ผ่านไปหลายวันในที่สุดก็วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดของหลี่ชิงหรง แม่เลี้ยงเดี่ยวจึงจัดการทุ่มเวลาให้กับการตัดเย็บชุดทั้งวันอย่างเต็มที่ ในที่สุดความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล
“เสร็จเสียที” หลี่ชิงหรงเปรยออกมาพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“สวยมากค่ะพี่ชิงหรง ฉันว่าโทนสีน้ำเงินเข้มทำให้ชุดดูเข้ากันได้ดีที่สุด สามารถดึงความสนใจมาจากลายผ้าที่มีสีอ่อนไปได้เยอะเลยค่ะ” ซุยหลันซีหยิบชุดที่ตัดเรียบร้อยแล้วขึ้นมาพิจารณาดู
“ก็แน่อยู่แล้วสิค่ะ ผ้าลายดอกสีน้ำเงินเข้ม พอลงสีเพี้ยนมันเลยกลายเป็นสีน้ำเงินอ่อนออกสีฟ้า พอเราจับคู่กับผ้าพื้นสีน้ำเงินเข้มมันเลยดึงความโดดเด่นมากลบผ้าพื้นได้ แต่พี่ชอบสีแดงเข้มมากกว่า มันดูหรูหรา ไม่มากไม่น้อยดูมีความสง่างาม สาวๆ ที่ทำงานในสำนักงานต้องชอบมากแน่ มองก็สบายตาด้วยเพราะไม่ได้แดงแบบฉูดฉาด” หลี่ชิงหรงหยิบชุดที่ใช้ผ้าสีแดงขึ้นส่งให้กับซุยหลันซีดู
ซุยหลันซีรับชุดที่หลี่ชิงหรงส่งให้มาดูก็พยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริงอย่างที่พี่ชิงหรงว่านะคะ” ผ้าลายดอกสีน้ำเงินจางๆ ขลิบด้วยผ้าพื้นสีแดงเข้มให้ความรู้สึกของสาวสำนักงานที่สวยสง่า เอาการเอางาน
เสียงเปิดประตูเข้ามาในบ้านทำให้สองคนหันไปมอง เติ้งเว่ยหมิงเดินเข้ามาพร้อมกับเล่อเล่อ เด็กชายวิ่งเข้ามาหามารดาพร้อมกับยกของในมือขึ้นอวด
“แม่ครับ พี่ชายซื้อขนมให้เล่อเล่อ”
“เด็กคนนี้ ทำไมไปรบกวนพี่เขาอย่างนั้นล่ะ?” ได้ยินแบบนั้นหลี่ชิงหรงก็เอ่ยตำหนิลูกชายตนเองทันที
“พี่ชิงหรงอย่าดุเล่อเล่อเลยครับ แกเป็นเด็กดีผมเลยให้รางวัล ว่าแต่ตัดชุดไปถึงไหนแล้วครับ” เติ้งเว่ยหมิงไม่อยากให้เด็กชายถูกมารดาตำหนิจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“พี่เว่ยหมิงดูนี่สิคะ ชุดตัดเสร็จแล้ว สวยไหม” ซุยหลันซียกชุดสีสีน้ำเงินขึ้นมาทาบบนร่างของตนเองพลางเอ่ยถาม
“แล้วชุดพี่เป็นไงบ้าง?” หลี่ชิงหรงเห็นว่าเจ้าของบ้านอยากเปลี่ยนเรื่องก็เลยไม่ติดใจอะไร หยิบชุดโทนสีแดงมาถามบ้าง
เติ้งเว่ยหมิงตัดสินใจไม่ถูกเพราะทั้งสองชุดให้ความรู้สึกต่างกันไปคนละแบบ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอีกชุดหนึ่งก็หยิบขึ้นมาดูบ้าง ปรากฏว่าเป็นชุดโทนสีเขียวเหมือนหยก
“ผมว่าสีเขียวก็สวยนะครับ สบายตาดีครับ”
เติ้งเว่ยหมิงยกชุดขึ้นชูให้ดูบ้าง
“อ้าวแบบนี้ก็ไม่รู้น่ะสิว่าชุดไหนสวยที่สุด เล่อเล่อจ๊ะ คิดว่าสามชุดนี้ชุดของใครสวยที่สุด” ซุยหลันซีเห็นว่าคงมีเพียงเล่อเล่อที่สามารถตัดสินได้จึงได้เอ่ยปากถามเด็กชาย
เล่อเล่อหยุดกินขนม เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกของซุยหลันซี ก่อนจะเอามือมาจับคางแล้วนิ่วหน้า คล้ายกับกำลังตัดสินใจเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ท่าทางแบบนี้ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“ชุดของแม่สวยที่สุดครับ” ในที่สุดเด็กชายก็ตัดสินใจได้ พอได้ฟังคำตอบทั้งสามคนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เด็กชายรักแม่มาก ยกให้แม่เป็นที่หนึ่ง หลี่ซิงหรงถึงกับเอ่ยชมลูกชายเสียงหวาน
“เล่อเล่อ เด็กดี เย็นนี้แม่จะทำอาหารโปรดของลูกให้กิน”
“พี่ชิงหรง พี่อดนอนตั้งหลายวัน วันนี้ก็มากินหม้อไฟที่บ้านเถอะค่ะ” ซุยหลันซีเอ่ยชวนพี่สาวเพื่อนบ้านให้มากินอาหารเย็นด้วยกัน เหนื่อยตัดชุดอยู่หลายวัน งานเสร็จแล้วและผลงานก็เป็นที่น่าพอใจ กินหม้อไฟฉลองหน่อยจะดีกว่า ถือว่าเป็นการขอบคุณเพื่อนบ้านที่แสนดีคนนี้
“เย่! เล่อเล่อชอบกินหม้อไฟ ขอเนื้อหมูเยอะๆ ได้ไหมครับพี่สาวคนสวย”
“ได้อยู่แล้ว” ซุยหลันซีตอบพลางบิดแก้มยุ้ยของเด็กชายด้วยความมันเขี้ยว
เย็นนั้นเติ้งเว่ยหมิงอาสาไปตลาด ปล่อยให้ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงได้พัก เมื่อกลับมาก็ลงมือทำหม้อไฟกินกันอย่างมีความสุข อย่างน้อยปัญหาก็แก้ไปได้บ้างแล้ว ตอนนี้รอแค่ผลตอบรับ
“ว่าแต่ชุดก็เสร็จแล้วแบบนี้ พรุ่งนี้โรงงานเปิดก็ไปส่งแบบกันเถอะ” หลี่ชิงหรงพูดขึ้นระหว่างกินหม้อไฟ พลางคีบเห็ดจากหม้อไฟส่งให้ลูกชาย ซุยหลันซีก็พยักหน้าเห็นด้วย
“พรุ่งนี้รบกวนพี่ชิงหรงด้วยนะคะ”
“แม่ครับ ไม่อยากกินเห็ด อยากกินเนื้อครับ” เล่อเล่อปฏิเสธเห็ดที่แม่คีบให้พร้อมกับคีบคืนใส่ถ้วยให้หลี่ชิงหรง
“เล่อเล่อจะกินแต่เนื้อไม่ได้ ต้องแบ่งให้พี่สาวกับพี่ชายกินด้วย” หลี่ชิงหรงบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงจนใจ สายตาของเธอมองลูกชายด้วยความอ่อนโยน แต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลอยู่เล็กน้อย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ชิงหรง เล่อเล่อตัวนิดเดียวจะกินได้มากแค่ไหนกันเชียว” ซุยหลันซียิ้มอย่างเข้าใจ เธอมองดูเด็กชายที่กำลังคีบเนื้อใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย แววของเธอเต็มไปด้วยความเอ็นดูและมีความสุขที่เห็นเด็กน้อยได้กินอาหารที่ชอบ
“ไม่ได้หรอกหลันหลัน เห็นตัวเล็กอย่างนี้ กินจุมาก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ชิงหรง เล่อเล่อกินเต็มที่เลยนะ” เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยย้ำอีกเสียง
เย็นนั้นความสัมพันธ์ของสองบ้านก็แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม
* * *
“หลันหลันเธอรอเจ้าหน้าที่อยู่ที่ห้องนี้ บอกเขาว่ามาส่งแบบ พี่ต้องไปทำงานแล้ว” หลี่ชิงหรงพาซุยหลันซีเข้ามารอที่จุดประชาสัมพันธ์ เพราะต้องลงทะเบียนก่อนถึงจะเข้าไปด้านในได้ หญิงสาวพยักหน้ารับทราบ หลี่ชิงหรงเดินเข้าไปด้านในตัวโรงงานทันทีหลังพูดจบ ซุยหลันซีนั่งรอไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคน สวมเสื้อผ้าดูภูมิฐาน อายุประมาณห้าสิบปีเดินตรงมาหาซุยหลันซีที่นั่งรออยู่
“มาส่งแบบชุดใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นแล้วตอบอย่างสุภาพ
“เชิญในห้องดีกว่านะคะ” หญิงวัยกลางกล่าวจบก็เดินนำเข้าไปด้านในห้อง ซุยหลันซีก้มลงหยิบกระเป๋าแล้วเดินตามเข้าไป
“เชิญนั่งก่อนค่ะ ฉันชื่อ หวงเสี่ยวเหมย เป็นเจ้าของโรงงานเฟิงหยุน” เธอบอกซุยหลันซีพร้อมกับแนะนำตัวเอง ซุยหลันซียิ้มกว้าง ไม่คิดว่าจะได้เจอกับเจ้าของโรงงานด้วยตัวเอง
“ฉันชื่อซุยหลันซี ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ วันนี้ฉันมีแบบมาเสนอกับคุณค่ะ ตอนแรกว่าจะส่งแค่แบบร่างมา แต่พอดีมีผ้าอยู่แล้ว ฉันเลยลองเย็บตามแบบมาให้ดูเลยค่ะ”
ซุยหลันซีหยิบเอาแบบชุดวาดส่งให้กับหวงเสี่ยวเหมย เธอรับมาแล้วคลี่ออกวางลงบนโต๊ะ ใบหน้ามีความพึงพอใจ
“คุณออกแบบชุดนี้เองใช่ไหมคะ?”
“ใช่ค่ะ เป็นอย่างไรบ้างคะ?” ซุยหลันซีตอบพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลุ้นระทึก มือของเธอกำแน่นอยู่ข้างลำตัว พยายามซ่อนความประหม่าไว้ใต้รอยยิ้ม ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่ใบหน้าของหวงเสี่ยวเหมย พยายามอ่านทุกอารมณ์ที่อาจจะปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่าย ในใจของซุยหลันซีเต็มไปด้วยความหวังแต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลใจ
“สวย แปลกใหม่ ทันสมัย ฉันชอบนะ”
หวงเสี่ยวเหมยตอบพร้อมกับยิ้มให้
ได้ยินดังนั้นซุยหลันซีก็จัดการก้มลงหยิบชุดที่เธอตัดมาเรียบร้อยแล้ววางลงตรงหน้าของหวงเสี่ยวเหมยอย่างนิ่มนวล
“นอกจากนี้ฉันยังลองตัดมาให้ดูด้วยนะคะ นี่ค่ะ คิดว่าน่าสนใจเพิ่มไหมคะ”
หวงเสี่ยวเหมยเห็นอะไรผ่านหางตาจึงได้เงยใบหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นเป็นชุดที่ตัดเรียบร้อยแล้ว ก็รีบหยิบขึ้นมาดู
“นะ...นี่ ถึงกับตัดมาแล้ว” แล้วก็ใช้มือลูบไปที่เนื้อผ้าอีกครั้ง
หวงเสี่ยวเหมยลุกเดินไปขยับหุ่นที่มุมห้องมาที่โต๊ะ แล้วบอกซุยหลันซีให้ลองสวมชุดลงไปบนหุ่น หวงเสี่ยวเหมยพยักหน้าช้าๆ ยิ้มออกมาเล็กน้อย สายตามองจ้องตามการเคลื่อนไหวของซุยหลันซี
“ลายผ้านี่มันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า”
หวงเสี่ยวเหมยสมกับเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า แค่สีเพี้ยนก็จับได้ในทันที
“ขอบอกเถ้าแก่เนี้ยตามตรง สามีของฉันทำงานที่โรงงานสิ่งทอจินเซิง ผ้าที่นำมาตัดชุดนี้เป็นผ้าที่ผลิตผิดพลาดทำให้ได้สีที่อ่อนกว่าจากต้นแบบ สามีของฉันต้องชดใช้ค่าเสียหาย ฉันจึงนำมาออกแบบแล้วนำมาตัดเย็บเป็นชุด นี่เป็นตัวอย่างที่นำมาให้ทางโรงงานเฟิงหยุนพิจารณา ฉันหวังว่าทางโรงงานจะชอบชุดนี้ และยินดีซื้อแบบแล้วใช้ผ้าที่ของทางเรานะคะ”
ซุยหลันซีไม่คิดปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้ว ที่เธอมาวันนี้ก็ตั้งใจมาคุยธุรกิจกับเฟิงหยุนในเรื่องเกี่ยวกับรับผลิตชุดโดยใช้ผ้าที่มีปัญหาของเติ้งเว่ยหมิง
เวลาบ่ายสองโมง เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นทำให้เติ้งเว่ยหมิงรีบวางผ้าเช็ดตัวผืนเล็กลงในกะละมังแล้วลุกไปเปิดประตู ปรากฏว่าหลี่ชิงหรง เพื่อนบ้านยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตู“อาหมิง หลันหลันอยู่บ้านไหม พี่มีเรื่องจะมาบอก”“อยู่ครับ แต่ว่าตอนนี้หลันหลันน่าจะไม่สะดวกพบพี่นะครับ” เติ้งเว่ยหมิงแจ้งด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ไม่สะดวกเจอ หลันหลันเป็นอะไรหรือเปล่า”หลี่ชิงหรงถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“เป็นไข้ครับ ผมเลยให้นอนพัก”“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ตอนเช้าพี่มาเคาะประตูรอบหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาเปิด เลยมาอีกทีตอนบ่าย พี่อุตส่าห์เตือนแล้วเชียวว่าอย่าหักโหมทำงานหนัก เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ไม่เป็นไร รอให้หลันหลันหายดีก่อนก็แล้วกัน ฝากบอกหลันหลันด้วยละกันว่าพี่มาหา” หลี่ชิงหรงบ่นอุบอิบถึงเพื่อนบ้านรุ่นน้องที่เธอก็รักไม่ต่างกับน้องสาวตนเองจริงๆ“ครับแล้วผมจะบอกให้ ถ้าหลันหลันค่อยยังชั่วแล้วจะให้ไปหาพี่ชิงหรงนะครับ”“ได้ งั้นพี่กลับบ้านก่อนละกัน”หลี่ชิงหรงกลับไปแล้ว เติ้งเว่ยหมิงจึงปิดประตูเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ทรุดตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นซุยหลันซีตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเติ้งเว่ยหมิง หญิงสาวถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูก เธอรีบลุกออกไปจากเตียงเงียบๆ โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มผู้ที่ตกลงว่าจะเป็นสามีแต่เพียงในนามของเธอนั้นตื่นก่อนเธอนานแล้ว แต่เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นยังไม่ตื่นซุยหลันซีตบหน้าเรียกสติตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะทำหน้าที่ของตนเองเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นั่นก็คือทำอาหารและเตรียมของให้เติ้งเว่ยหมิงไปทำงานทั้งคู่นั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัดอย่างที่คิด เติ้งเว่ยหมิงมีรอยยิ้มแต้มมุมปากอยู่ตลอดเวลา ส่วนซุยหลันซีก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าอย่างเงียบๆหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปทำงาน ซุยหลันซีถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเริ่มลงมือทำงานบ้าน ซักผ้าแล้วไปปลุกเด็กชายเล่อเล่อ ล้างหน้าให้เด็กชาย ดูแลให้เด็กน้อยกินอาหารเช้า เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานออกแบบลายผ้าเล่อเล่อนั่งเล่นคนเดียวอย่างเงียบๆ เด็กชายชินแล้ว เขาจะไม่เข้าไปกวนเวลาพี่สาวคนสวยทำงาน เพราะแม่ของเขาสั่งมาว่าห้ามกวนพี่สาวคน
ในเย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เติ้งเว่ยหมิงช่วยซุยหลันซีเก็บจานล้างทำความสะอาด โดยบอกให้เธอไปอาบน้ำส่วนตัวเขานั่งรออยู่บนเตียง ใบหน้าตึงเครียด คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลาหญิงสาวอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ใช้สายตามองชายหนุ่มผ่านทางกระจกบรรยากาศช่างน่าอึดอัดและเงียบจนซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม“พี่เว่ยหมิง พี่เป็นอะไรไปหรือเปล่า? หรือมีปัญหาอะไรที่ทำงานอีกไหม หรือว่าผู้จัดการจางทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจ?” ซุยหลันซีหยุดมือที่กำลังหวีผม หันหน้ามาทางเขาที่นั่งอยู่บนเตียง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเติ้งเว่ยหมิงไม่ตอบ เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหญิงสาวราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าสายตาลุ่มลึกที่มองมาทำให้ซุยหลันซีรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเติ้งเว่ยหมิงผลักร่างของซุยหลันซี เธอไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปบนเตียงนอนเขาใช้มือข้างหนึ่งจับยึดข้อมือเล็กบางของเธอเอาไว้เหนือศีรษะ มืออีกข้างกดอยู่ที่เอวของเธอ ร่างสูงใหญ่
อี้ชุนคุ้นเคยกับเติ้งเว่ยหมิงเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นคนรับชายหนุ่มเข้ามาทำงานด้วยตนเองเนื่องจากเติ้งเว่ยหมิงได้มีโอกาสช่วยชีวิตอี้ชุนขณะที่ถูกคนดักปล้น ซึ่งเป็นช่วงที่เติ้งเว่ยหมิงย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ หลังจากช่วยเหลือกันแล้ว อี้ชุนต้องการตอบแทนบุญคุณ แต่เติ้งเว่ยหมิงปฏิเสธหลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่อี้ชุนก็รู้ว่าเขาจบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์มา แล้วยังเคยเป็นทหารมาก่อน และตอนนี้กำลังหางานทำ จึงชวนเติ้งเว่ยหมิงมาทำงานคุมเครื่องจักรในโรงงานของตัวเอง จึงนับว่าทั้งคู่ค่อนข้างมีความสนิทสนมกันอยู่พอสมควร“ซุยหลันซี ภรรยาของผมครับ หลันหลัน คนนี้คือคุณอี้ชุนเถ้าแก่เจ้าของโรงงาน”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันซุยหลันซีจึงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนกล่าวทักทาย“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาหมิงฉันไม่คิดว่านายจะปิดบังเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่เธอสวยงามและเหมาะสมกับนายมาก” เถ้าแก่อี้ค้อมหัวเล็กน้อยทักทายเธอกลับ แล้วหันไปพูดกับเติ้งเว่ยหมิง ตัดพ้อเขาเล็กน้อย แล้วเอ่ยชมด้วยความจริงใจซุยหลันซ
ซุยหลันซีมาถึงโรงงานสิ่งทอจินเซิงที่เติ้งเว่ยหมิงทำงานก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี โรงงานแห่งนี้มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนซุยหลันซีเป็นเพียงคนนอกไม่ได้เป็นพนักงานของโรงงาน เมื่อแจ้งความประสงค์ว่าต้องการขอพบสามีแล้วเธอก็เดินออกมาด้านนอก เพื่อหาอาหารกลางวันรับประทาน เพราะต้องรอให้เติ้งเว่ยหมิงกินข้าวกลางวันเสร็จก่อน เสร็จจากมื้อกลางวันก็เดินกลับเข้าไปที่โรงงานอีกครั้งเธอรออยู่ที่ห้องรับรองของโรงงาน ไม่นานเติ้งเว่ยหมิงก็เดินออกมา“พี่เว่ยหมิงมาแล้วเหรอคะ” ซุยหลันซีลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเขา“ทำไมคุณถึงมานี่นี่ล่ะ? แล้วที่โรงงานเฟิงหยุนเป็นยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”เติ้งเว่ยหมิงรู้ว่าวันนี้เธอไปที่โรงงานตัดเย็บผ้าเฟิงหยุนจึงถามเช่นนี้ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมเธอถึงมาหาเขาที่โรงงานหรือว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายขนาดนั้น?เติ้งเว่ยหมิงขมวดคิ้วแน่น“พี่เว่ยหมิง ฝีมือระดับฉันแล้วจะพลาดเหรอคะ ว่าแต่พี่พอจะพาฉันไปพบเถ้าแก่โรงงานของพี่ได้ไหม ฉันมีข้อเสนอเรื่องธุรกิจจะมาคุยกับเขาค่ะ” ซุยหลันซียืดอกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียง
“คุณซุย ฉันยอมรับว่าชุดที่คุณออกแบบมามันน่าทึ่งมาก คุณสามารถออกแบบชุดเพื่อมาจัดการกับผ้าที่ผลิตผิดพลาดได้ดี ฉันต้องยอมรับในความสามารถของคุณจริงๆ ตั้งแต่ฉันเปิดรับสมัครมาเป็นเวลาสามเดือน มีแบบของคุณซุยนี่แหละที่เข้าตาฉันมากที่สุด” หวงเสี่ยวเหมยเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณนะคะที่ชอบชุดของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะต้องการความร่วมมือของคุณค่ะ ฉันใช้ผ้าที่เหลือมาตัดชุดที่ฉันออกแบบ นอกจากชุดที่ฉันตัดมาเป็นตัวอย่างในวันนี้แล้ว ฉันว่าจะออกแบบอีกสักสองสามชุด มีชุดให้ลูกค้าเลือกหลายๆ แบบจะขายได้ง่ายกว่า ร้านค้าส่งที่เป็นคู่ค้าของโรงงานเฟิงหยุนสามารถช่วยขายชุดได้ ฉันเชื่อว่าต้องมีใบสั่งซื้อเพิ่มอีกแน่นอน” ซุยหลันซีโน้มน้าวเถ้าแก่เนี้ยอย่างสุดกำลัง เพราะอยากช่วยแก้ปัญหาให้กับเติ้งเว่ยหมิง นอกจากนี้อาจทำกำไรได้อีกนิดหน่อย“โรงงานเฟิงหยุนยินดีที่จะทำตามที่คุณซุยนำเสนอ แต่ว่าเฟิงหยุนของฉันจะได้อะไรบ้างคะ?” หวงเสี่ยวเหมยแสดงความยินดีที่จะทำตามข้อเสนอของซุยหลันซี แต่ก็ยังคงต่อรองถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ สมกับเป็นเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของโรงงานผู้มากประสบการณ์ ที่ไม่เคยเก็บงำเขี้