บทที่ 2 : คำทักทาย
ฟูวววกลิ่นของสถานที่โดยรอบซึ่งเปลี่ยนไปตามความแออัดของผู้คนที่อยู่อาศัย เรือไม้ลำเล็กได้เดินทางมาจนถึงสถานีปลายทางเป็นที่เรียบร้อยณ เมืองหลวงเซอร์เมียพื้นที่โล่งกว้างราบเรียบถูกสร้างไว้เพื่อใช้เป็นท่าสำหรับลงจอดเรือโดยเฉพาะ ทั้งเรือโดยสารลำใหญ่ที่บรรทุกผู้คนมากมายหรือเรือขนส่งสินค้าข้ามประเทศ บ้างก็เป็นเรือส่วนตัวคล้ายกับเรือของฉัน“ “ยินดีต้อนรับครับ” ”ทันทีที่เราทั้งสามลงจากเรือ พนักงานสองสามคนก็เดินมาต้อนรับเราพลางถามถึงสถานที่ปลายทางที่ต้องการเดินทางไปต่อและพร้อมเตรียมรถม้าให้หากพวกเราต้องการ“พวกเราจะเดินทางไปอคาเดมค่ะ รบกวนจัดหายานพาหนะให้ด้วย” ผู้เป็นแม่กล่าวทักทายพนักงานชายกลุ่มนั้นพร้อมกับร้องขอสิ่งที่ต้องการทันที“รับทราบครับ อยากได้เป็นรถม้าแบบไหนหรอครับ?”“อา ...ขอแบบดีที่สุดค่ะ รบกวนด้วย”“รับทราบครับ ซักครู่นะครับ”บนโลกที่มีเพียงภาพวาดเพื่อระบุตัวบุคคล สำหรับประชาชนทั่วๆ ไป หากเราไม่ได้เอ่ยชื่อที่แท้จริงออกมาก็ยากที่คนเหล่านั้นจะรู้ถึงตัวตนที่แท้จรเราสี่คนเตรียมใจมาพร้อมสำหรับคำว่า “หมู่บ้านร้าง” มันคงเป็นสถานที่ซึ่งไม่เหลือความเป็นชิ้นเป็นอันให้ชมชื่นแน่แท้“อะ อ่าว...”ความพร้อมทั้งกายและใจดูท่าจะเสียเปล่าเมื่อบ้านเรือนเบื้องหน้าซึ่งถูกพูดถึงไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น แม้จะไม่มีใครอยู่จริงแต่สภาพหมู่บ้านก็ไม่ได้เละเทะขนาดนั้นจริงอยู่ว่าสภาพหมู่บ้านเละเทะตามที่ถูกพูดถึง แต่เพราะยังมีบ้านเรือนอีกหลายหลังที่ยังคงสภาพเดิมได้ไม่ถูกทำลายหรือมีความเสียหายอะไรเลยตุ๊บ ตุ๊บสัมภาระส่วนตัวของเราถูกวางกองไว้หน้าทางเข้าหมู่บ้านรวมกับอาหารการกินชุดแรกที่ถูกเตรียมมาด้วยกัน“เดี๋ยวสิๆ”อายทึกทักภาพที่เห็นตรงหน้า“?”“นี่มัน ปิดเทอมในฝันเลยนี่”...จริงตามที่อายพูด“...ดีจริงๆ ที่มา”แกรดฉีกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะชวนกันเดินผ่านทางเข้าๆ ไปข้างในรั้วไม้เตี้ยๆ ซึ่งกั้นอาณาเขตหมู่บ้านเอาไว้ ภายในมีอาคารบ้านเรือนเล็กๆ ปลูกเรียงรายโดยรอบนอกรั้วขนาบไปด้วยทุ่งนาที่ว่างเปล่าไร้การดูแลรักษามาสักพักหนึ่งแอ๊ดดดดห่างจากประตูทางเข้าหมู่บ้านไม่ไกล ฉันเหลือบไปเห็นร้านอาหารร้างร้านหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ชวนให้เราอยากลองเข้าไปสำรวจภายในโต๊ะทานอาหารสำหรับลูกค้าวา
“โฮ้ว! ชอบๆๆๆ”ลิลิธเบิกตาตื่นกับอาหารตรงหน้า ทั้งขนมหนาวหน้าตาน่าทานและข้าวหน้าเนื้อที่ถูกปรุงแต่งอย่างสละสลวยเข้ากับบรรยากาศริมน้ำยามบ่ายรูปแบบการนั่งติดพื้นทำให้ทั้งอายและลิลิธแปลกใจพอสมควรในทีแรก“แกรดคิดว่าจะได้ให้คุกกี้กับใครหรอ?”อายหันไปถามเด็กสาวขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารตรงหน้ากันอย่างเอร็ดอร่อย“...คิดว่าชาเซน่าจะชนะนะ”แกร๊งเสียงช้อนที่ฉันเผลอทำหลุดมือหลังได้ฟังคำตอบที่คาดไม่ถึงบลูตาค้างพลางมองแกรดด้วยความทึ่ง“...?”...แกรดไม่ได้เชียร์เราหรอ?ตุ๊บ...ฉันทิ้งตัวลงนอนบนพื้นเหมือนหมดอาลัยตายอยาก น้ำตาของผู้แพ้ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาที่ไร้ชีวิต“ทำโอเวอร์ไปได้ เราพูดเล่นๆ”“อะ ร หรอ? ...ตกใจหมดเลย”เด็กสาวผมเทาฟื้นตัวกลับมามีชีวิตชีวาภายในเวลาอันรวดเร็ว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า บลูนี่ชอบแกรดมากเลยเนอะ”“เอ๊ะ!! ...ช ชอบสิ”ฉันเผลอตอบไปตามสถานการณ์อันสับสนซึ่งแน่นอน ทั้งสองคงคิดว่าความหมายข้างต้นคงแบบเพื่อนสนิททั่วๆ ไป“อืม รู้อยู่แล้วล่ะ”“!?”“เพื่อนรักเลยนี่เนอะ”เฮือก!ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังใจตกไปอยู่ตาตุ่มครู่หนึ่ง“ฮะ ฮ่า ฮ่า กินข้าวต่อเถอะๆ”ว่าแล้วเด็กสาวเจ้าของคำถามก็เปลี่ย
บทที่ 9 : คำถามบนกระดาษข้อสอบกริ๊ง กริ๊ง กริ๊งสายลมยามบ่ายพัดกระทบกระดิ่งลมลายฉลุสีเขียวที่คล้องแขวนอยู่หน้าประตูบ้านเปล่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะไปทั่วทั้งตึก...ค่ะ ทั่วตึก ตอนที่ฉันเดินลงไปด้านล่างอาคารก็ยังได้ยินเสียงแว่วเบาๆ ของมันเลย หวังว่าทุกคนจะไม่ร้องเรียนเรื่องเสียงนี้นะ...ยามบ่ายของวันธรรมดาหลังเลิกเรียน เราทั้งสองกำลังขะมักเขม้นอยู่บนโซฟาพลางหยิบสมุดขึ้นมาอ่านคนละเล่มอย่างตั้งใจ“บลู ปีนี้พระราชาอายุเท่าไร?”“ปีนี้ ...ห้าสิบ”“ถูกต้องงงง”“คนในประเทศนี้สามารถแต่งงานกันได้ตอนอายุเท่าไหร่”“สิบหกปีทั้งชายและหญิง”“ใช่ งั้น ...ธาตุไฟกับธาตุดิน ถ้าเอามารวมกันสามารถทำอะไรได้บ้าง?”“....อืม เครื่องปั้นดินเผา”“...อ อืม ถูกต้อง”...แม้จะมั่นใจว่าตอบได้เกือบทุกข้อแน่แต่เราก็ต้องไม่ชะล่าใจเพราะอีกหนึ่งเดือนจะถึงช่วงสอบปลายภาคแล้วเราสองคนใช้เวลาช่วงพักผ่อนไปกับการอ่านหนังสือเตรียมความพร้อมก่อนสอบ...ถึงจะเรียกว่าอ่านหนังสือก็เถอะ แต่แบบนี้ใครจะไปมีสมาธิกันบนตักของฉันมีเด็กสาวผมเปียคนหนึ่งกำลังใช้หัวของเธอหนุนเอาไว้พลางเปิดหนังสืออ่านไม่สนใจ มือของเธอยื่นขึ้นมาลูบปอยผมสีเทาของฉ
“จะถึงท่าแล้วนะ”เช้าวันใหม่ ลิลิธซึ่งตื่นเช้าเป็นคนที่สองต่อจากอาจารย์มูฟรีร่าที่ทำหน้าที่บังคับเรือ เด็กสาวตะโกนปลุกเราให้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นพลางชมเมืองท่าที่กำลังจะไปถึง...ง่วง!ฉันถูกลากขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือพร้อมกับคนอื่นๆ เราทั้งหมดยืนมองแสงสีส้มที่กำลังไต่ระดับขึ้นสู่น่านฟ้า....อาจารย์มากาเลต? น่าจะเมา ตื่นไม่ไหว“...”เมื่อเข้าใจว่าคนอีกคนที่หายไปคือใครฉันก็พร้อมจะไม่สนใจแล้วเพ่งมองแสงแรกของวันอย่างจดจ่อต่อไปปิ๊ง...มันเหมือนกับสัญญาณเริ่มวันใหม่ที่สดใส ใต้วิวทิวทัศน์ที่แสงสีส้มโผล่ขึ้นมาคือพื้นสีคราม มันสะท้อนกันเสมือนกับมีดวงอาทิตย์สองดวงสะท้อนกัน...ตามตำราที่ฉันเคยอ่าน มีสองทฤษฎีที่พูดถึงดวงอาทิตย์กับโลกของเรา พวกเขาถกกันไม่จบสิ้นว่าจริงๆ โลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือดวงอาทิตย์หมุนรอบเรากันแน่ หากถามฉัน แน่นอนว่าฉันไม่รู้นอกเสียจากการคาดเดาว่าดวงอาทิตย์มันใหญ่กว่าโลก...แต่ใครจะไปหมกมุ่นกับดวงอาทิตย์ก็ช่างเขา ฉันสนแค่มันยังส่องแสงสว่างให้เราได้ทุกเช้าก็พอ“ฟุ ฟุ ตอนเช้าต้องยิ้มนะ”บลูเผลอเหม่อมองดวงอาทิตย์จากเงาสะท้อนบนผิวน้ำจนใบหน้าเคร่งขรึมไม่รู้ตัว แกรดที่เห็นท่าไม่ดีจึ
...ข้าวเย็น ไม่เห็นมีคนทำเลย...ไม่ผิดใช่มั้ยที่ฉันเห็นฝูงปลาพวกนี้แล้วจู่ๆ ความคิดเรื่องข้าวเย็นก็ผุดขึ้นมาฉันกวาดตามองคนในเรือโดยไม่พูดอะไร ท้องของฉันเริ่มหิวแต่ไม่ยักกะมีใครเตรียมอาหารค่ำ“ก แกรด”ฉันเดินไปกระซิบถามเด็กสาวที่สนิทสนมที่สุดในเรือ“หืม?”“เรา ...ไม่กินข้าวเย็นกันหรอ?”“อ๋อ ลืมบอกบลูไปเลย เราจะตกปลากินกันน่ะ”“ตกปลา?”“อืมๆ ว่าแล้วก็ช่วยเราเตรียมของขึ้นมาหน่อยสิ”เด็กสาวกวักมือชวนฉันให้ลงไปห้องโถงใต้ท้องเรือกับเธอ ภายในมุมผนังห้องโถงซึ่งมีคันเบ็ดยาวถูกจัดเตรียมไว้ให้หลายสิบคัน แกรดบรรจงเลือกไม้ที่ดีที่สุดแล้วหันมาถามความเห็นจากฉัน“ม ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยตกปลาน่ะ”“อืม ...งั้นเราว่าบลูน่าจะชอบอันนี้นะ”แกรดหยิบหนึ่งในเบ็ดที่วางเรียงอยู่บนผนังแล้วยื่นมาให้ฉันด้วยความมั่นใจโดยที่ฉันแทบแยกความต่างของไม้นี้กับไม้อื่นไม่ออกเลย“ขอบคุณนะ แต่ฉัน ...ไม่ค่อยเก่งเรื่องตกปลา”“เดี๋ยวเราสอนๆ”เด็กสาวตอบกลับอย่างเริงร่าก่อนจะเดินแบกคันเบ็ดคันอื่นขึ้นไปด้านบนเรือของเราหยุดลงกลางทะเล ช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อนมาถึงเมื่อท้องฟ้าเข้าสู่ช่วงค่ำคืนปุ๊ฟ...ลูกไฟดวงใหญ่ถูกจุดขึ้นเหนือเรือ มั
เวลามุ่งสู่วันออกเดินทางอย่างรวดเร็วเราทั้งสี่ถูกรถม้ารับไปส่งยังท่าเรือแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาเดินทางจนเห็นท้องทะเลยามเที่ยงวันพอดิบพอดี“...ทะเล”“...”สายลมเย็นเริ่มพัดแรงขึ้น พวกมันพัดเอาความรู้สึกเหนอะหนะอ่อนๆ ติดมาด้วยพร้อมๆ กับกลิ่นทะเลที่แปลกแตกต่างจากกลิ่นธรรมชาติทั่วไปเสียงคลื่นเริ่มดังขึ้นขณะที่รถม้าเดินทางเข้าใกล้ท่าเรือใหญ่ท่าเรือเซอร์เมีย ท่าเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ทันทีที่เราทั้งหกผ่านเข้าอาณาเขตของท่าเรือ ความวุ่นวายก็เริ่มปรากฏ ฉันมองเห็นผู้คนที่กำลังเดินไปมาเพื่อขนส่งของต่างๆ โดยส่วนมากมักจะเป็นสัตว์ทะเลที่ถูกจับมาเพื่อใช้ส่งไปค้าขายยังที่อื่นอีกที“เราเป็นตัวแทนมาจากอคาเดมค่ะ”มูฟรีร่าตรงไปทักทายผู้ดูแลเรือคนหนึ่งในป้อมบริการก่อนจะขอใช้เรือส่วนตัวของโรงเรียนเพื่อออกเดินทาง หญิงสาวยื่นเอกสารยืนยันตัวตนให้ผู้ดูแลคนนั้นพร้อมกับแนะนำตัวแบบคร่าวๆ“ครับๆ ....อืม เรืออยู่ทางนู้นนะครับ”ชายวัยกลางคนผายมือไปที่เรือลำหนึ่งซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ไม่ห่างจากที่พวกเรายืนอยู่มากนัก“ค่ะ ...ขอบคุณค่ะ”“อ...อาจารย์ครับ!”ชายคนนั้นทึกทักเหมือนอยากจะไถ่ถามบางอย่างกับอาจารย์มูฟรีร่า