คนถูกขู่ถึงกับหน้าซีดเผือด วรรณกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตามองวัตถุอันตรายสีดำตรงหน้าแทบจนลืมหายใจ จากโวยวายเพื่อหวังเรียกร้องค่าสินสอดตามความต้องการของตัวเอง กลายเป็นพยายามฝืนยิ้มเจื่อนแทน
“มะ…แหม คุยกันดีๆ ก็ได้นิคะ”
“ตอนแรกก็คุยดีๆ ใครกันนะที่ทำให้ผมต้องใช้วิธีนี้”
คิระกำลังจะบอกว่าเป็นเพราะวรรณีต่างหากที่ทำให้ต้องใช้วิธีนี้ สายตาวรรณีเหลือบมองหลานสาวที่ยืนนิ่งไม่ยอมปริปากพูดอะไร ส่วนลูกชายก็ไม่คิดจะช่วยเพราะเรื่องมันเกิดจากคนเป็นแม่ล้วนๆ
“ฉันแค่ล้อเล่นน่ะค่ะ เรามาคุยกันใหม่นะคะ” วรรณีหัวเราะอย่างรีบแก้สถานการณ์ตรงหน้าก่อนมันจะลามปามไปมากกว่านี้
“ครับ” คิระกระตุกยิ้มมุมปาก หากยอมคุยดีๆ ตั้งแต่แรกคงจบสวยไปนานแล้ว
“หากทางนั้นจะให้ค่าสินสอดห้าล้าน ดิฉันขอเพิ่มอีกสองล้านเป็นเจ็ดล้าน ส่วนทองสิบบาทดิฉันจะยกเลิกไม่เอา คิดซะว่า…” วรรณีปรายสายตามองนาเนียร์ “เป็นค่าเลี้ยงดูหลานสาวแล้วกันนะคะ”
“ตามนั้นครับ” เขาเบื่อจะต่อรองกับป้ามหาภัยคนนี้เต็มแล้ว เจ็ดล้านก็แค่เศษเงิน คิดซะว่าทำบุญทำทานไปแล้วกัน “ไปเก็บของเถอะนาเนียร์ ไปจากที่นี่กัน”
“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหมุนตัวกลับขึ้นไปเก็บของข้างบน
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง เธอไม่ได้ดีใจที่จะได้แต่งงาน ถึงแม้ว่าอายุของเธอจะบรรลุนิติภาวะแล้ว หากแต่ก็ยังดูเด็กเกินไปที่จะต้องแต่งงาน ที่เธอดีใจก็เพราะจะได้หลุดพ้นจากป้าสักที เธออดทนมานานหลายปีจนกระทั่งวันนี้มันก็มาถึง…
นาเนียร์ลงมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง คนของคิระเข้ามาช่วยยกของอย่างรู้งาน ส่วนป้าก็นั่งยิ้มแย้มเพราะคิดว่าตัวเองจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปพร้อมกับนาเนียร์ แต่แล้วสิ่งที่ได้ยินกลับทำให้สิ่งที่วาดฝันพังทลายไม่เป็นชิ้นดี
“ต่อไปนี้นาเนียร์ไม่ใช่คนของบ้านหลังนี้ และคุณก็ไม่มีสิทธิ์อะไรกับนาเนียร์อีกต่อไป”
“คะ?” วรรณีถึงกับหันขวับมองคิระ
“กำหนดงานแต่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…คุณไม่ได้รับเชิญให้มาในฐานะครอบครัวฝ่ายหญิง”
“แต่ฉันเป็นป้ามัน ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ไปร่วมงานแต่ง!” วรรณีโวยวายอีกครั้ง ความคิดที่จะได้เฉิดฉายในงานแต่งของหลานสาวกับมหาเศรษฐีพังทลายลงในชั่วพริบตา
ทีมแอบยิ้ม ถึงแม้จะเป็นแม่ลูกกันแต่ที่ผ่านมาเขาก็สนับสนุนให้นาเนียร์ไปจากที่นี่มาโดยตลอด ต่อให้วันพรุ่งนี้เขาไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดีกับวันสำคัญของคนที่ตัวเองนับถือเป็น ‘พี่สาว’ แต่อย่างน้อยแค่นาเนียร์ได้หลุดพ้นจากแม่ของเขา เขาก็ดีใจมากแล้ว
“ฉันเลี้ยงดูมันมา อย่างน้อยฉันก็ควรได้รับกลับมาบ้างสิ!”
“ไปกันเถอะนาเนียร์” คิระเมินเฉย หันไปบอกนาเนียร์แล้วหยัดกายขึ้นเต็มความสูงโดยไม่คิดแม้แต่จะปรายสายตามองวรรณีสักนิด
หมับ!
“ฉันจะไม่ให้มันไปไหนทั้งนั้น!” วรรณีคว้าแขนนาเนียร์เอาไว้ ตนหวังจะสุขสบายได้เป็นคุณนายเหมือนน้องสาวแต่วาสนาดันไม่ถึง ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสก็ต้องทำทุกทางเพื่อให้ได้มีวาสนานั้น
“ป้า…”
“ถ้ามึงจะไป มึงก็ต้องเอากูไปด้วย! มึงจะหนีไปอยู่อย่างสุขสบายคนเดียวไม่ได้!”
“ปล่อยมือออกจากว่าที่ลูกสะใภ้ของผม ในตอนที่ผมยังใจดีอยู่”
“มึงเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาสั่งกู! กูเป็นป้ามัน! กูมีสิทธิ์ในตัวมันมากกว่ามึงทุกอย่าง คิดรวยแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอวะ!” วรรณีเปลี่ยนไปใช้สรรพนามหยาบคายกับมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลอย่างไม่เกรงกลัว
คิระกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้วรรณีแล้วจับมือที่จับแขนนาเนียร์อย่างแรงจนแดงออกอย่างไม่ปรานีเช่นกัน
“อะ…โอ๊ย!” วรรณีร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด จนในที่สุดคิระคลายมือออกแต่โดยดี “กูจะแจ้งตำรวจให้มาลากคอมึงออกไป!”
“เชิญเลย” คิระพูดแล้วยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะขยับริมฝีปากพูดต่อจนอีกคนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ “เพราะคนอย่างกู…ไม่เคยกลัวตำรวจ”
แค่มีเงินก็สามารถเปลี่ยนจากดำเป็นขาวได้ง่ายๆ ยิ่งนามสกุลไกรวณิชคุณมีอิทธิพลเหลือล้น มีหรือจะไม่รอด…
“ป่ะ นาเนียร์ ลุงจะพาไปในที่ที่หนูควรอยู่” หากเขารู้เร็วกว่านี้ว่าลูกสาวนวคุณต้องทนอยู่กับป้าสันดานแย่ๆ อย่างนี้ เขาจะไม่รอช้ารีบมารับตัวนาเนียร์ออกไปจากที่นี่อย่างไม่รีรอ
วรรณีจะเข้าไปหานาเนียร์อีกครั้งหากแต่คราวนี้ชายชุดดำเข้ามาขวาง ปืนกระบอกทึบที่เหน็บข้างเอวทำให้วรรณียอมลดละความพยายามลงแต่โดยดี
“พอเถอะแม่ เดี๋ยวก็โดนเป่าหัวทิ้งหรอก” ทีมพูดแล้วเดินออกไปอย่างไม่สนใจคนเป็นแม่ เด็กหนุ่มเดินออกมาส่งนาเนียร์ “โชคดีนะพี่เนียร์”
นาเนียร์หันกลับไปมองทีมแล้วยิ้มบางๆ ถึงเธอจะดีใจที่ได้ออกไปจากบ้านหลังนี้ ทว่าก็แอบใจหายที่ต้องห่างไกลทีม ที่ผ่านมาทีมดีกับเธอเหลือเกิน…
“ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ อย่าลืมส่งข้อความมาหาผมบ้าง”
“ไม่ลืมแน่นอน ไว้ทีมสอบติดวิศวะ พี่จะพาไปเลี้ยงฉลอง”
ทีมพยักหน้าแล้วยิ้ม
“พรุ่งนี้ถ้าเราอยากมาร่วมงานแต่งมาได้นะ ยกเว้นแม่ของเราคนเดียว” คิระเดินเข้ามาบอก เด็กคนนี้เป็นคนดีผิดกับแม่ผู้ให้กำเนิด เขามองคนออกแม้ไม่ได้รู้จักมาเนิ่นนาน
“ขอบคุณครับ” ทีมตอบคิระกลับอย่างนอบน้อม สายตามองตามนาเนียร์ที่เดินขึ้นรถคันหรูไปด้วยความยินดี เสียงร้องโวยวายของแม่บังเกิดเกล้าทำให้ตนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“แม่แกผีเข้าหรือไงทีม” คนในซอยเดียวกันเดินผ่านได้ยินเสียงวรรณีโวยวายก็เอ่ยถาม
“ครับป้า”
“ว่างๆ ก็พามันไปเข้าวัดฟังธรรมหน่อย จิตใจจะได้สงบขึ้นมาบ้าง”
ทีมแค่ยิ้มแห้ง ยอมรับว่าเขาอายที่โดนทักแบบนี้เกือบทุกวัน แต่ถามว่าแม่อายไหม? แบบนั้นคงไม่เรียกอายหรอก
“อยู่ที่นั่นสบายไหม” คิระที่นั่งมาพร้อมกับนาเนียร์เอ่ยถามตรงๆ
“ไม่เท่าไรค่ะ…” เธอตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา ไม่ได้เจอคุณลุงคิระนานมาก เจอกันล่าสุดคงเป็นตอนเธอยังเด็กๆ ปกติเธอกลัวคุณลุงคิระอยู่แล้ว ด้วยบุคลิกและความเป็นผู้นำทำให้ดูน่าเกรงขาม พอกลับมาเจอกันอีกครั้งเธอก็ยังมีความรู้สึกเกร็งเหมือนเคย
จำได้ว่าเขามีลูกชาย…
เธอกำลังคิดว่าตอนนี้นิสัยคนๆ นั้นเปลี่ยนไปบ้างแล้วหรือยัง
“คุณลุงคะ”
“หืม?”
“ลูกชายคุณลุง…ยังเหมือนเดิมไหมคะ”
คำถามของนาเนียร์ทำให้คิระนิ่งชะงัก ตอนเด็กๆ คิรันชอบแกล้งนาเนียร์แถมยังล้อทุกครั้งที่เจอว่า ‘หมูอ้วนฟันเหยิน’ ทำให้นาเนียร์ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะตอนนั้นและตอนนี้นิสัยของคิรันไม่ได้จากต่างเดิมเท่าไรนัก
“ก็…ไม่ถึงกับดีขึ้น”
คนฟังใจหายวาบ สิ่งที่เคยโดนคิรันแกล้งฝังใจเธอเป็นอย่างมาก กลัวว่าแต่งงานกันไปจะโดนแกล้งอีก
หลุดพ้นจากป้าแล้วยังต้องมาเจอกับคนที่ตัวเองแกล้งตอนเด็กๆ อีกหรือนี้ ชีวิตเธอเคยอยู่อย่างสงบสุขกับคนอื่นเป็นบ้างไหม
“ถ้าลูกชายลุงรังแกหนูมาฟ้องลุงได้ตลอดเลยนะ ลุงจะจัดการให้”
“ค่ะ…” เธอตอบรับสั้นๆ ด้วยรอยยิ้มบางเบา แค่ลองจินตนาการว่าได้แต่งงานกับคนๆ นั้น…เธอก็สงสารตัวเองอีกครั้งแล้ว