ต๊อก ต๊อก ...
ผู้เป็นพ่อเดินไปหยิบสมุดปกหนามาหนึ่งเล่มพร้อมกับแผนที่ประเทศที่วางอยู่อีกฝั่งก่อนจะนำของทั้งสองชิ้นมาวางไว้ตรงโต๊ะกลางห้อง
ฟึบ!
ชายแก่เริ่มต้นด้วยการกางแผนที่ออกอย่างบรรจงก่อนจะใช้หนังสือที่วางอยู่แต่เดิมบนโต๊ะมาทับกระดาษแผนที่ตรึงไว้กับโต๊ะ
“ตรงนี้คือบ้านของเรา ส่วนตรงนี้คือโรงเรียนอคาเดม แล้วตรงนี้ก็เป็นเมืองหลวง”
ผู้เป็นพ่อเริ่มอธิบายสถานที่ตั้งของโรงเรียนให้บลูเข้าใจอย่างละเอียดโดยชี้นิ้วไปตามจุดสำคัญต่างๆ
ทางเหนือสุดของประเทศ สถานที่ซึ่งเป็นพิกัดที่ตั้งของบ้านฉัน ถัดลงมาตามนิ้วที่ชี้ลากเป็นเส้นตรง ทางซ้ายมือคือเมืองเฮลเก้ ส่วนทางขวาคือไนมูเอล ถัดลงมาอีกทอดคือเมืองมาร์ตินและเมืองฟาร์ฮาน โดยใต้ของเมืองทั้งสองจะมีเมืองมิชก้ากับเมืองซิมรีกั้นเมืองเซอร์เมีย เมืองหลวงของประเทศเอาไว้ รอบๆ ประเทศแห่งนี้จะมีประเทศไอชาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ประเทศทาฮีร์ทางตะวันออกเฉียงเหนือและอคาคิออส ประเทศที่อยู่ทางใต้ของเราซึ่งจะติดกับเมืองหลวง
“ถ้าลูกจะไปที่นั่น ระยะทางจะห่างจากที่นี่สี่เมืองเลยนะ เราจะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว เข้าใจที่พ่อพูดรึเปล่า?”
น้ำเสียงที่ถูกเอ่ยถามอย่างกระอ้อมกระแอ้มจากผู้เป็นพ่อมิทำให้ความตั้งใจของเด็กสาวไขว้เขว
“ค่ะ...”
“ถ้างั้นมาดูอันต่อไปดีกว่า”
พ่อของฉันพับแผนที่เก็บแล้วนำสมุดเล่มหนาก่อนหน้ามากางออกแทนที่ มันคือสมุดที่มีการสเก็ตช์ภาพโรงเรียนอคาเดมเอาไว้พร้อมกับข้อมูลวิชาที่สอนและรายชื่อบุคลากรในโรงเรียน
“เรื่องรายชื่ออาจารย์ไม่ค่อยสำคัญเท่าไรนักหรอก พ่ออยากให้ลูกดูรายวิชาที่ต้องเรียนจะดีกว่า”
ฉันค่อยๆ กางสมุดออกและอ่านรายชื่อวิชาต่างๆ พร้อมกับเนื้อหาที่ต้องเรียนในแต่ละวัน รวมถึงเวลาต่อคาบที่ฉันต้องเข้าไปอยู่ในห้องเรียนอันแสนอึดอัดน่ากระอักกระอ่วน
ช่วงเวลาเรียนคือวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง ไม่มีการบ้าน ไม่มีการเรียนนอกเวลา เฉลี่ยจะเป็นการเรียนวันละวิชาไม่รวมกิจกรรมและงานเทศกาลที่ทางโรงเรียนจัดให้
...ดูๆ แล้วมันก็น่าเรียนอยู่นะ
“...หนูอยากเรียนที่นี่ค่ะ”
การยืนยันความตั้งใจเป็นครั้งที่สองของฉันทำให้คนทั้งสองยิ้มยินยอมแต่โดยดี
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นหลังจากนี้แม่จะยื่นจดหมายพร้อมกับเกรดลูกไปให้โรงเรียนพิจารณานะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“บลู แล้วเรื่องเพื่อน จะไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“เดี๋ยวถึงตรงนั้นหนูคงหาได้เองแหละ มั้งคะ?”
...
“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว”
...แม้นแววตาที่มองมาที่ฉันจะเต็มไปด้วยความห่วงหวงแหน แต่ความตั้งใจอย่างแน่วแน่สื่อผ่านสายตาที่มองโต้กลับมันตอกย้ำความต้องการนี้
ท้ายที่สุดความตั้งใจของฉันก็สัมฤทธิ์ผล วันต่อมาพ่อและแม่ก็ยอมเขียนจดหมายสมัครเรียนรวมทั้งแนบข้อมูลส่วนตัวของฉันไปยังโรงเรียนอคาเดมเพื่อพิจารณา
เหมือนดั่งการใช้ชื่อเสียงตัวเองในการเข้าเรียน เพียงใครก็ตามที่ได้เห็นนามสกุลนี้ตามท้ายก็พร้อมจะรับเข้าด้วยความหวั่นเกรงแทบทั้งนั้น หากแต่ฉันที่ทำตามขั้นตอนทุกอย่างด้วยความโปร่งใสจึงไม่น่าจะต้องมีเรื่องอะไรให้คนเขาเคลือบแคลง เกียรติบัตรมากมายรวมถึงผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธลงแน่
...อีกอย่าง
“ยังไงเพื่อนแม่ก็เป็นผู้อำนวยการอยู่แล้วด้วย ลูกได้เข้าเรียนแน่นอน”
...
“...ค่ะ”
เด็กสาวยิ้มเจื่อนตอบกลับไปด้วยสีหน้าอันเหนื่อยหน่ายในความมั่นใจของผู้เป็นแม่
....
กิจวัตรประจำของฉันในช่วงปิดเทอมคือการอยู่แต่ในบ้าน ...ที่หมายถึงคฤหาสน์ส่วนตัว
ในวันนี้สถานที่ซึ่งเลือกจะออกมาผ่อนคลายคือทุ่งโล่งหลังบ้านโดยที่แห่งนี้ถูกกั้นด้วยป่าไม้บางๆ มันคือสถานที่ซึ่งใช้สำหรับซ้อมร่ายเวทมนตร์
บนโลกใบนี้มีธาตุของเวทมนตร์อยู่สี่ธาตุหลัก
ดิน
น้ำ
ลม
ไฟ
ทั้งสี่ธาตุเมื่อใช้ในการต่อสู้ ความได้เปรียบเสียเปรียบจะเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หรือไฟมากน้ำน้อยย่อมถูกระเหยแห้งเหือด
แต่หากการโจมตีด้วยธาตุหลายธาตุผสมกันอย่างพอเหมาะ ความรุนแรงของมันก็จะทวีเพิ่มขึ้นเฉกเช่นการจุดไฟแล้วปล่อยให้ลมพัดพาอัคคีนั้นลามไปตามผืนหญ้า
...แต่นั่นคือธาตุที่มีให้เห็นกันทั่วไป
สองธาตุที่อยู่เหนือทุกสิ่ง รวมถึงอาจอยู่เหนือผู้ควบคุมเสียด้วยซ้ำ
ธาตุแสง ตัวแทนแห่งปัจจัยในการใช้ชีวิตของผู้คน ความสว่างไสว การคุ้มครองรักษา การชี้นำและแนะแนว ความศักดิ์สิทธิ์ นี่คือหนึ่งในสองเวทที่อยู่บนจุดสูงสุดของพลังธาตุพิเศษ
ถ้าเปรียบแสงสว่างคือความดี ธาตุอีกหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนคู่แข่งคือ ...ธาตุมืด ความลึกลับ น่ากลัว ความชั่วและความตาย
...ธาตุมืดถูกเรียกอีกชื่อว่าวายร้าย หรือบ้างก็เรียกผู้ที่มีพลังธาตุนี้ติดตัวว่า ...คำสาป
แต่โลกนี้ไม่ได้โหดร้ายกับคนเราขนาดนั้น ธาตุแสงนั้นมีผู้ครอบครองที่เปิดเผยตัวตนออกมาเพียงสามคนเท่านั้น
คนแรกคือ “เซฟอน ฟอดาเซล” กษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ปกครองประเทศแห่งนี้ ส่วนอีกคนคือมือขวาของเขา “ชาเซ ลาลินต้า” ชายที่ถูกผู้คนเรียกกันว่า ...ผู้กล้า ส่วนคนสุดท้ายนั้นถูกระบุว่าเป็นคนจากตระกูลดิแอนเจโล่ ตระกูลของผู้อำนวยการโรงเรียนอคาเดมคนปัจจุบัน
ธาตุแสงเลือกผู้ถือครองตามความคิดว่าเขาผู้นั้นเหมาะสมหรือไม่ ทว่าธาตุต้องสาปกลับต่างกันเล็กน้อยตรงที่มันสืบเชื้อสายตามเลือดเนื้อเชื้อไขจากรุ่นสู่รุ่น มีเพียงคนของตระกูลเชอร์โนบ็อกตระกูลเดียวเท่านั้นที่ครอบครองพลังนี้ไว้
ในตอนนี้คนที่ถือครองพลังมืดไว้คือฉันและพ่อเพียงสองคนเท่านั้น ถ้าธาตุพิเศษสองธาตุนี้ดันมีผู้ใช้ให้พบเห็นได้ทั่วไป ความสมดุลของธาตุอื่นๆ จะถูกกลบจนไม่เหลือความสำคัญเป็นแน่
...ฟังถึงตรงนี้ คิดว่าพล๊อตเรื่องมันคล้ายกับอะไรล่ะคะ?
“...ผู้กล้ากับจอมมาร”
พวกเราถูกมองเป็นตัวร้ายในสายตาคนเกือบทั้งโลก หากแต่ความมืดดันมีพลังที่มากกว่าแสงสว่าง รวมถึงเราก็ไม่เคยคิดจะมีปัญหากับใคร จนถึงตอนนี้ตระกูลเชอร์โนบ็อกจึงยังคงใช้ชีวิตกันได้อย่างปกติสุขและได้รับการต้อนรับจากพระราชาเสมอมา
...หนังสือนิทานหลายต่อหลายเล่มวางบทให้ผู้กล้าคือคนที่ช่วยเหลือมนุษยชาติ ส่วนจอมมารคือสิ่งที่ต้องถูกกำจัด
...เฮ้อ
...เพราะแบบนั้นฉันถึงต้องเรียนรู้วิชาธาตุต่างๆ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคนทั่วไป
ปึก!
บลูเดินมาจนถึงพื้นโล่งในป่าหลังบ้านพร้อมกับกระเป๋าปริศนาใบยาวที่สะพายไว้บนบ่า
เธอถอดสายพาดบ่าออกก่อนจะนำกระเป๋าใบนั้นมาตั้งไว้ตรงหน้า
กระเป๋าสีดำทมิฬที่มีความยาวเกือบเท่ากับส่วนสูงของเธอ วัสดุแข็งและเบาเพื่อป้องกันของภายในถูกกระแทก บลูมองจ้องกระเป๋าตรงหน้าอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจหนึ่งทีแล้วนำมันกลับไปสะพายไว้บนหลังตามเดิม
...
...ไม่ได้ๆ วันนี้ฉันกะจะมาซ้อมนี่
เด็กสาวกระซิบกระซาบกับตัวเองพักหนึ่งก่อนในท้ายที่สุดกระเป๋าใบนั้นจะถูกนำมาวางนอนไว้ตรงหน้าอีกครั้ง ในรอบนี้เธอเลือกจะเอื้อมมือไปรูดซิปเพื่อเปิดเอาของภายในออกมา
ฟูวววว
อาวุธชิ้นนี้ คล้ายกับมันมีชีวิต ด้ามจับสีดำยาวเรียบหรูและก้อนกลมสีชมพูอ่อนบริเวณส่วนปลาย ทันทีที่มันถูกบลูสัมผัส ออร่าสีเทาก็เริ่มแผ่ออกจากคทาเสมือนเป็นการเปิดสวิตช์เครื่อง
ธาตุทั้งสี่คือธาตุที่บุคคลทั่วไปสามารถใช้ได้รวมถึงฉัน ต่างจากอีกสองธาตุพิเศษที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้
เพื่อช่วยไม่ให้พลังเวทที่เด็กสาวใช้รุนแรงเกินไป สิ่งนี้จึงต้องถูกใช้เพื่อยับยั้งอันตรายที่จะเกิดขึ้น
“...เมเจียร์” ชื่อของคทาเวทในมือของฉัน
...
มือข้างขวาถือด้านสีดำไว้มั่น บลูเล็งส่วนปลายของคทาไปยังพื้นโล่งก่อนจะตั้งจิตของตัวเองให้นิ่ง
ฟูมมมม!!!
เพลิงขนาดใหญ่ถูกพ่นออกมาจากส่วนปลายของคทาเป็นเส้นตรง เปลวไฟสีชาดที่แผ่ความร้อนออกมาจนตัวของเด็กสาวรับรู้ได้ เป็นเครื่องยืนยันว่าฝีมือในพลังเวทของเธอยังคงแข็งแกร่งและไฟตรงหน้านั้นสร้างความเสียหายได้จริง
พึบ!
เพียงแต่ไม่นานเปลวเพลิงก็ดับลง ผลจากการใช้เวทที่ไม่ใช่เวทหลักของตัวเอง ประสิทธิผลนั้นย่อมด้อยกว่าผู้ที่เป็นเจ้าของธาตุจริงๆ
...คราวนี้ทำได้ตั้งสี่วิ ถึงนับด้วยปากจะดูเท่ากันกับครั้งก่อนก็เถอะ แต่รู้สึกว่าครั้งนี้จะนานกว่านะ
คิดได้แบบนั้นเด็กสาวก็เริ่มมีกำลังใจจะฝึกต่อขึ้นมาทันที
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเที่ยง ความหิวถูกเตือนออกมาจากเสียงร้องของกระเพาะ
....
บลูเดินกลับไปนั่งพักใต้ต้นไม้ก่อนจะเปิดกล่องอาหารที่เตรียมมาด้วย
เธอนั่งทานข้าวกลางวันอยู่คนเดียวเงียบๆ พลางมองจ้องไปยังพื้นโล่งเบื้องหน้าที่ตอนนี้มีทั้งดินที่ถูกเผาจนเกรียมกลายเป็นสีดำผิดรูปหรือร่องรอยของน้ำที่ชุ่มพื้นข้างๆ
ง่ำ ง่ำ
...
คทาเมเจียร์ซึ่งถูกวางพาดไว้กับต้นไม้ข้างตัว ในตอนนี้มันไม่ได้แผ่ออร่าสีเทาออกมาแล้ว เด็กสาวมองจ้องสิ่งนั้นตาเขม็ง ถึงรูปร่างมันจะดูสวยงามและโดดเด่นมากก็ตามที แต่เพราะมันดูสะดุดตาจนเกินไปทำให้เธอไม่ค่อยอยากจะพกมันไปไหนมาไหนด้วยเสียเท่าไร
ฟูววว
สายลมเย็นที่พักผ่านทุ่งโล่งกระทบกับร่างของบลูซึ่งตอนนี้ทานข้าวจนอิ่มพอดี เปลือกตาของเธอค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับความผ่อนคลายและความเงียบสงบ
...
...ฟี่ ฟี่
เด็กสาวทิ้งตัวลงบนผืนหญ้านุ่มพลางค่อยๆ หลับตานอนอย่างช้าๆ
เราสี่คนเตรียมใจมาพร้อมสำหรับคำว่า “หมู่บ้านร้าง” มันคงเป็นสถานที่ซึ่งไม่เหลือความเป็นชิ้นเป็นอันให้ชมชื่นแน่แท้“อะ อ่าว...”ความพร้อมทั้งกายและใจดูท่าจะเสียเปล่าเมื่อบ้านเรือนเบื้องหน้าซึ่งถูกพูดถึงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น แม้จะไม่มีใครอยู่จริงแต่สภาพหมู่บ้านก็ไม่ได้เละเทะขนาดนั้นจริงอยู่ว่าสภาพหมู่บ้านเละเทะตามที่ถูกพูดถึง แต่เพราะยังมีบ้านเรือนอีกหลายหลังที่ยังคงสภาพเดิมได้ไม่ถูกทำลายหรือมีความเสียหายอะไรเลยตุ๊บ ตุ๊บสัมภาระส่วนตัวของเราถูกวางกองไว้หน้าทางเข้าหมู่บ้านรวมกับอาหารการกินชุดแรกที่ถูกเตรียมมาด้วยกัน“เดี๋ยวสิๆ”อายทึกทักภาพที่เห็นตรงหน้า“?”“นี่มัน ปิดเทอมในฝันเลยนี่”...จริงตามที่อายพูด“...ดีจริงๆ ที่มา”แกรดฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะชวนกันเดินผ่านทางเข้าๆ ไปข้างในรั้วไม้เตี้ยๆ ซึ่งกั้นอาณาเขตหมู่บ้านเอาไว้ ภายในมีอาคารบ้านเรือนเล็กๆ ปลูกเรียงรายโดยรอบนอกรั้วขนาบไปด้วยทุ่งนาที่ว่างเปล่าไร้การดูแลรักษามาสักพักหนึ่งแอ๊ดดดดห่างจากประตูทางเข้าหมู่บ้านไม่ไกล ฉันเหลือบไปเห็นร้านอาหารร้างร้านหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ชวนให้เราอยากลองเข้าไปสำรวจภายในโต๊ะทานอาหารสำหรับลูกค้าวา
“โฮ้ว! ชอบๆๆๆ”ลิลิธเบิกตาตื่นกับอาหารตรงหน้า ทั้งขนมหนาวหน้าตาน่าทานและข้าวหน้าเนื้อที่ถูกปรุงแต่งอย่างสละสลวยเข้ากับบรรยากาศริมน้ำยามบ่ายรูปแบบการนั่งติดพื้นทำให้ทั้งอายและลิลิธแปลกใจพอสมควรในทีแรก“แกรดคิดว่าจะได้ให้คุกกี้กับใครหรอ?”อายหันไปถามเด็กสาวขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารตรงหน้ากันอย่างเอร็ดอร่อย“...คิดว่าชาเซน่าจะชนะนะ”แกร๊งเสียงช้อนที่ฉันเผลอทำหลุดมือหลังได้ฟังคำตอบที่คาดไม่ถึงบลูตาค้างพลางมองแกรดด้วยความทึ่ง“...?”...แกรดไม่ได้เชียร์เราหรอ?ตุ๊บ...ฉันทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเหมือนหมดอาลัยตายอยาก น้ำตาของผู้แพ้ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาที่ไร้ชีวิต“ทำโอเวอร์ไปได้ เราพูดเล่นๆ”“อะ ร หรอ? ...ตกใจหมดเลย”เด็กสาวผมเทาฟื้นตัวกลับมามีชีวิตชีวาภายในเวลาอันรวดเร็ว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า บลูนี่ชอบแกรดมากเลยเนอะ”“เอ๊ะ!! ...ช ชอบสิ”ฉันเผลอตอบไปตามสถานการณ์อันสับสนซึ่งแน่นอน ทั้งสองคงคิดว่าความหมายข้างต้นคงแบบเพื่อนสนิททั่วๆ ไป“อืม รู้อยู่แล้วล่ะ”“!?”“เพื่อนรักเลยนี่เนอะ”เฮือก!ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังใจตกไปอยู่ตาตุ่มครู่หนึ่ง“ฮะ ฮ่า ฮ่า กินข้าวต่อเถอะๆ”ว่าแล้วเด็กสาวเจ้าของคำถามก็เปลี่ย
บทที่ 9 : คำถามบนกระดาษข้อสอบกริ๊ง กริ๊ง กริ๊งสายลมยามบ่ายพัดกระทบกระดิ่งลมลายฉลุสีเขียวที่คล้องแขวนอยู่หน้าประตูบ้านเปล่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะไปทั่วทั้งตึก...ค่ะ ทั่วตึก ตอนที่ฉันเดินลงไปด้านล่างอาคารก็ยังได้ยินเสียงแว่วเบาๆ ของมันเลย หวังว่าทุกคนจะไม่ร้องเรียนเรื่องเสียงนี้นะ...ยามบ่ายของวันธรรมดาหลังเลิกเรียน เราทั้งสองกำลังขะมักเขม้นอยู่บนโซฟาพลางหยิบสมุดขึ้นมาอ่านคนละเล่มอย่างตั้งใจ“บลู ปีนี้พระราชาอายุเท่าไร?”“ปีนี้ ...ห้าสิบ”“ถูกต้องงงง”“คนในประเทศนี้สามารถแต่งงานกันได้ตอนอายุเท่าไหร่”“สิบหกปีทั้งชายและหญิง”“ใช่ งั้น ...ธาตุไฟกับธาตุดิน ถ้าเอามารวมกันสามารถทำอะไรได้บ้าง?”“....อืม เครื่องปั้นดินเผา”“...อ อืม ถูกต้อง”...แม้จะมั่นใจว่าตอบได้เกือบทุกข้อแน่แต่เราก็ต้องไม่ชะล่าใจเพราะอีกหนึ่งเดือนจะถึงช่วงสอบปลายภาคแล้วเราสองคนใช้เวลาช่วงพักผ่อนไปกับการอ่านหนังสือเตรียมความพร้อมก่อนสอบ...ถึงจะเรียกว่าอ่านหนังสือก็เถอะ แต่แบบนี้ใครจะไปมีสมาธิกันบนตักของฉันมีเด็กสาวผมเปียคนหนึ่งกำลังใช้หัวของเธอหนุนเอาไว้พลางเปิดหนังสืออ่านไม่สนใจ มือของเธอยื่นขึ้นมาลูบปอยผมสีเทาของฉ
“จะถึงท่าแล้วนะ”เช้าวันใหม่ ลิลิธซึ่งตื่นเช้าเป็นคนที่สองต่อจากอาจารย์มูฟรีร่าที่ทำหน้าที่บังคับเรือ เด็กสาวตะโกนปลุกเราให้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นพลางชมเมืองท่าที่กำลังจะไปถึง...ง่วง!ฉันถูกลากขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือพร้อมกับคนอื่นๆ เราทั้งหมดยืนมองแสงสีส้มที่กำลังไต่ระดับขึ้นสู่น่านฟ้า....อาจารย์มากาเลต? น่าจะเมา ตื่นไม่ไหว“...”เมื่อเข้าใจว่าคนอีกคนที่หายไปคือใครฉันก็พร้อมจะไม่สนใจแล้วเพ่งมองแสงแรกของวันอย่างจดจ่อต่อไปปิ๊ง...มันเหมือนกับสัญญาณเริ่มวันใหม่ที่สดใส ใต้วิวทิวทัศน์ที่แสงสีส้มโผล่ขึ้นมาคือพื้นสีคราม มันสะท้อนกันเสมือนกับมีดวงอาทิตย์สองดวงสะท้อนกัน...ตามตำราที่ฉันเคยอ่าน มีสองทฤษฎีที่พูดถึงดวงอาทิตย์กับโลกของเรา พวกเขาถกกันไม่จบสิ้นว่าจริงๆ โลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือดวงอาทิตย์หมุนรอบเรากันแน่ หากถามฉัน แน่นอนว่าฉันไม่รู้นอกเสียจากการคาดเดาว่าดวงอาทิตย์มันใหญ่กว่าโลก...แต่ใครจะไปหมกมุ่นกับดวงอาทิตย์ก็ช่างเขา ฉันสนแค่มันยังส่องแสงสว่างให้เราได้ทุกเช้าก็พอ“ฟุ ฟุ ตอนเช้าต้องยิ้มนะ”บลูเผลอเหม่อมองดวงอาทิตย์จากเงาสะท้อนบนผิวน้ำจนใบหน้าเคร่งขรึมไม่รู้ตัว แกรดที่เห็นท่าไม่ดีจึ
...ข้าวเย็น ไม่เห็นมีคนทำเลย...ไม่ผิดใช่มั้ยที่ฉันเห็นฝูงปลาพวกนี้แล้วจู่ๆ ความคิดเรื่องข้าวเย็นก็ผุดขึ้นมาฉันกวาดตามองคนในเรือโดยไม่พูดอะไร ท้องของฉันเริ่มหิวแต่ไม่ยักกะมีใครเตรียมอาหารค่ำ“ก แกรด”ฉันเดินไปกระซิบถามเด็กสาวที่สนิทสนมที่สุดในเรือ“หืม?”“เรา ...ไม่กินข้าวเย็นกันหรอ?”“อ๋อ ลืมบอกบลูไปเลย เราจะตกปลากินกันน่ะ”“ตกปลา?”“อืมๆ ว่าแล้วก็ช่วยเราเตรียมของขึ้นมาหน่อยสิ”เด็กสาวกวักมือชวนฉันให้ลงไปห้องโถงใต้ท้องเรือกับเธอ ภายในมุมผนังห้องโถงซึ่งมีคันเบ็ดยาวถูกจัดเตรียมไว้ให้หลายสิบคัน แกรดบรรจงเลือกไม้ที่ดีที่สุดแล้วหันมาถามความเห็นจากฉัน“ม ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยตกปลาน่ะ”“อืม ...งั้นเราว่าบลูน่าจะชอบอันนี้นะ”แกรดหยิบหนึ่งในเบ็ดที่วางเรียงอยู่บนผนังแล้วยื่นมาให้ฉันด้วยความมั่นใจโดยที่ฉันแทบแยกความต่างของไม้นี้กับไม้อื่นไม่ออกเลย“ขอบคุณนะ แต่ฉัน ...ไม่ค่อยเก่งเรื่องตกปลา”“เดี๋ยวเราสอนๆ”เด็กสาวตอบกลับอย่างเริงร่าก่อนจะเดินแบกคันเบ็ดคันอื่นขึ้นไปด้านบนเรือของเราหยุดลงกลางทะเล ช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนมาถึงเมื่อท้องฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำคืนปุ๊ฟ...ลูกไฟดวงใหญ่ถูกจุดขึ้นเหนือเรือ มั
เวลามุ่งสู่วันออกเดินทางอย่างรวดเร็วเราทั้งสี่ถูกรถม้ารับไปส่งยังท่าเรือแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาเดินทางจนเห็นท้องทะเลยามเที่ยงวันพอดิบพอดี“...ทะเล”“...”สายลมเย็นเริ่มพัดแรงขึ้น พวกมันพัดเอาความรู้สึกเหนอะหนะอ่อนๆ ติดมาด้วยพร้อมๆ กับกลิ่นทะเลที่แปลกแตกต่างจากกลิ่นธรรมชาติทั่วไปเสียงคลื่นเริ่มดังขึ้นขณะที่รถม้าเดินทางเข้าใกล้ท่าเรือใหญ่ท่าเรือเซอร์เมีย ท่าเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ทันทีที่เราทั้งหกผ่านเข้าอาณาเขตของท่าเรือ ความวุ่นวายก็เริ่มปรากฏ ฉันมองเห็นผู้คนที่กำลังเดินไปมาเพื่อขนส่งของต่างๆ โดยส่วนมากมักจะเป็นสัตว์ทะเลที่ถูกจับมาเพื่อใช้ส่งไปค้าขายยังที่อื่นอีกที“เราเป็นตัวแทนมาจากอคาเดมค่ะ”มูฟรีร่าตรงไปทักทายผู้ดูแลเรือคนหนึ่งในป้อมบริการก่อนจะขอใช้เรือส่วนตัวของโรงเรียนเพื่อออกเดินทาง หญิงสาวยื่นเอกสารยืนยันตัวตนให้ผู้ดูแลคนนั้นพร้อมกับแนะนำตัวแบบคร่าวๆ“ครับๆ ....อืม เรืออยู่ทางนู้นนะครับ”ชายวัยกลางคนผายมือไปที่เรือลำหนึ่งซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ไม่ห่างจากที่พวกเรายืนอยู่มากนัก“ค่ะ ...ขอบคุณค่ะ”“อ...อาจารย์ครับ!”ชายคนนั้นทึกทักเหมือนอยากจะไถ่ถามบางอย่างกับอาจารย์มูฟรีร่า