถานที่ตามต้องการ“ร้านหรูเหมือนกันนะเนี่ย”นรีนันท์พูดกับตัวเอง เธอมองเข้าไปในร้านเห็นมีลูกค้าอยู่เพียงสองสามโต๊ะ และหนึ่งในนั้นก็มีชมพูนุทนั่งอยู่ด้วย เธอนั่งหันหน้าออกมาข้างนอก เพื่อนร่วมโต๊ะของชมพูนุทเป็นผู้ชาย น่าจะอายุมากแล้ว แต่เธอเห็นหน้าไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร ได้แต่ยืนมองอยู่ด้านนอก“เชิญด้านในได้เลยนะคะ ในร้านมีที่นั่งว่างอยู่ค่ะ”พนักงานของร้านออกมาต้อนรับนรีนันท์ หญิงสาวเห็นเป็นโอกาสจึงรีบบอกพนักงาน“ฉันขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ แล้วก็จะขอสั่งอาหารกลับบ้านค่ะ”“ได้ค่ะ ห้องน้ำอยู่ทางด้านหลัง เชิญทางนี้ได้เลยค่ะ”พนักงานเตรียมเปิดประตูร้านให้นร
Comments