วันต่อมา
ก๊อก ก๊อก
“นาเนียร์ตื่นรึยัง”
เสียงเคาะประตูปลุกให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ท่ามกลางอากาศงัวเงียสุดขีด เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับเพราะคำพูดของผู้ชายคนนั้นตามหลอกหลอนไม่เลือนหาย
“นาเนียร์ลูก ตื่นรึยัง”
หากเธอยังไม่ตื่นคงคิดว่านี่เป็นความฝัน เสียงของป้าดังขึ้นหลังจากเสียงเคาะประตูหยุดลง หรือจริงๆ แล้วเธอกำลังฝันกันแน่ ล่าสุดที่ป้าพูดดีๆ ด้วยคงเป็นตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่
เธอก้าวขาลงจากเตียงนอนในสภาพเพิ่งตื่นไปเปิดประตู ภาพป้ายืนยิ้มแย้มทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้
“คะป้า”
“รีบไปอาบน้ำแล้วลงมาข้างล่าง มีแขกมา”
“ใครมาเหรอคะ?”
“เศรษฐีที่แกต้องแต่งงานด้วยไง วันนี้พ่อเขามาสู่ขอแก รีบไปอาบน้ำแต่งตัวสวยๆ แล้วลงมา ฉันให้เวลาแกไม่เกินสิบนาที” ประโยคหลังป้ากระซิบบอกด้วยโทนเสียงเดิม ป้าก็ยังเป็นป้าที่ไม่เคยดีกับเธออยู่วันยังค่ำ
“ค่ะป้า” เธอตอบรับ ก่อนจะปิดประตูลงแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
วันนี้มาถึงจนได้สินะ…
หากมองในแง่ดีเธอคงได้หลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนี้ แต่หากมองอีกมุม เธอไม่รู้เลยว่าชีวิตต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะมีความสุขขึ้นหรือ…ทุกข์กว่าเดิม
เธอเข้าไปอาบน้ำตามที่ป้าบอก วันนี้มีแขกมาเธอไม่อยากให้พวกเขารอนาน หลังจากอาบน้ำเสร็จสรรพเธอจึงมาเลือกเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุดมาสวมใส่ ซึ่งเธอไม่เคยมีเสื้อผ้าสวยๆ ใส่เลยนอกจากชุดของแม่ เธอตัดสินใจใส่ชุดนี้เพราะเป็นชุดเดียวที่สวยที่สุดในตู้เสื้อผ้า
หลังจากแต่งตัวเสร็จสรรพ นาเนียร์เดินออกจากห้องนอนก้าวลงบันไดไม้มาข้างล่าง ดวงตาคู่สวยฉายความประหม่าเมื่อเห็นแขกในชุดสูทภูมิฐานนั่งอยู่โซฟาเก่าๆ พร้อมกับป้าและทีม ข้างกายผู้ชายในชุดสูทดูมีอำนาจพอสมควรคือชายชุดดำสองคน เธอเดินเข้ามาด้วยท่าทางอ้อมน้อม ก่อนจะยกมือไหว้ ‘คิระ’ เพื่อนของพ่อเธอ
เธอจำได้ไม่เคยลืม…
คุณลุงคิระยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อาจเพิ่มมาแค่มีเคราเล็กน้อยดูดุขึ้นมาอีกขั้น เธอยืนประสานมือไว้หน้าตักอย่างสงบเสงี่ยม
“มานั่งข้างๆ ลุงนี่มา” คิระพูดพร้อมกับขยับพื้นที่ที่เหลือเยอะพอสมควรให้ลูกสาวนวคุณนั่งด้วย
“มะ…ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง”
“เข้าเรื่องกันเลยดีไหมคะ” เสียงวรรณีเอ่ย ตั้งแต่คนกลุ่มนี้มาถึงแล้วบอกว่ามาสู่ขอนาเนียร์ วินาทีนั้นตนก็รู้ทันทีว่านี่คงเป็นครอบครัวเศรษฐีที่นาเนียร์ต้องแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ “ในฐานะที่ดิฉันเป็นป้าที่เลี้ยงดูนาเนียร์มาตั้งแต่ยังเด็ก ฉันขอค่าสินสอด…ยี่สิบล้าน ทองคำแท่งอีกสิบบาท”
นาเนียร์ใจไหววูบเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ป้าเรียกเป็นค่าสินสอด มือเล็กจิกเข้าหากันแน่นอย่างรู้สึกเกรงใจฝั่งตรงข้าม อีกทั้งกลัวโดนปฏิเสธและเธออาจไม่ได้ไปจากบ้านหลังนี้
“สินสอดว่าจำนวนเท่านี้ ดิฉันว่าไม่มากไปสำหรับคนรวยอย่างคุณหรอกค่ะ” วรรณีพูดด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างดิฉันรักและเลี้ยงดูหลานสาวมาเป็นอย่างดีมาก ถ้าไม่ได้ตามนี้…ดิฉันคงไม่ยกหลานสาวให้”
รอยยิ้มตรงมุมปากของคิระผุดขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินวรรณีขู่ สายตาคมกริบมองไปยังนาเนียร์เพียงนิด ก่อนจะเหลือบเห็นร่องรอยของบาดแผลตรงเรียวขาที่ดูเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ยังไม่ทันเอ่ยอะไรก็มีใครบางคนเฉลยเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างอ้อมๆ
“แม่แน่ใจเหรอว่าเลี้ยงพี่เนียร์มาอย่างดี” ทีมเอ่ยแค่นั้นก็เงียบไป เพราะไม่อยากแฉวีรกรรมแม่ตัวเองที่ทำไม่ดีต่อนาเนียร์
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ ดิฉันเลี้ยงดูนาเนียร์มาเป็นอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยค่ะ” วรรณียิ้มเจื่อน ก่อนจะรีบแก้ไขสถานการณ์กู้หน้าตาตัวเองกลับคืนมา
“งั้นเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ สินสอดตามนี้นะคะ”
“จริงๆ แล้วตามสัญญาที่นวคุณเคยให้ไว้ไม่มีสินสอดแม้แต่สักบาทเดียว ผมใจดีให้คุณแค่ห้าล้าน” คิระพูดเสียงเรียบ เขาดูป้านาเนียร์ออกตั้งแต่แรกเห็นว่าเป็นคนยังไง นวคุณเคยบอกว่าหากวันนึงตนไม่อยู่ช่วยทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ สินสอดไม่รับสักบาท ขอแค่ดูแลนาเนียร์ให้ดีเหมือนลูกสาวคนนึงก็พอ คนอย่างป้าของนาเนียร์แค่ห้าล้านที่ให้มันยังมากเกินไป
“อะไรนะคะ? หะ…ห้าล้าน?”
“ครับ”
“คุณต่อค่าสินสอดลงมาเยอะเลยนะคะ”
“ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณทำกับลูกสาวนวคุณ ห้าล้านคุณก็ไม่สมควรได้ด้วยซ้ำ”
“ได้ยังไงคะ! นี่มันหลานสาวฉันนะ คุณเป็นฝ่ายมาขอก็ต้องยอมฝ่ายหญิงสิ” วรรณีไม่พอใจจนสันดานที่ปิดบังไว้เริ่มซ่อนไม่อยู่ หลังจากอีกฝ่ายให้สินสอดนาเนียร์เพียงแค่ห้าล้าน “ถ้าฉันไม่ได้ค่าสินสอดตามตกลงกันไว้ คุณก็อย่าหวังว่าจะได้หลานสาวฉันไป!”
คิระสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพลางเอนแผ่นหลังพิงพนักโซฟา สายตาคมกริบจ้องมองวรรณีนิ่งๆ อย่างยากคาดเดาอารมณ์ ในขณะที่ป้านาเนียร์กำลังโวยวายอย่างคนฟิวส์ขาด
ลูกสาวของนวคุณทนอยู่กับคนแบบนี้ได้อย่างไรนานขนาดนี้…
“ผมจะให้เลือกเป็นครั้งสุดท้าย…ระหว่างเงินห้าล้านกับไม่ได้อะไรเลย”
กึกก
วรรณีถึงกับชะงักเมื่อโดนขู่อย่างนั้น ทีแรกตนแกล้งโวยวายเพื่อให้อีกฝ่ายยอมจ่ายยี่สิบล้านและทองคำแท่งอีกสิบบาท ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับสวนทางโดยสิ้นเชิง นอกจากตนจะไม่ได้ค่าสินสอดที่เสนอไป เงินห้าล้านที่อีกฝ่ายเสนอกลับคืนมาก็จะไม่ได้อีกด้วย
“กะอีแค่เงินค่าสินสอดยี่สิบล้านกับทองคำแท่งอีกสิบบาท คุณก็ไม่คิดจะจ่ายเลยหรือไง ในเมื่อมาขอหลานสาวเขาถึงที่ขนาดนี้”
“เงินยี่สิบล้านกับทองคำแท่งสิบบาทสำหรับผมมันก็แค่เศษเงิน แต่ผมคงไม่ให้เศษเงินของผมไปอยู่กับคนอย่างคุณหรอกครับ” คิระพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เพราะเงินก้อนนั้น…ผมจะเก็บไว้รับขวัญลูกสะใภ้คนแรกของตระกูลผมเท่านั้น”
วรรณีกัดฟันกรอด โกรธจนเลือดขึ้นหน้า สองมือที่วางอยู่บนตักกำเข้าหากันแน่นจนมือขึ้นข้อขาว
“ถ้างั้นฉันก็จะไม่ยกหลานสาวให้คุณ เชิญกลับไปได้เลยค่ะ!”
“ผมคงไม่กลับไปโดยไม่มีว่าที่ลูกสะใภ้กลับไปด้วย”
“สงสัยคงต้องเรียกตำรวจเข้ามาคุย…” น้ำเสียงวรรณีที่โกรธสุดขีดค่อยๆ เลือนหายเมื่อคนที่มาสู่ขอหลานสาวหยิบปืนขึ้นมาวางบนโต๊ะ
ด้านทีมกับนาเนียร์เองก็ผงะกับวัตถุอันตรายที่วางลงบนโต๊ะ ทุกสายตาจับจ้องไปยังคิระที่อยู่ในท่าทางสบายๆ ในเมื่อคุยกันดีๆ ไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้
“ผมจะถามเป็นครั้งสุดท้าย…จะเอาไปแค่ห้าล้าน หรือรับเป็นลูกตะกั่วแทนดี”