Mag-log inฉันถูกส่งมาในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องการใช้งานและควบคุมพลังเวท ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายฉัน เว้นแต่รูมเมทของฉันที่ยอมคุยด้วย ...ถึงหลายครั้งเธอจะทำมากกว่านั้นก็เถอะ
view moreบทที่ 1 : คำสาป
ฉันชื่อบลู ความหมายของชื่อมิได้แปลว่าสีน้ำเงินที่สื่อถึงความสงบหรือความมั่นคงตามที่พ่อกับแม่หวังไว้แต่ประการใด หากแต่ในความคิดของฉัน ...ความหมายของมันคือความเศร้า ...หม่นหมอง
ชีวิตของฉันจมอยู่กับความทรมานและโดดเดี่ยวดั่งชื่อเล่นนั้น แม้ทางบ้านจะมีฐานะร่ำรวยและมากด้วยชื่อเสียงบารมีเงินเพียงใด ทั้งพ่อและแม่รักต่างตามใจฉันในหลายๆ เรื่อง แต่เพราะเวทมนตร์ซึ่งยากจะประเมินพลังและมันดันเป็นเวทสายมืด เวท ...ที่ไม่ได้เน้นใช้ป้องกันหรือโจมตีเพื่อขัดขวางอีกฝ่าย มันมีเพื่อปลิดชีพผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตที่เป็นศัตรู เป้าหมาย ใครก็ตาม
...พลังอันใหญ่ยิ่ง ทว่าไม่มีใครคิดว่ามันยิ่งใหญ่ ผู้คนรวมถึงฉันกลับมองมันเป็นเพียง ....คำสาป
ฟูวววว
เสียงของสายลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามายังห้องนอนบนชั้นที่สี่ของบ้านหลังใหญ่
....
....เฮ้อ
เสียงถอนหายใจที่เกิดขึ้นในทุกวันที่ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาแสดงถึงความรู้สึกของการมีชีวิต ...ฉันรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
ห้องนอนอันกว้างใหญ่ในบ้านอันกว้างขวาง
บนโลกที่เวทมนตร์อยู่เหนือทุกสิ่ง อยู่ในทุกการกระทำของชีวิต ตระกูลของฉันเมื่อครั้งอดีตกาลคือหนึ่งในตระกูล ...เป็นเพียงตระกูลเดียวที่ช่วยเหลือประเทศแห่งนี้ให้รอดพ้นจากสงครามกับอีกหลายประเทศทั้งจากรอบๆ หรือจากทวีปอันห่างไกล
ทรัพยากร ธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ของประเทศแห่งนี้เป็นที่หมายปองของทุกคนที่แสวงหาในอำนาจและความมั่งคั่ง
แต่เพียงไม่นานที่บรรพบุรุษของฉันปรากฏตัว ทุกคนที่เคยคิดจะบุกโจมตีประเทศแห่งนี้ก็ต้องหยุดความคิดลมๆ แล้งๆ นั้นทันที บ้างก็ยอมแพ้แต่โดยดี หรือบ้างก็เลือกที่จะสู้กับเราต่อ ...ผลของการต่อสู้เป็นไปเหมือนดั่งทุกครั้ง พวกเขาดันทุรังสู้ทั้งที่รู้ว่าชะตากรรมจะออกมาเป็นแบบไหน ทุกคนที่ดาหน้ากันเข้ามาเหลือกลับไปเพียงแค่ชื่อเปล่า ใครก็ตามที่เป็นศัตรู ผู้ใดก็ตามที่กล้าหันคทาเวทใส่ชายในชุดคลุมสีดำ ...เพียงไม่กี่อึดใจร่างเหล่านั้นจะกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีละเอียด
...
ฉันคือ “บูล เชอร์โนบ็อก” ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีอำนาจทัดเทียมกับกษัตริย์ของประเทศหรืออาจมากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่กษัตริย์ของที่นี่ถูกผู้คนนับถือจากวีรกรรมอันกล้าหาญและความคิดต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก
...ต่างจากเชอร์โนบ็อก ผู้คนนับถือเราเพียงพบสบตาเผชิญหน้า ลับหลังหาใช่จะเป็นแบบนั้นไม่ แน่นอนว่าคำพูดของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายใส่เรา
...เวทมนตร์แห่งความมืด มันไม่มีชื่อเรียกที่ชัดเจน บ้างก็ถูกเรียกว่าเวททำลายล้างหรือความว่างเปล่า
พลังของตระกูลนี้มีมากจนเกินไป มากจนหนึ่งในผู้นำตระกูลจากยุคอดีตต้องคิดค้นสิ่งที่จะใช้ควบคุมพลังเวทไม่ให้ถูกใช้มากจนเกินไป จนผู้ใช้ควบคุมไม่ได้
...ใช่ เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ครั้งหนึ่งในช่วงสงครามอันยิ่งใหญ่ การต่อสู้ช่วงสุดท้าย หนึ่งในผู้นำตระกูลของเราดันเผลอปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีออกมาเพื่อทำลายฝ่ายศัตรู ความโกรธแค้นที่คนรักถูกอีกฝ่ายฆ่าในการต่อสู้ทำให้เขาหมดอาลัยตายอยาก ชายคนนั้นขาดสติและระเบิดพลังอันน่าหวาดกลัวออกมา
พรึบ!
เสมือนมีเสียงเพลงอันน่าหดหู่บรรเลงออกมาพร้อมๆ กับรอบข้างที่กลายเป็นสีดำทมิฬ
รอบๆ ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรถูกความมืดเข้าโจมตี ใจกลางพลังคือชายที่หัวใจแตกสลาย ต้นไม้ใบหญ้า ศัตรูหรือฝ่ายเดียวกัน ทุกคนที่ถูกพลังนี้สัมผัสกลายเป็นผุยผงเพียงเวลาไม่นาน
พื้นที่แห่งนั้นไม่เหลืออะไรเลยในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ทุกอย่างมันจบลง การต่อสู้ที่อีกฝ่ายรู้ว่าผลแพ้ชนะนั้นตายตัวอยู่แล้ว หากแต่เมื่อได้เห็นพลังนี้ด้วยตาตัวเอก ผู้คนที่รอดมาได้ก็ยิ่งไม่กล้าหืออือมากเข้าไปอีก
...ทั้งหมดคือเหตุผลที่คทา “เมเจียร์” ถูกสร้างขึ้น ด้ามจับสีดำทำจากแร่เวทมนตร์หายากสลักขึ้นรูปทั้งด้าม ส่วนบนมีลูกแก้วสีชมพูอ่อนตั้งไว้เพื่อเป็นศูนย์กลางช่วยในการควบคุมพลังและกิ่งไม้หนาที่คอยประคองลูกแก้วเอาไว้ หากผู้ใช้ยิ่งปล่อยพลังออกมามากเพียงใด สีของมันจะยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นสีดำและบังคับร่างของผู้ใช้ให้หยุด
แม่มด พ่อมด นักเวททุกคนจะต้องมีคทาเพื่อใช้ร่ายเวท เมเจียร์เองก็คือคทาตามที่ว่ามา หากแต่ไม้ทั่วๆ ไปไม่สามารถรับความหนักของลูกแก้วกลมวงนี้ได้ การสร้างด้ามจับที่เหมาะสมจนกลายมาเป็นแท่งแร่ขนาดใหญ่จึงเป็นเหตุผลให้ตัวคทานี้ใหญ่กว่าคทาทั่วๆ ไป
หากเทียบราคาของคทานี้ มันคือหนึ่งในสมบัติชิ้นสำคัญของประเทศ แต่เพราะระบบป้องกันตัวเองเมื่อถูกจับโดยผู้ที่ประสงค์ร้าย คทาจะแผ่ความรู้สึกด้านลบออกมาจนคร่าชีวิตผู้ที่คิดร้ายลงตรงนั้นเลยก็มี
ตระกูลของฉันคือความมั่นคงของประเทศ ไม่แปลกที่เราจะร่ำรวยและมากด้วยอำนาจจากเงินของราชวงศ์ที่มอบให้ทุกปี
คฤหาสน์ขนาดใหญ่พร้อมสวนดอกไม้และทะเลสาบหลังบ้าน ทั้งหมดล้วนบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของเชอร์โนบ็อก
ต๊อก ต๊อก ต๊อก
เด็กสาวค่อยๆ ยกร่างของตัวเองให้ลุกออกจากเตียงก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงไปยังห้องน้ำที่ถูกสร้างไว้ในห้องนอน เธอมองตรงไปยังกระจกเงาบานใหญ่เบื้องหน้า
ผมสีเทาคล้ายสีของขี้เถ้า ดวงตาสีดำทมิฬที่มองกลับมายังตนเองด้วยความเบื่อหน่าย
ร่างของเด็กสาวที่ดันเกิดมาในครอบครัวต้องสาป เธอค่อยๆ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเพื่อทำให้ตัวเองสดชื่นก่อนจะเดินออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไม่เพียงแค่ห้องน้ำในตัวที่กว้างใหญ่ ของใช้อย่างเสื้อผ้าหรือรองเท้าเองก็มีให้เลือกใช้ไม่ซ้ำวันเช่นกัน เด็กสาวชอบสีโทนดำซึ่งอิงจากเสื้อและกระโปรงที่มีในตู้ แม้แต่ชั้นในเองก็เป็นสีดำหรือสีเทาเรียบ
...
ฟรุบ!
ชุดเดรสแขนสั้นสีม่วงลากไปถึงกระโปรงยาวเกือบคลุมเข่า เธอจัดระเบียบทรงผมอีกทีก่อนจะยิ้มมุมปากให้ตัวเอง
...โอเค
ต๊อก ต๊อก
บลูก้าวขาออกมาจากห้องนอนตรงลงมาที่ชั้นสองของบ้าน มุ่งหน้าไปยังโต๊ะทานข้าวตัวใหญ่ในห้องที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบหรูซึ่งพ่อและแม่ของเธอกำลังรออยู่
“รอกันนานรึเปล่าคะ?”
เด็กสาวเอ่ยถามคนทั้งสองด้วยความจืดเจื่อน ทว่าทั้งสองกลับยิ้มแล้วตอบกลับอย่างร่าเริง
“ไม่เลยๆ พ่อก็พึ่งมาเอง อีกอย่างอาหารก็ยังมาเสิร์ฟไม่ครบเลยด้วย”
“มาสิลูก วันนี้มานั่งข้างๆ แม่มั้ย?”
“ค่ะ! ฮิ ฮิ”
...แม้นี่จะเป็นตระกูลต้องสาปตามที่ผู้คนกล่าวหา แต่สำหรับฉัน อย่างน้อยความรู้สึกที่พ่อและแม่มีให้ มันคือครอบครัวแสนสุขครอบครัวหนึ่ง
ฟึบ..
เด็กสาวเลือกนั่งเก้าอี้ข้างแม่ของตนก่อนจะนั่งลงและโน้มตัวไปซบไหล่อีกฝ่ายอย่างประจบประแจงโดยมีชายแก่ร่างผอมสูงเส้นผมสั้นสีดำมองมาทางนี้พลางหัวเราะคิกคักให้
“โยดิน เชอร์โนบ็อก” ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันหรือพ่อของบลู
“เฮร่า เชอร์โนบ็อก” หญิงแก่ซึ่งมีผมสีขาวคล้ายกับเด็กสาวที่นั่งข้างๆ แม่ของบลู
...ครอบครัวของฉันถึงจะถูกสังคมภายนอกมองไปในทางไม่ดีซึ่งมันทำให้ฉันอึดอัดทุกครั้งที่ต้องออกไปนอกบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นพ่อของฉันก็เลือกจะมองข้ามและให้ความสำคัญกับความรู้สึกคนในครอบครัวเป็นหลัก
พวกเราทั้งสามมีกันและกัน คนรับใช้ที่ถูกจ้างมาเองก็ใช่ว่าจะมากมายอะไร พวกเขาล้วนเคยเป็นเด็กยากไร้ที่ถูกเราช่วยเหลือและมอบทั้งอาชีพและที่พักพิงให้ รายได้ของตระกูลมาจากเงินประจำตำแหน่งที่ทางอาณาจักรมอบให้และจากธุรกิจเหมืองแร่ของคุณพ่อ
แม้จะมีคนรับใช้หลายคนพยายามแก้ต่างตอนถูกคนรู้จักทักเรื่องความน่ากลัวของตระกูลเชอร์โนบ็อก แต่ใครจะเชื่อคำท้วงติงจากคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ซ้ำร้ายคนพวกนั้นยังคิดว่าเราเป็นฝ่ายไปล้างสมองคนงานเสียเองอีก
...ในตอนที่ฉันเข้าใจความเป็นไปทุกอย่างของครอบครัว ฉันตั้งมั่นกับตัวเองสามข้อ
หนึ่งคือฉันจะศึกษาเวทมนตร์หลายๆ รูปแบบและเลี่ยงเวทสายมืดให้ถึงที่สุด สองคือฉันจะทำตัวดีและยิ้มให้ทุกคนแม้ต้องปั้นหน้าเพียงใดก็ตาม และสามคือการหาเพื่อนให้ได้
ในตอนนี้ฉันอายุสิบหกปีและอยู่ในช่วงที่ต้องเลือกโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ
“บลู โรงเรียนที่แม่แนะนำไป มีที่ไหนที่ถูกใจลูกบ้างมั้ย?”
“...ยังเลยค่ะ”
หญิงแก่ผู้เป็นแม่เองก็ลำบากใจที่ลูกของตนถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนต่อ เฉกเช่นผู้ปกครองทุกคนเมื่อลูกของตัวเองถึงวัย เธอพยายามหาโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากมายมาให้บลู ทั้งหมดคือโรงเรียนขึ้นชื่อระดับประเทศและมีที่ตั้งไม่ห่างจากบ้านมากนัก
“ฮืมมม ...ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอีกเป็นเดือนให้หาโรงเรียนที่ลูกชอบเนอะ”
“ค่ะ...”
พวกเราคุยสัพเพเหระกันจนอาหารเช้าถูกนำมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ เมนูบนจานนั้นมากมายและดูหรูหราแม้มื้อเช้ามันไม่ควรจะมากขนาดนี้ก็ตาม ขนาดของจุกจิกอย่างผักที่ถูกใช้ตกแต่งรอบจานเองก็ถูกสลักเป็นลวดลายประณีตสวยงาม
“นี่เป็นผลงานที่ฉันลองสลักเล่นดูน่ะค่ะ หวังว่าจะชอบนะคะ”
สาวเสิร์ฟชี้แจงถึงการตกแต่งอาหารให้พ่อของฉันพลางยิ้มหวานให้
“หรอๆ อืม สวยแหละแต่ทำแบบนี้ไม่เมื่อยแย่หรอ?”
“ไม่เลยค่าาา”
...
“ตาแก่ เธออายุห่างกับคุณสามสิบปีเลยนะ อีกอย่างภรรยาของคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้นะ เบาได้เบาเนอะ”
“....? ผมเปล่านะๆ”
“ฉันล้อเล่นค่ะ ...ขอบคุณที่เอาอาหารมาให้นะ ไปพักเถอะ”
“ค่ะนายหญิง ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆ เดินจากไปพร้อมกับถาดกลมใส่อาหาร ชุดเมดสีดำแซมด้วยชายผ้าสีขาวคือสัญลักษณ์ของคนรับใช้ภายในบ้าน พวกเธอมีหน้าที่ดูแลเรื่องงานบ้านทั้งหมด นั่นเลยทำให้คนที่ใส่ชุดเมดจะมีจำนวนมากที่สุดในบ้าน รองลงมาคือชาวสวนที่คอยดูแลทั้งสนามหญ้า สวนดอกไม้และทะเลสาบรอบตัวบ้าน
เวทมนตร์คือตัวช่วยให้การทำงานต่างๆ ดูง่ายไปหมด ไม่แปลกที่หญ้าในสนามจะสูงพอดีกับความต้องการของเราตลอดเวลา
บทที่ 15 : คำเฉลยฟรุบ!เช้าวันหนึ่งขณะที่ฉันกับแฟนสาวกำลังงัวเงียกันอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น จู่ๆ เมเจียร์ก็เดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าตาเหลือกตาพอง“ข้าขอโทษ!”ทันทีที่พวกเราอยู่ในระยะสายตาของเด็กสาว เธอตะเบ็งเสียงออกมาลั่นบ้านพร้อมกับรีบขยับตัวมาใกล้ก่อนจะโค้งหัวลงขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่“อะไรหรอ?”ฉันสะดุ้งเฮือกตกใจจนต้องรีบถามไถ่เธอว่ามันเกิดอะไรขึ้น“ข้าถูกดุมาน่ะสิ”“เอ๊ะ!? จากใครหรอ? แล้วไปโดนว่ามาตอนไหน!?”“บ บลู ...ใจเย็นๆ แล้วรอเธอเล่าก่อน”“...โทษทีๆ”ฉันชวนเมเจียร์มานั่งข้างๆ เพื่อให้เธอตั้งสติก่อนจะรับฟังเรื่องเล่าของเธอ“เมื่อคืนข้าแอบออกจากบ้านแล้วไปเดินสำรวจโรงเรียนตอนกลางคืนคนเดียว ข้าตรงไปที่สวนหลังโรงเรียนก่อนจะเห็นหญิงสาวนางหนึ่งนั่งเงียบๆ อยู่บนศาลาที่ไร้ผู้คน”...ตอนกลางดึกเนี่ยนะ______ต๊อก ต๊อก ต๊อกสูดดด...เด็กสาวร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนก่อนจะสูดลมเข้าไปเต็มปอดเพื่อสัมผัสอากาศบริสุทธิ์“เป็นอีกคืนที่น่าพึงใจเช่นเคย”เมเจียร์พึมพำกับบรรยากาศขณะที่ขาของเธอก้าวต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย“...งืม งืมมมม”เสียงบางอย่างสั่งให้เด็กสาวหยุดชะงักก่อนจะ
“สงสัยครับ! เธอบอกว่าเธอเป็นคทามาก่อน งั้นแสดงว่าเธออายุมากกว่าเราหรอ?”ชายหนุ่มนักเสี้ยมประจำห้องยกมือไต่ถาม“ถูกต้อง แต่ความคิดความอ่านของข้าค่อนข้างล้าหลังกว่าพวกเจ้าหลายร้อยปี”เด็กสาวก้มหน้าหลบสายตาด้วยความเขินอาย ทว่าท่าทีแบบนั้นกลับทำให้คนในห้องเอ็นดูและสนใจตัวเธอมากขึ้นทันที หลายคนเริ่มยกมือเพื่อชวนเธอคุยหรือถามไถ่เมเจียร์ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเจอหรือเคยสัมผัสมาพรึบ พรึบ พรึบ!“นักเรียนๆ ทีละคนนะๆ เริ่มจากเธอก่อนเลย”อาจารย์ประจำวิชาค่อยๆ จัดแจงคนถามทีละคน เขาชี้ไปที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ติดประตูทางออกคนจะเปิดโอกาสให้ชายผู้นั้นถามเป็นคนแรก“ครับ! ในมุมมองของสัตว์วิเศษ มนุษย์คืออะไรสำหรับพวกเขา?”“พวกสัตว์มองว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พร้อมทำลายระบบนิเวศ เป็นภัยที่ควรอยู่ให้ห่างและพวกเขาระรานทุกสิ่งอย่างโดยไม่ตริตรองสิ่งใดสักอย่าง”“...”เพียงคำตอบแรกจากเด็กสาวก็สร้างความตะลึงให้เพื่อนในห้องจนทุกคนเงียบไม่กล้าถามอย่างอื่นต่อ“ต่อไปตาเธอถามมาเลย”ชายแก่ชี้ไปที่ชายหนุ่มคนที่สองก่อนจะคะยั้นคะยอให้เขาถามคำถาม“ศะ ศัตรูที่คิดว่าต่อกรด้วยยากที่สุด”“ถ้าไม่นับมังกรที่เป็นของตายอยู่แล
“ตอนนี้ไม่มีนักเรียนอยู่ในโรงเรียนเลยใช่มั้ย?”“คิดว่าน่าจะมีแค่เราสองคนกั-”“ “เอ๊ะ?” ”พอกำลังจะพูดถึงอีกสองคนที่เหลือพวกเธอก็โผล่มาพอดีระหว่างที่กำลังเดินอยู่บนทางเท้า จู่ๆ ฉันก็ได้เจอกับลูอาแล้วก็อัสลินพอดี ทั้งสองดูเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกกัน“พอดีเมืองหลวงตอนนี้ยังไม่พร้อมสำหรับต้อนรับคนสักเท่าไหร่ พวกเราเลยว่าจะออกไปซื้อของที่หมู่บ้านเล็กๆ อีกที่แทน ทั้งสอ...สามจะไปด้วยกันมั้ย?”อัสลินเอ่ยปากชวนพวกเราโดยที่สายตาของเธอให้ความสนใจกับเด็กสาวที่ติดสายห้อยตามฉันมาเป็นพิเศษ...จะว่าไปของตู้เย็นเราก็หมดแล้วนี่ ที่มีอยู่คือข้าวสารที่พึ่งทำข้าวต้มหมดไปเมื่อเช้า“งั้น ...เราไปด้วยนะ”“โฮ้!...”เด็กสาวส่ายตามองบริเวณรอบๆ อย่างตื่นเต้นจนตาเป็นประกายขณะที่เราทั้งห้ากำลังนั่งอยู่บนเกวียนลากเล่มใหญ่เป้าหมายคือการมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอีกแห่งที่ตั้งอยู่ทางเหนือของโรงเรียน ตามที่อัสลินเล่า ในตอนนี้มันกลายเป็นสถานที่ค้าขายชั่วคราวในช่วงที่เมืองหลวงกำลังฟื้นฟู“เข้าใจแล้ว ถึงไม่เห็นไม้คทาติดตัวบลูนี่เอง”“แล้วแบบนี้บลูจะใช้เวทมนตร์ยังไงหรอ? ต้องซื้อไม้ใหม่ ...คงต้องสร้างขึ้นมาใหม่เลยสินะ”“ฉันไ
“...?”แปลกแต่จริง เราสามคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน เด็กสาวตัวเล็กนอนคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างฉันกับแกรด ใบหน้าของเธอตอนหลับช่างดูจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู“รู้สึกเหมือนเรากำลังเลี้ยงเด็กอยู่เลย”แกรดซึ่งกำลังเข้าที่นอนค่อยๆ ยกหัวขึ้นมือเท้าคางก่อนจะยิ้มละมุนให้เมเจียร์และหันมาชวนฉันคุย“แต่ถ้าดูจริงๆ เด็กคนนี้แก่กว่าเราเป็นพันปีเลยเนอะ”“นั่นก็จริง ...แต่เรารู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงลูกอยู่เลย”“แกรดอยากมีลูกหรอ?”“ฮืม ...ไม่รู้สิ เราไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย”“...”“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ ถ้าถึงตอนนั้นเราทั้งคู่อยากจะมีจริงๆ จะไปหาเด็กน่ารักๆ สักคนจากศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่เสียหายนะ”“...อืม”เอาล่ะเอาล่ะ นอนกันเถอะ เรารู้สึกว่าพรุ่งนี้จะต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าแน่กริ๊ง กริ๊งแสงแดดส่องกระทบผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้ารับลมไว้ตลอดคืน ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะพบผ้าห่มถูกคลี่ออกอย่างไม่เป็นระเบียบพร้อมกับร่างของเมเจียร์ที่หายไป...เมเจียร์ฉันมั่นใจว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ฝัน ขาของฉันก้าวออกมาจากเตียงนอนก่อนจะเดินสำรวจรอบบ้านเพื่อตามหาเธอแอ๊ดด...“...”“...อยู่นี่เอง”...ไม่ใช่ฝันจริงๆ ด้วยฉันเปิดประตูหน้าบ