ฉันหนีหัวซุกหัวซุนเลยเมื่อเช้า เพราะตัวเองหาชั้นในตัวใหม่ไม่เจอ แล้วดันไปทำให้ชายขี้หงุดหงิดเจ้าของห้องนอนต้องตื่นขึ้นมาโวยวายจนได้ ทั้งๆ ที่ฉันก็ระวังแล้วแท้ๆ
จริงๆ กฎข้อสำคัญของร็อคก็คือเรื่องเสียง เขาค่อนข้างเซนซิทีฟโดยเฉพาะตอนนอน ห้ามมีเสียงรบกวนใดๆ เลย
พอหลุดออกมาจากห้องได้ ฉันก็ต้องกระหืดกระหอบนั่งรถไฟฟ้าเพื่อไปมหาลัยฯ เพราะวันนี้มีเรียนทั้งวัน และกลัวว่าตัวเองจะเข้าเรียนสาย เพราะวิชานี้อาจารย์ทั้งดุทั้งเข้มงวดเรื่องการเข้าเรียนสาย ฉันเองก็ไม่ยอมเสียคะแนนง่ายๆ ด้วยเรื่องแบบนี้ด้วย
หลังจากนั่งรถไฟฟ้ามาได้5นาทีก็มาถึงหน้ามหาลัยฯ เรียบร้อย สรุปแล้วฉันมาถึงก่อนเวลาตั้งครึ่งชั่วโมงเลย
“ทำเวลาได้ดีมากอลิซ!” ฉันชมตัวเองอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินไปหาที่นั่งรอเพื่อนสนิทที่หน้าคณะ
“อลิซมาคนเดียวเหรอ แล้วเลิฟล่ะ” กายเพื่อนร่วมห้องสุดหล่อของฉัน เดินโบกมือมาให้อย่างร่าเริงสุด
“เห็นบอกว่าอยู่หน้ามหาลัยฯแล้ว น่าจะใกล้ถึงแล้วละ” ฉันตอบพร้อมกับมองไปหน้าคณะแต่ก็ยังไม่เจอวี่แววของเพื่อนเลย
“โอ๊ะ! นั่นไงมาพอดีเลย” กายชี้ให้ฉันมองไปอีกทาง ก่อนจะเห็นรักวิ่งหน้าตั้งมาเลย
“แฮ่กๆ เราไม่ได้มาสายใช่ไหม” รักหยุดหอบหายใจท่าทางดูทรมานน่าดู
“ไม่สายๆ เรารีบเข้าห้องเรียนกันเถอะ” เห็นแบบนั้นก็อดสงสารเพื่อนไม่ได้ คงจะวิ่งสี่คูณร้อยจากหน้ามหาลัยฯมาเลย ถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนั้น
เราสามคนเดินเข้าห้องเรียนไปด้วยท่าทางเตรียมพร้อม เพราะไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ที่รู้ๆ คงไม่พ้นมีงานให้กลับไปทำที่บ้านเหมือนอย่างเคย
3ชั่วโมงแห่งความทรมาน ในที่สุดก็จบลงแล้ว เราสามคนต้องแบกสังขารของตัวเองออกจากห้องเรียนด้วยอาการเหม่อลอยและล้าอย่างเต็มที่
จะไม่ให้ล้าได้ยังไง เพราะต้องทำรายงาน2เล่มแล้วส่งในสัปดาห์หน้า แต่ดีหน่อยที่ให้ทำเป็นกลุ่มละ3คน
“เรื่องรายงานเราขอเป็นคนหาข้อมูลได้ไหม เพราะงานพาร์ทไทม์ของเราเลิกดึก เราคงจะรับหน้าที่พิมพ์งานไม่ได้” ฉันเสนอตัวพร้อมกับบอกเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา
“เรื่องนั้นเดี๋ยวกายพิมพ์ให้เองก็ได้”
“งั้นเราแบ่งกันพิมพ์คนละเล่มดีไหมกาย” รักเองก็ขอทำหน้าที่นั้นด้วย
“เอาอย่างนั้นก็ได้” กายพยักหน้า ฉันเองก็เห็นด้วย
“ถ้างั้นเราไปกิข้าวกันเถอะ เมื่อเช้าเราไม่ได้กินอะไรมาเลย” เพื่อนสาวของฉันลูบท้องปรอยๆ อย่างน่าเอ็นดู
“โอเค เราไปหาอะไรกินกันเถอะ กายจะไปด้วยไหม” ฉันตอบและหันไปถามชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอีกคน
“ไปสิ”
พวกเราตัดสินใจเดินมากินข้าวที่โรงอาหาร ซึ่งตอนนี้คนเยอะมากเพราะถึงเวลาพักพอดี แต่ก็ยังดีที่พอจะมีโต๊ะว่างสำหรับเราสามคน
หลังจากไปซื้อข้าวมานั่งกินที่โต๊ะได้ไม่นาน อยู่ๆ ก็เกิดเสียงดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณนั้น ด้วยความที่อยากรู้เลยพยายามมองหาต้นตอที่ทำให้เกิดเสียงนั้น
“นั่นร็อคนี่! ถือดอกไม้มาให้ใครน่ะ”
“ดอกไม้ช่อใหญ่ขนาดนั้นก็ต้องคนพิเศษสิยะ”
“ราคาน่าจะแพงอยู่นะดอกไม้ช่อนั้นน่ะ”
“ตายในมือยังมีถุง Bvlgari ด้วยนะแก!”
ร็อค…ฉันพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะสอดสายตามองว่าใครคือคนพิเศษของเขากันแน่ แล้วก็ได้เห็นคนพิเศษของเขา ผู้หญิงคนนี้นี่เอง
ถ้าฉันได้ยินมาไม่ผิด เหมือนว่าเธอเป็นรุ่นน้องที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งนะ แล้วร็อคก็เคยพาผู้หญิงคนนี้มาที่คลับด้วยสองสามครั้ง เขาเทคแคร์ผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างดี จนฉันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย และเหล่าพนักงานก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้หญิงคนนี้ร็อคจริงจังมาก ซึ่งฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ก็ตั้งแต่ที่รู้จักกับเขามาไม่มีผู้หญิงคนไหนได้ใช้สถานะแฟนกับเขาเลย อย่างมากก็แค่ควงไปที่คลับครั้งสองครั้งแล้วก็แยกย้ายกันไป แต่กับผู้หญิงคนนี้ฉันว่าน่าจะเป็นแฟนตัวจริงของร็อคในอีกไม่นานแน่
“นั่นแฟนพี่ร็อคเหรอ หน้าตาน่ารักจังเลย” รักที่มองอยู่เหมือนกันเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางตื่นเต้น
“น้อง ชะเอม ที่เรียนฟู้ดไซน์นี่นา” กายบอกชื่อพร้อมสาขาเสร็จสรรพ สมกับเป็นพ่อหนุ่มคนดังของมหาลัยฯเราจริงๆ
“รู้จักด้วยเหรอ” เพื่อนสาวของฉันที่เคี้ยวข้าวไปด้วย ตาก็สอดส่ายสายตามองคู่หนุ่มสาวที่กำลังมอบของขวัญให้กันไปด้วย
เห็นแล้วฉันก็ได้แต่ขำ…เพราะอะไรน่ะเหรอก็ตอนนี้เราสามคนกำลังทำท่าทางแบบเดียวกันเลย ข้าวก็อยากกินอยากรู้เรื่องของคู่รักตรงหน้าก็อยากรู้ ภาพมันถึงออกมาน่าขำอย่างที่เห็น
“เคยทำงานด้วยกันครั้งนึงน่ะ” กายตอบแต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากคู่นั้น
“อย่างนี้นี่เอง” รักพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะเลิกสนใจสองคนนั้นและหันมากินข้าวในจานของตัวเองต่อ
“น้องเขาน่ารักจัง เราที่เป็นผู้หญิงยังละสายตาจากน้องไม่ได้เลย” ฉันพูดด้วยความรู้สึกจริงๆ ของตัวเอง
เธอเป็นสาวน้อยตัวเล็กที่มีดวงตากลมโตสีดำสนิท ผิวขาวอมชมพูเข้ากับผมสีดำเงาทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตาเลย แต่ที่ดึงดูดสายตาของฉันมากที่สุดก็คือลักยิ้มที่ข้างแก้มของเจ้าตัว ยิ้มทีโลกสดใสขึ้นมาเลย
“อลิซก็น่ารักเหมือนกัน” อยู่ๆ กายก็เอ่ยชมขึ้นมาซะเฉยๆ เล่นเอาฉันเกือบสำลักข้าวที่กำลังกินอยู่เลย
“ไม่ต้องมาชมเลย เรารู้ตัวดีว่าตัวเองขี้เหร่และห่างไกลจากคำว่าน่ารักมากแค่ไหน” ฉันหัวเราะรู้สึกขำจริงๆ กับคำชมของเพื่อน
“ทำไมชอบปฏิเสธอยู่เรื่อยเลย อลิซไม่ได้ขี้เหร่สักหน่อย” รักแย้งด้วยสีหน้าจริงจัง
“นั่นสิ” กายก็พยักหน้าเห็นด้วย
“พอๆ พอได้แล้ว รีบกินข้าวเถอะพวกเรายังมีเรียนช่วงบ่ายต่อนะ” ฉันรีบตัดจบบทสนทนา เพราะไม่ชินเวลาที่มีคนมาเอ่ยชมแบบนี้
พอเห็นว่าเพื่อนไม่ได้พูดอะไรอีกฉันก็กินข้าวของตัวเองบ้าง ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองมาที่ฉัน พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นร็อคกำลังมองอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นฉันก็รีบหลบตาก้มหน้าก้มตาไม่เงยหน้าขึ้นอีกเลย
วีรกรรมเมื่อเช้าของตัวเองคงจะทำให้ร็อคหงุดหงิดไม่หาย เขาถึงได้จ้องฉันเขม็งแบบนั้น
“คนอะไรน่ากลัวชะมัดเลย…”
“เราต้องรีบไปแล้วนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
กว่าจะออกจากห้องเรียนมาได้ก็ปาไป 5 โมงเย็นแล้ว ฉันเลยต้องรีบกลับห้องไปเอาชุดทำงาน เพราะวันนี้ฉันรีบหนีร็อคออกมาเลยลืมหยิบชุดออกมาด้วย
“โอเค กลับดีๆ นะ” มือเล็กๆ ของรักโบกมือลา ก่อนที่เราสองคนจะแยกกันไปคนละทาง
ฉันรีบวิ่งไปหน้ามหาลัย เพราะวันนี้เป็นเวรของตัวเองที่ต้องไปเปิดร้าน เพราะฉะนั้นฉันต้องไปถึงร้านตอน6โมงเย็น
จากตอนแรกที่ตั้งใจจะนั่งรถเมล์ ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนใจแล้ว เพราะป้ายรถเมล์มีคนรออยู่เยอะมาก
“ถ้ารอรถเมล์ เราคงเข้างานไม่ทันแน่” เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันเลยเปลี่ยนใจเดินออกมา ตั้งใจจะไปขึ้นรถไฟฟ้าแทน แม้จะแพงกว่ากันนิดหน่อย แต่ในเวลาเร่งด่วนแบบนี้ก็คงต้องยอมแล้วแหละ
ปี๊น!!
เดินมาได้ไม่นาน ฉันก็ต้องตกใจกับเสียงแตรรถที่ดังมาจากด้านหลัง
“ขึ้นมา!” รถสปอร์ตคุ้นตามาจอดเทียบอยู่ด้านข้าง ก่อนจะตามมาด้วยคำสั่งสั้นๆ จากเจ้าของรถ
ฉันไม่อิดออดให้เขาเสียอารมณ์ เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถหรูคันนั้นทันที พร้อมกับคาดเบลส์เตรียมพร้อม
“วันนี้เธอต้องไปเปิดร้านใช่ไหม” ร็อคขับรถออกมา พลางชำเลืองมองฉันไปด้วย
“ใช่ค่ะ แต่ว่าฉันลืมเอาชุดทำงานมา ต้องกลับไปเอาที่ห้องก่อน” ฉันเกร็งไปหมดหลังจากที่พูดจบ
“แล้วทำไมไม่เตรียมมาตั้งแต่เมื่อเช้า” เจ้าของรถถามเสียงเข้ม
“เมื่อเช้ารีบก็เลยลืมหยิบมาด้วย” ฉันอ้อมแอ้มตอบกลับไป
“เธอนี่มันจริงๆ เลย!” ร็อคตวัดสายตามามองฉันอีกครั้งอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรอีก
หลังจากที่ร็อคพามาถึงคอนโด เขารีบไล่ฉันให้ลงไปเอาชุดทำงาน โดยที่เขายังนั่งรออยู่ในรถ ทั้งๆ ที่เขาจะล่วงหน้าไปที่ร้านก่อนก็ได้ ฉันคิดอย่างสงสัย ก่อนจะได้คำตอบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าขึ้นมาได้
“เขาผูกใจเจ็บขนาดนั้นเลยเหรอ เกินไปรึเปล่าเนี่ย” ฉันรู้สึกห่อเหี่ยวทันที นั่นเท่ากับว่าขึ้นรถเขาไปคราวนี้ฉันต้องโดนร็อคเล่นงานแน่ๆ
แต่ผิดคาดเพราะเขาเงียบมาตลอดทาง ไม่ดุไม่ว่าอะไรฉันเลยสักคำ
แปลกๆ อยู่นะ ถึงจะสงสัยแต่ฉันก็เลือกเก็บเอาไว้ในใจ และทำตัวสงบเสงี่ยมมากที่สุด เพื่อไม่ไปกระตุ้นต่อมขี้โมโหของเขาเข้า เพราะคนนี้จุดติดง่ายเสียด้วย แค่คำพูดเดียวก็ทำเขาฟาดงวงฟาดงาได้เลย คนมีประสบการณ์อย่างฉันขอยืนยันคอนเฟิร์ม
รถหรูแล่นเข้ามาในซอย ก่อนจะจอดที่ลานจอดรถทางด้านหลังของคลับ แทนที่จะจอดที่ร้านข้างๆ เหมือนครั้งก่อน
เดี๋ยว! เขาบอกว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องที่เราสองคนเป็นรูมเมทกัน รวมถึงถ้าฉันมีโอกาสได้ติดรถเขามาด้วยก็ห้ามให้ใครเห็น ส่วนมากร็อคจะเลือกจอดร้านข้างๆ และให้ฉันเดินไปเอง แต่นี่เขาขับรถเข้าไปในคลับเลย แล้วถ้ามีคนเห็นล่ะ คงจะถูกเอาไปเม้าท์ไม่รู้จบแน่
“ทำไมไม่ลง” พอดับเครื่องเสร็จร็อคก็หันมาถามด้วยสีหน้าสงสัย
“คือกำลังดูว่ามีพนักงานคนอื่นอยู่แถวนี้ไหม ถ้ามีจะได้ยังไม่ลง” ฉันตอบกลับพร้อมกับมองไปรอบๆ
“เธอลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้เธอคือคนที่ต้องมาเปิดร้านคนแรก แล้วมันจะมีพนักงานคนอื่นมาได้ไง” ร็อคส่ายหัวและทำหน้าระอาใส่ฉัน
เขาคงกำลังด่าว่าฉันโง่แล้วก็เซ่ออยู่ในใจแน่ๆ แล้วฉันผิดตรงไหนที่ฉันคอยระแวดระวังให้เขาน่ะ
“...ลงไปเปิดร้านได้แล้ว” ร็อคสั่งอีกครั้ง ก่อนจะก้าวลงจากรถ
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบลงตามไป เพราะถ้ายังช้าอยู่คราวนี้พายุทอนาโดได้ลงฉันจริงๆ แน่
“อ้าวอลิซ! มาทำงานกับพี่ร็อคเหรอ”
เพียงแค่ฉันปิดประตูรถไม่ถึงเสี้ยววินาที เสียงทักทายที่แสนจะคุ้นเคยก็ดังตามมาทันที
“เอ่อ…พอดีเราบังเอิญเจอเจ้านายที่ปากทางน่ะ ก็เลยได้ติดรถมาด้วย” ฉันตอบด้วยเสียงที่นิ่งที่สุด พยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธ แต่เมื่อเห็นสายตาใคร่รู้ปนสงสัยของ ที มือมันก็เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อด้วยความตื่นเต้น
“อย่างนี้นี่เอง นึกว่าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันซะอีก”
“มะ…ไม่ใช่ เราสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราอยู่กันคนละทีเลย” ฉันรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน กลัวว่าคนตรงหน้าจะจับได้จริงๆ
“โล่งอกไปที…”
“ทีพูดว่าอะไรนะ?”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร เราไปเปิดร้านกันเถอะ” ทีพูดจบก็เดินมาจะจับแขนฉัน แต่ฉันก็เบี่ยงตัวหลบได้ทัน
“เราเดินเองได้ ขอบคุณนะ”
ทีมีนิสัยอย่างหนึ่งที่ฉันไม่ค่อยสบายใจเวลาที่ต้องอยู่ใกล้เขา นั่นก็คือการแตะเนื้อต้องตัว ทีมักจะเดินเข้ามาโอบบ้างจับแขนจับมือบ้าง ซึ่งการกระทำของเขามันทำฉันอึดอัดทุกครั้งที่อยู่ด้วย จนกระทั่งช่วงหลังทีได้คบกับ พี่เนตร ซึ่งก็ทำงานที่นี่เหมือนกัน ทำให้หลังจากนั้นทีก็ไม่ค่อยมาวุ่นวายอะไรกับฉันอีก จนตอนนี้นี่แหละที่เขาเริ่มทำแบบนั้นอีกครั้ง
ฉันหยิบกุญแจออกมาไขประตูด้านหน้าของร้าน และเดินนำเข้าไปยังห้องแต่งตัวของพนักงานซึ่งถูกแบ่งเป็นสองห้องของชายและหญิง แต่ในตอนที่ฉันกำลังจะเปลี่ยนเสื้อ ฉันก็รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ในห้องนี้กับฉันด้วย พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกใจ
“เราเอง”
“ที!” ฉันมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ
“เราแค่จะเอากุญแจร้านมาให้น่ะ” ทียื่นกุญแจพวงใหญ่มาให้ฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปกติ
“อ่อ ขอบคุณนะ” ฉันยื่นมือไปรับเอาไว้ แต่ก็ถูกทีจับมือเอาไว้แน่น
“เดี๋ยวสิ! เรามีเรื่องอยากจะถามอลิซน่ะ” มือหนายังคงจับมือฉันไม่ยอมปล่อย รอยยิ้มของเขาก็เริ่มดูแปลกๆ ด้วย
“ปะ ปล่อยมือเราก่อนเถอะ” ฉันดึงมือตัวเองออกแต่ทีก็ยังจับเอาไว้ แถมยังบีบแรงขึ้นจนฉันเริ่มรู้สึกเจ็บ
“ถ้าเราปล่อย…อลิซก็ไม่ยอมตอบคำถามเราสิ” ทีฉีกยิ้มกว้างและพยายามดึงฉันให้เข้าไปหาเขา
“มะ ไม่ เราไม่หนีหรอก ปล่อยมือเราเถอะนะ” ฉันดึงมือตัวเองอีกครั้งจนสุดแรง แต่ก็ไม่เป็นผล นั่นยิ่งทำให้ทีบีบมือของฉันแรงขึ้น แววตาก็เริ่มดูขุ่นมัวด้วย
“ไม่ปล่อย! รู้ไหมว่าเราชะ…” ทียังไม่ทันได้พูดจบ เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังแทรกเข้ามาเสียก่อน
“ทำอะไรกัน!”