ต๊อก ต๊อก
“ขออนุญาตอีกครั้งค่ะนายหญิง”
หญิงสาวคนเดิมเดินกลับมายังห้องทานอาหารระหว่างที่พวกเรากำลังทานข้าวเช้ากันอยู่ ในมือของเธอถือซองจดหมายเล็กๆ ไว้หนึ่งฉบับ รอบนี้เธอเดินตรงไปหาแม่ของบลูพร้อมกับยื่นจดหมายฉบับนั้นให้อย่างทะนุถนอม
...
ครั่งสีแดงที่ประทับอยู่บริเวณกลางซองจดหมายปิดผนึกมีอักษร” AC” ประทับไว้ เมื่อเฮร่าได้เห็น สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ใช่ในทางไม่ดี หญิงแก่อมยิ้มบางๆ อย่างอบอุ่นจนบลูที่เห็นเอียงคอสงสัยเล็กน้อย
“อะไรหรอคะ?”
กึบ!
เธอแกะซองจดหมายออกอย่างช้าๆ พร้อมกับหยิบกระดาษที่มีเนื้อหาภายในออกมาอ่านอย่างตั้งใจ
“บัตรเชิญจากเพื่อนเก่าแม่น่ะลูก”
“...?”
หญิงแก่อ่านเนื้อหาภายในอย่างจดจ่อก่อนจะยิ้มให้เนื้อหาตรงหน้า แต่ต่อมาพอสายตาของเธอเลื่อนต่ำลง รอยยิ้มที่เคยกรุ้มกริ่มก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความหนักใจอ่อนๆ
“คุณแม่...?”
“มีอะไรหรอที่รัก?”
ทุกสายตารวมถึงเมดสาวที่ยังไม่ได้เดินออกจากห้องเองก็อยากรู้ว่าเนื้อหานั้นมีอะไรกันแน่
“บลู ...ลองอ่านดูสิ”
...
...ฉันหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกยื่นให้เข้ามาอ่านอย่างช้าๆ
“ถึงเฮร่าเพื่อนเก่า เราไม่ค่อยได้ส่งจดหมายหากันเลยนะช่วงนี้ น่าจะหนึ่งปีแล้วรึเปล่า เธอเป็นยังไงบ้าง คงทำตัวสบายๆ เหมือนเดิมแหละเนอะ ส่วนฉันที่วุ่นวายอยู่กับการรับเด็กเข้าใหม่ตอนนี้หัวจะปวดมากๆ อิจฉาเธอสุดๆ ไปเลย หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ ฉันคิดถึงเธอกับโยดินมากๆ เลย เกริ่นมายาวแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยละกัน ลูกสาวของเราอายุเท่ากันสินะ งั้นตอนนี้เธอน่าจะกำลังวุ่นอยู่กับการหาโรงเรียนให้ลูกเรียนต่อใช่ไหม ถ้าเป็นที่” อคาเดม” ล่ะ ฉันพร้อมดูแลลูกสาวของเธอให้เหมือนกับเป็นลูกของตัวเองนะ อีกอย่างลูกสาวฉันก็อยากเจอบลูด้วย ช่วงนี้แกพูดถึงบลูตลอดเลย ยังไงถ้าตัดสินใจได้แล้วก็ติดต่อกลับมานะ
ด้วยรักและคิดถึง จากเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ดอริส ดิแอนเจโล่”
...ทำไมถึงดูเป็นจดหมายที่เขียนเล่นๆ แบบนี้กันนะ? มันน่าเชื่อถือแน่ใช่มั้ย ...ชื่อโรงเรียนคุ้นหูจัง
ถึงฉันจะตั้งคำถามกับตัวเองหลังอ่านจดหมาย แต่สิ่งนั้นไม่สำคัญเท่าข้อความหนึ่งที่ติดใจฉันมาตั้งแต่เมื่อครู่
“แม่คะ คนในจดหมายคือใครหรอคะ?”
“เพื่อนเก่าแม่กับพ่อตอนสมัยเป็นนักเรียนน่ะ”
“ไม่ใช่ค่ะๆ เด็กคนนั้น ...ลูกสาวของเขา”
“อ๋อๆ หนูแกรดไง”
...แกรดไหน?
ใบหน้าฉงนของบลูทำให้ผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมาก่อนจะเล่าประวัติคร่าวๆ ของดอริสให้บลูฟัง
“ดอริสเป็นเพื่อนเก่าพวกพ่อ เธอเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเวทมนตร์อคาเดมอยู่ที่เมืองหลวง “เซอร์เมีย” โรงเรียนเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศน่ะ ลูกสาวเธอชื่อแกรด อายุเท่าๆ กับลูก ตอนเด็กๆ ที่พวกพ่อไปเมืองหลวงแล้วลูกไปด้วย พวกลูกก็ได้เจอกันอยู่นะ เด็กคนนั้นก็มักจะเข้ามาหาลูกตลอดเลยนะ”
“... อ๋อ”
เมื่อลองทบทวนเรื่องในอดีตฉันก็พอจำความได้รางๆ เด็กสาวผมเปียสีชมพูท่าทางร่าเริงเต็มไปด้วยพลังงานตลอดทั้งวันคนนั้นเอง
...
...ครั้งสุดท้ายก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน ในตอนนั้น เราสัญญาอะไรกันไว้นะ
คำพูดที่เลือนรางด้วยเนื้อหา มีเพียงสายตาแห่งความหวังและปากที่ขยับไปมาเท่านั้นที่ฉันยังพอจะจำได้
เรื่องของคนที่ชื่อแกรดนั่นเอาไว้ก่อนละกัน ตอนนี้ที่ต้องให้ความสนใจคือเรื่องของบัตรเชิญในจดหมาย
“โรงเรียนนั้นเป็นที่แบบไหนหรอคะ?”
...ฉันถามผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัยเพราะไหนๆ เธอที่เป็นศิษย์เก่าของที่นั่นน่าจะพอบอกอะไรเราได้บ้าง
“เป็นโรงเรียนชั้นนำของประเทศเลยล่ะลูก ทุกอย่างดีหมดเลย เพียงแต่...”
....
“...อย่างที่ดอริสบอกไว้ในจดหมาย โรงเรียน ...มันตั้งอยู่ที่เมืองหลวง”
คำพูดนั้นทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ ความรู้สึกผิดหวังเริ่มก่อขึ้นอย่างช้าๆ
...ทำไมกัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเสียดายโรงเรียนนั่นขนาดนั้น หรืออะไรกันแน่ที่ฉันอยากเจอที่โรงเรียนนั้น
“...หนู ...อยากลองไป...”
“บลู แน่ใจหรอ?”
ผู้เป็นพ่อรีบพูดขัดด้วยความตกอกตกใจ เหตุผลที่โรงเรียนอันดับหนึ่งของประเทศไม่อยู่ในรายชื่อที่พวกเขาแนะนำกับเด็กสาว นั่นเพราะสถานที่ตั้งที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศเมื่อเทียบกับบ้านที่อยู่เหนือสุดของประเทศ การเดินทางไปมานั้นแสนจะยาวนาน อีกทั้ง พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าลูกสาวของตนนั้นมีปัญหากับการเข้าสังคม
“ลูซิลล่า” เมืองที่ฉันอาศัยอยู่ในตอนนี้ ส่วน “เซอร์เมีย” คือชื่อของเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ
...ระยะทางนั้นอาจไม่สำคัญเท่าเหตุผลจริงๆ ที่คนทั้งสองพยายามคัดค้านฉัน
“ที่นั่นคนเยอะนะลูก”
“...”
...มันคือเหตุผลที่พวกเขาเป็นห่วงฉัน นิสัยที่แท้จริงของฉัน คือเกลียดการเข้าสังคม ทุกแววตาที่คนรอบข้างมองมาที่ฉันล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าจะไปที่ใดในเมืองไหน สายตาทั้งหมดล้วนเป็นไปตามที่กล่าวมา พวกเขากลัวการเผชิญหน้ากับตระกูลนี้แม้เราจะไม่ได้ทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจเลยก็ตาม
“เก็บไว้คิดอีกทีเนอะลูก แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันใหม่”
“แล้วถ้าหนูยังยืนยันคำเดิมล่ะคะ?”
ฉันถามชายแก่ด้วยแววตาอันมุ่งมั่น
“ถ้างั้นพวกพ่อก็คงไม่ขัดลูกหรอก”
ฟึบ ฟึบ
บลูออกมายืนรับลมหนาวอยู่ในสวนหลังบ้าน เบื้องหน้าของฉันคือทะเลสาบอันกว้างใหญ่ น้ำสีฟ้าครามและเหล่าปลาน้อยใหญ่ที่ดำผุดดำว่ายไปมาใกล้ขอบสระที่ฉันยืนเหมือนเป็นสัญญาณว่าพวกมันกำลังรอบางอย่างจากฉัน
...
ปิ้ง!
ในมือของเด็กสาวถือถุงอาหารปลาห่อใหญ่อยู่ห่อหนึ่ง
...รอแป๊บนึงนะ
เธอค่อยๆ แกะซองอาหารออกอย่างละเมียดละไมก่อนจะโปรยอาหารให้กระจายออกไปรอบๆ สระ
จ๊อบ แจ๊บ จ๊อบ แจ๊บ
โดยที่ฝูงปลามากมายกรูกันเข้ามากินอาหารที่ถูกโยนให้ เด็กสาวยืนมองพวกมันอย่างมีความสุขพลางปัดมือสองสามทีเพื่อสลัดเศษอาหารบนมือออก
...ถ้าฉันไม่อยู่พวกแกคงต้องให้คนอื่นมาป้อนให้ก่อนนะ
...
...อคาเดม?
...แกรด?
...สองชื่อนี้กลายเป็นสิ่งที่หมกมุ่นอยู่ในหัวฉันทั้งวัน
...ถ้าต้องไปที่นั่นจะต้องอยู่คนเดียวสินะ แล้วฉันจะพอหาเพื่อนได้บ้างมั้ยนะ คนที่ชื่อแกรดอะไรนั่น ...ถ้าถึงตอนที่เราได้เจอกันจริงๆ เธอดันเกลียดฉันขึ้นมา เราคงต้องหาเพื่อนใหม่อีกสินะ
...เห้ออออ
ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ความไม่แน่นอนของอนาคตสั่งให้มือของฉันขยับขึ้นมาลูบท้ายทอยทีหนึ่งพลางขมวดคิ้วตามองจ้องหมู่ปลาที่กำลังแย่งกันกินหัวอาหารด้วยความชุลมุน
ฉันทิ้งตัวลงบนผืนหญ้านั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวพลางมองออกไปข้างหน้าสุดขอบทะเลสาบอีกฟากฝั่ง หนึ่งเดือนต่อจากนี้คือตัวกำหนดอนาคตของฉันและความเป็นไปทั้งหมดของตระกูลเชอร์โนบ็อก
...บางที
“...ถ้าฉันสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลในทางที่ดี ถ้าฉันเปลี่ยนมันได้ ...ทุกคนอาจจะมองเราในแง่ที่ต่างไป มั้ย?”
...แบบนั้นจะดีต่อเรากว่านี้รึเปล่านะ
พลังเวทที่เอ่อล้นของเด็กสาวถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น ส่วนในเรื่องของผลการเรียนก่อนหน้าก็อยู่ในระดับสูงทีเดียว การเรียนรู้เนื้อหาในตำราจึงไม่ใช่อะไรที่บลูจะต้องกังวลมากนัก ที่ต้องกังวล คงมีแค่เรื่องการเข้าสังคมนี่แหละ
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
“พ่อคะ! แม่คะ! ...หนูอยากรู้ข้อมูลของโรงเรียนอคาเดมเพิ่ม”
...
หลังจากคำขอเกริ่นในคำตอบของบลูถูกส่งไปยังคนทั้งสอง สองคู่สามีภรรยามองตรงมายังแววตาอันเด็ดเดี่ยวของบลูก่อนจะหันกลับมามองหน้ากันเพื่อปรึกษา
...
สายตาพินิจพิเคราะห์สองคู่มองจ้องกันอย่างเงียบๆ อยู่ช่วงเวลาหนึ่งก่อนในท้ายที่สุดผู้เป็นพ่อจะหันหน้ากลับมาหาลูกสาวของตน
“ก็ได้...”
รอยยิ้มอย่างยอมรับผุดออกมาจากแก้มซ้ายขวาของผู้เป็นพ่อ ชายแก่ลุกขึ้นยืนพลางชวนบลูและภรรยาของตนให้เดินออกไปด้วยกัน
“ตามมาสิ”
ณ หอสมุดประจำบ้าน ห้องที่ตั้งไว้ห่างจากห้องอาหารเพียงสองช่วง
แอ๊ดดด...
ฉันเรียกที่นี่ว่าห้องสมุดประจำบ้าน สถานที่อีกแห่งซึ่งให้ความสงบและเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้นอกห้องเรียนของฉัน ห้องสี่เหลี่ยมขนาดสูงใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยชั้นหนังสือเรียงรายหลายพันเล่ม แสงแดดรำไรลอดผ่านกระจกหน้าต่างบริเวณกลางห้อง รอบขอบข้างห้องมีระเบียงชั้นสองให้ขึ้นไปยืนเล่นนั่งเล่นเพื่ออ่านหรือหาหนังสือจากชั้นบนได้อย่างสะดวก บริเวณกลางห้องถูกโต๊ะขนาดใหญ่วางขวางไว้พร้อมกับกองหนังสืออีกสองสามเล่มที่ฉันไม่ได้เก็บในครั้งล่าสุดที่อ่านวางกระจัดกระจายไว้อยู่เลย
เราสี่คนเตรียมใจมาพร้อมสำหรับคำว่า “หมู่บ้านร้าง” มันคงเป็นสถานที่ซึ่งไม่เหลือความเป็นชิ้นเป็นอันให้ชมชื่นแน่แท้“อะ อ่าว...”ความพร้อมทั้งกายและใจดูท่าจะเสียเปล่าเมื่อบ้านเรือนเบื้องหน้าซึ่งถูกพูดถึงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น แม้จะไม่มีใครอยู่จริงแต่สภาพหมู่บ้านก็ไม่ได้เละเทะขนาดนั้นจริงอยู่ว่าสภาพหมู่บ้านเละเทะตามที่ถูกพูดถึง แต่เพราะยังมีบ้านเรือนอีกหลายหลังที่ยังคงสภาพเดิมได้ไม่ถูกทำลายหรือมีความเสียหายอะไรเลยตุ๊บ ตุ๊บสัมภาระส่วนตัวของเราถูกวางกองไว้หน้าทางเข้าหมู่บ้านรวมกับอาหารการกินชุดแรกที่ถูกเตรียมมาด้วยกัน“เดี๋ยวสิๆ”อายทึกทักภาพที่เห็นตรงหน้า“?”“นี่มัน ปิดเทอมในฝันเลยนี่”...จริงตามที่อายพูด“...ดีจริงๆ ที่มา”แกรดฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะชวนกันเดินผ่านทางเข้าๆ ไปข้างในรั้วไม้เตี้ยๆ ซึ่งกั้นอาณาเขตหมู่บ้านเอาไว้ ภายในมีอาคารบ้านเรือนเล็กๆ ปลูกเรียงรายโดยรอบนอกรั้วขนาบไปด้วยทุ่งนาที่ว่างเปล่าไร้การดูแลรักษามาสักพักหนึ่งแอ๊ดดดดห่างจากประตูทางเข้าหมู่บ้านไม่ไกล ฉันเหลือบไปเห็นร้านอาหารร้างร้านหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ชวนให้เราอยากลองเข้าไปสำรวจภายในโต๊ะทานอาหารสำหรับลูกค้าวา
“โฮ้ว! ชอบๆๆๆ”ลิลิธเบิกตาตื่นกับอาหารตรงหน้า ทั้งขนมหนาวหน้าตาน่าทานและข้าวหน้าเนื้อที่ถูกปรุงแต่งอย่างสละสลวยเข้ากับบรรยากาศริมน้ำยามบ่ายรูปแบบการนั่งติดพื้นทำให้ทั้งอายและลิลิธแปลกใจพอสมควรในทีแรก“แกรดคิดว่าจะได้ให้คุกกี้กับใครหรอ?”อายหันไปถามเด็กสาวขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารตรงหน้ากันอย่างเอร็ดอร่อย“...คิดว่าชาเซน่าจะชนะนะ”แกร๊งเสียงช้อนที่ฉันเผลอทำหลุดมือหลังได้ฟังคำตอบที่คาดไม่ถึงบลูตาค้างพลางมองแกรดด้วยความทึ่ง“...?”...แกรดไม่ได้เชียร์เราหรอ?ตุ๊บ...ฉันทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเหมือนหมดอาลัยตายอยาก น้ำตาของผู้แพ้ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาที่ไร้ชีวิต“ทำโอเวอร์ไปได้ เราพูดเล่นๆ”“อะ ร หรอ? ...ตกใจหมดเลย”เด็กสาวผมเทาฟื้นตัวกลับมามีชีวิตชีวาภายในเวลาอันรวดเร็ว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า บลูนี่ชอบแกรดมากเลยเนอะ”“เอ๊ะ!! ...ช ชอบสิ”ฉันเผลอตอบไปตามสถานการณ์อันสับสนซึ่งแน่นอน ทั้งสองคงคิดว่าความหมายข้างต้นคงแบบเพื่อนสนิททั่วๆ ไป“อืม รู้อยู่แล้วล่ะ”“!?”“เพื่อนรักเลยนี่เนอะ”เฮือก!ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังใจตกไปอยู่ตาตุ่มครู่หนึ่ง“ฮะ ฮ่า ฮ่า กินข้าวต่อเถอะๆ”ว่าแล้วเด็กสาวเจ้าของคำถามก็เปลี่ย
บทที่ 9 : คำถามบนกระดาษข้อสอบกริ๊ง กริ๊ง กริ๊งสายลมยามบ่ายพัดกระทบกระดิ่งลมลายฉลุสีเขียวที่คล้องแขวนอยู่หน้าประตูบ้านเปล่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะไปทั่วทั้งตึก...ค่ะ ทั่วตึก ตอนที่ฉันเดินลงไปด้านล่างอาคารก็ยังได้ยินเสียงแว่วเบาๆ ของมันเลย หวังว่าทุกคนจะไม่ร้องเรียนเรื่องเสียงนี้นะ...ยามบ่ายของวันธรรมดาหลังเลิกเรียน เราทั้งสองกำลังขะมักเขม้นอยู่บนโซฟาพลางหยิบสมุดขึ้นมาอ่านคนละเล่มอย่างตั้งใจ“บลู ปีนี้พระราชาอายุเท่าไร?”“ปีนี้ ...ห้าสิบ”“ถูกต้องงงง”“คนในประเทศนี้สามารถแต่งงานกันได้ตอนอายุเท่าไหร่”“สิบหกปีทั้งชายและหญิง”“ใช่ งั้น ...ธาตุไฟกับธาตุดิน ถ้าเอามารวมกันสามารถทำอะไรได้บ้าง?”“....อืม เครื่องปั้นดินเผา”“...อ อืม ถูกต้อง”...แม้จะมั่นใจว่าตอบได้เกือบทุกข้อแน่แต่เราก็ต้องไม่ชะล่าใจเพราะอีกหนึ่งเดือนจะถึงช่วงสอบปลายภาคแล้วเราสองคนใช้เวลาช่วงพักผ่อนไปกับการอ่านหนังสือเตรียมความพร้อมก่อนสอบ...ถึงจะเรียกว่าอ่านหนังสือก็เถอะ แต่แบบนี้ใครจะไปมีสมาธิกันบนตักของฉันมีเด็กสาวผมเปียคนหนึ่งกำลังใช้หัวของเธอหนุนเอาไว้พลางเปิดหนังสืออ่านไม่สนใจ มือของเธอยื่นขึ้นมาลูบปอยผมสีเทาของฉ
“จะถึงท่าแล้วนะ”เช้าวันใหม่ ลิลิธซึ่งตื่นเช้าเป็นคนที่สองต่อจากอาจารย์มูฟรีร่าที่ทำหน้าที่บังคับเรือ เด็กสาวตะโกนปลุกเราให้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นพลางชมเมืองท่าที่กำลังจะไปถึง...ง่วง!ฉันถูกลากขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือพร้อมกับคนอื่นๆ เราทั้งหมดยืนมองแสงสีส้มที่กำลังไต่ระดับขึ้นสู่น่านฟ้า....อาจารย์มากาเลต? น่าจะเมา ตื่นไม่ไหว“...”เมื่อเข้าใจว่าคนอีกคนที่หายไปคือใครฉันก็พร้อมจะไม่สนใจแล้วเพ่งมองแสงแรกของวันอย่างจดจ่อต่อไปปิ๊ง...มันเหมือนกับสัญญาณเริ่มวันใหม่ที่สดใส ใต้วิวทิวทัศน์ที่แสงสีส้มโผล่ขึ้นมาคือพื้นสีคราม มันสะท้อนกันเสมือนกับมีดวงอาทิตย์สองดวงสะท้อนกัน...ตามตำราที่ฉันเคยอ่าน มีสองทฤษฎีที่พูดถึงดวงอาทิตย์กับโลกของเรา พวกเขาถกกันไม่จบสิ้นว่าจริงๆ โลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือดวงอาทิตย์หมุนรอบเรากันแน่ หากถามฉัน แน่นอนว่าฉันไม่รู้นอกเสียจากการคาดเดาว่าดวงอาทิตย์มันใหญ่กว่าโลก...แต่ใครจะไปหมกมุ่นกับดวงอาทิตย์ก็ช่างเขา ฉันสนแค่มันยังส่องแสงสว่างให้เราได้ทุกเช้าก็พอ“ฟุ ฟุ ตอนเช้าต้องยิ้มนะ”บลูเผลอเหม่อมองดวงอาทิตย์จากเงาสะท้อนบนผิวน้ำจนใบหน้าเคร่งขรึมไม่รู้ตัว แกรดที่เห็นท่าไม่ดีจึ
...ข้าวเย็น ไม่เห็นมีคนทำเลย...ไม่ผิดใช่มั้ยที่ฉันเห็นฝูงปลาพวกนี้แล้วจู่ๆ ความคิดเรื่องข้าวเย็นก็ผุดขึ้นมาฉันกวาดตามองคนในเรือโดยไม่พูดอะไร ท้องของฉันเริ่มหิวแต่ไม่ยักกะมีใครเตรียมอาหารค่ำ“ก แกรด”ฉันเดินไปกระซิบถามเด็กสาวที่สนิทสนมที่สุดในเรือ“หืม?”“เรา ...ไม่กินข้าวเย็นกันหรอ?”“อ๋อ ลืมบอกบลูไปเลย เราจะตกปลากินกันน่ะ”“ตกปลา?”“อืมๆ ว่าแล้วก็ช่วยเราเตรียมของขึ้นมาหน่อยสิ”เด็กสาวกวักมือชวนฉันให้ลงไปห้องโถงใต้ท้องเรือกับเธอ ภายในมุมผนังห้องโถงซึ่งมีคันเบ็ดยาวถูกจัดเตรียมไว้ให้หลายสิบคัน แกรดบรรจงเลือกไม้ที่ดีที่สุดแล้วหันมาถามความเห็นจากฉัน“ม ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยตกปลาน่ะ”“อืม ...งั้นเราว่าบลูน่าจะชอบอันนี้นะ”แกรดหยิบหนึ่งในเบ็ดที่วางเรียงอยู่บนผนังแล้วยื่นมาให้ฉันด้วยความมั่นใจโดยที่ฉันแทบแยกความต่างของไม้นี้กับไม้อื่นไม่ออกเลย“ขอบคุณนะ แต่ฉัน ...ไม่ค่อยเก่งเรื่องตกปลา”“เดี๋ยวเราสอนๆ”เด็กสาวตอบกลับอย่างเริงร่าก่อนจะเดินแบกคันเบ็ดคันอื่นขึ้นไปด้านบนเรือของเราหยุดลงกลางทะเล ช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนมาถึงเมื่อท้องฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำคืนปุ๊ฟ...ลูกไฟดวงใหญ่ถูกจุดขึ้นเหนือเรือ มั
เวลามุ่งสู่วันออกเดินทางอย่างรวดเร็วเราทั้งสี่ถูกรถม้ารับไปส่งยังท่าเรือแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาเดินทางจนเห็นท้องทะเลยามเที่ยงวันพอดิบพอดี“...ทะเล”“...”สายลมเย็นเริ่มพัดแรงขึ้น พวกมันพัดเอาความรู้สึกเหนอะหนะอ่อนๆ ติดมาด้วยพร้อมๆ กับกลิ่นทะเลที่แปลกแตกต่างจากกลิ่นธรรมชาติทั่วไปเสียงคลื่นเริ่มดังขึ้นขณะที่รถม้าเดินทางเข้าใกล้ท่าเรือใหญ่ท่าเรือเซอร์เมีย ท่าเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ทันทีที่เราทั้งหกผ่านเข้าอาณาเขตของท่าเรือ ความวุ่นวายก็เริ่มปรากฏ ฉันมองเห็นผู้คนที่กำลังเดินไปมาเพื่อขนส่งของต่างๆ โดยส่วนมากมักจะเป็นสัตว์ทะเลที่ถูกจับมาเพื่อใช้ส่งไปค้าขายยังที่อื่นอีกที“เราเป็นตัวแทนมาจากอคาเดมค่ะ”มูฟรีร่าตรงไปทักทายผู้ดูแลเรือคนหนึ่งในป้อมบริการก่อนจะขอใช้เรือส่วนตัวของโรงเรียนเพื่อออกเดินทาง หญิงสาวยื่นเอกสารยืนยันตัวตนให้ผู้ดูแลคนนั้นพร้อมกับแนะนำตัวแบบคร่าวๆ“ครับๆ ....อืม เรืออยู่ทางนู้นนะครับ”ชายวัยกลางคนผายมือไปที่เรือลำหนึ่งซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ไม่ห่างจากที่พวกเรายืนอยู่มากนัก“ค่ะ ...ขอบคุณค่ะ”“อ...อาจารย์ครับ!”ชายคนนั้นทึกทักเหมือนอยากจะไถ่ถามบางอย่างกับอาจารย์มูฟรีร่า