LOGINเธอคือ 'นักสังหารไร้เงา' มือสังหารอันดับหนึ่งของโลกที่ซ่อนตัวภายใต้ตำแหน่ง ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาอาชญากรรมของ FBI ความงามของเธอคือกับดัก แต่ความปรารถนาเดียวที่เธอโหยหา คือความจริงเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริง ซึ่งไม่มีใครเคยล่วงรู้ เขาคือ 'จักรพรรดิแห่งเงา' ผู้นำสูงสุดแห่งโลกใต้ดิน ผู้ซึ่งมีแต่ความเย็นชาและอำมหิตทำให้โลกต้องสั่นคลอน เขามีทุกสิ่ง ยกเว้นหญิงสาวคนเดียวที่เขายอมลดตัวลงตามหา โชคชะตาเล่นตลก เมื่อภารกิจไขปริศนาตัวตนของเธอ นำพาเข้าสู่วงโคจรของเขา... เขาจะสามารถหาผู้หญิงที่เขาเฝ้ารอมาทั้งชีวิตหรือไม่? และเมื่อได้พบ... เขาจะรู้หรือไม่ว่าคนๆ นั้นอยู่ใกล้ชิดจนน่าตกใจ?
View Moreเสียงหอบหายใจดังระงมไปทั่วทุกซอกมุมของห้อง บรรยากาศร้อนระอุราวกับจะเผาไหม้ บนเตียงร่างของทั้งสองยังคงเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง แผ่นหลังสีแทนของชายหนุ่มขยับไหวอย่างสม่ำเสมอ เหงื่อเม็ดเข้มซึมไหลออกมา บนเรือนร่างขาวนวลของเธอปรากฏรอยรักสีแดงระเรื่อและรอยช้ำสีม่วงเข้ม
หญิงสาวโอบรอบลำคอเขา กดศีรษะให้จมลึกลงในทรวงอกของตน เขาเงยหน้าขึ้น มุมปากปรากฏรอยยิ้ม เสียงทุ้มนุ่มที่เจือด้วยแรงปรารถนา “เธอ... ช่างยั่วเย้าเสียจริง”
หญิงสาวส่งสายตาพร่ามัวราวกับมีหมอกไอน้ำมองเขา ใช้นิ้วเรียวยาวลากวนอยู่บนแผงอก แล้วกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “คีริน คุณกำลังใช้คำพูด เพื่อสัมผัสเสน่ห์ของฉันอยู่หรือไงคะ?”
“ไม่” เขาตอบ “แต่เป็นฉันที่กำลังใช้ความยิ่งใหญ่ของตัวเอง เพื่อสัมผัสความกระชับแน่นของเธอต่างหาก”
----------------------------------------------------------
เด็กหญิงวัยสิบขวบ ร่างกายเล็กกระทัดรัดน่ารัก ใบหน้าคล้ายตุ๊กตา ดวงตาสีฟ้ากลมโตงดงามสะท้อนให้เห็นถึงสายเลือดลูกครึ่งในตัว เธอใช้ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นมองเด็กชายที่อยู่เบื้องหน้า เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ทั่วทั้งร่างกายที่ผอมโซและอ่อนแอ เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและบาดแผล นอนแผ่ราบอยู่บนพื้นดินที่ชื้นแฉะ ใบหน้าของเด็กชายซูบผอมราวกับคนที่อดอาหารมาหลายปี หายใจอย่างยากลำบาก ราวกับนอนรอความตายอยู่ตรงนั้น มีเพียงดวงตาสีดำเข้มที่โดดเด่นคมกริบ ไม่เหมือนเด็กในวัยนี้ กำลังเหลือบมองเด็กหญิงด้วยท่าทีเฉื่อยชา
เจ้าหญิงน้อยในชุดกระโปรงสีอ่อนนั่งยองๆ ลง ยื่นมือเล็กๆ ราวกับดอกบัวแรกแย้มออกไปตรงหน้าเด็กชาย ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคลี่รอยยิ้มสดใส
“กลับบ้านกับฉันเถอะ ฉันจะเลี้ยงดูนายเอง”
ว่าแล้วเด็กหญิงก็ดึงเขาลุกขึ้น คล้องแขนพาดบ่าตัวเองแล้วพยุงเดินไป แต่เด็กหญิงวัยสิบขวบก็ยังคงเป็นเด็กที่อ่อนแอและซุ่มซ่าม “ตึง!” เสียงดังหนึ่งครั้ง ทั้งสองก็ล้มโครมลงกับพื้น เด็กหญิงถูกก้อนหินคมบาดเข้าที่ต้นขาเล็กๆ ร่างกายที่อ่อนนุ่มสั่นสะท้าน ผิวหนังตรงขาขวามีของเหลวสีแดงสดไหลซึมออกมาเป็นทาง
ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ร้องไห้ ดวงตาแดงก่ำไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็ไม่มีสักหยดที่ร่วงหล่น เธอเม้มปากแน่น แล้วพยายามลุกขึ้นเดินต่อไป ร่างกายของเด็กชายอ่อนแอเกินกว่าจะพยุงตัวเองได้ จึงทำได้เพียงมองท่าทางที่เข้มแข็ง การเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ร้องไห้ หลังจากนั้นความรู้สึกบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นในใจของเขา
คือความขอบคุณ? คือความชื่นชม? คือการสรรเสริญ? ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เลย ริมฝีปากขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หยุดไป
เด็กน้อยคือเจ้าหญิงแห่งอัศวศิริธรากุล แชมเปญ เธอคือเทพธิดาในใจของเขา คือผู้ช่วยชีวิตของเขา คือผู้ที่มอบชีวิตนี้ให้กับเขา และเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวของเขา คีริน ยินดีที่จะจงรักภักดีอย่างที่สุด และเสียสละชั่วชีวิตเพื่อติดตามเธอ
แต่หลังจากที่คีรินถูกแชมเปญพาเข้าอัศวศิริธรากุลได้หนึ่งปี คืนนั้น...ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ไม่มีแม้แต่ความขัดแย้งหรือการปะทะกัน ตระกูลใหญ่อย่างอัศวศิริธรากุลถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น มันช่างเรียบร้อย ง่ายดายและเงียบงัน ราวกับว่าอัศวศิริธรากุลไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเข้าจมูก ซากศพกองระเกะระกะ คีรินแก่กว่าเด็กหญิงสี่ปี ตอนนี้อายุสิบสี่ปี เขากลับมาจากเมืองข้างๆ หลังจากไปซื้อขนมแยมลูกกวาดอบเชยเพื่อนำมาให้เธอ ทันทีที่ก้าวเข้าไปแล้วเห็นฉากนี้ เขาตกตะลึงและรีบค้นหาทุกซอกมุมในคฤหาสน์อัศวศิริธรากุล แต่การค้นหาตลอดสามวันไม่พบเด็กหญิงคนนั้น แม้แต่ศพก็หาไม่เจอ
เด็กหญิงที่มักจะยิ้มแย้มพร้อมกับลักยิ้มข้างแก้มซ้ายเสมอ เด็กหญิงที่มักจะทำท่าเป็นนายท่าน ชี้ไม้ชี้มือแล้วหัวเราะคิกคัก เด็กหญิงที่มักจะสวมกระโปรงยาวเกินเข่า เพื่อซ่อนรอยแผลเป็นเล็กๆ รูปร่างคล้ายผีเสื้อที่ต้นขาขวา
ตอนนี้... เธอหายไปไหนแล้ว
คีรินราวกับคนเสียสติ เที่ยวตามหาเด็กหญิงคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แชมเปญก็หายสาบสูญไปอย่างเป็นปริศนา
สิบสามปีต่อมา
นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
ณ โรงแรมรอยัลใจกลางนิวยอร์ก กำลังมีการจัดงานเลี้ยงน้ำชาที่หรูหราอลังการ ภายในโรงแรมเต็มไปด้วยแสงไฟนีออนที่ระยิบระยับราวกับต้องมนตร์ และโคมระย้าคริสตัลที่หมุนวนอย่างสง่างาม ทำให้ค่ำคืนในนิวยอร์กดูฟุ่มเฟือยและลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก
ในห้องจัดเลี้ยงที่โอ่อ่า บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ โลกใต้ดิน ไม่มากก็น้อย ต่างมารวมตัวกันที่นี่ บรรดาเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลต่างมีหญิงงามที่ดูสง่าตามติด เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ อ่อนโยน แผ่ซ่านไปทั่วทุกซอกมุมของโรงแรมอันวิจิตรตระการตา
บนชั้นสอง หญิงสาวรูปร่างเย้ายวนในชุดเดรสรัดรูปสีแดงเพลิง ที่เหมือนกับไวน์ในแก้วที่ถืออยู่ เอนกายพิงโซฟา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองลงไปยังห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราเบื้องล่าง แอลกอฮอล์ถูกวนเบาๆ ในแก้วก่อนที่เธอจะจิบหนึ่งอึก มือเรียวยาวขาวนวลหมุนแก้วอย่างไม่ได้ตั้งใจ นิ้วกลางสวมแหวนเงินที่ออกแบบอย่างประณีต ฝังด้วยเพชรรูปดอกกุหลาบ ซึ่งขับเน้นให้ดูสูงส่งและแตกต่างออกไป ส่วนนิ้วหัวแม่มือกลับซุกซน วาดวงกลมอย่างไร้ทิศทางไปบนขอบแก้วคริสตัล
ผมสีดำถูกเกล้าไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ ปล่อยปอยผมนุ่มสลวยลงมาเล็กน้อย บดบังใบหน้าอันงดงามของเธอ ชุดราตรีสีแดงสดราวกับต้องการจะเผาผลาญผู้ที่จ้องมอง ดวงตาสีฟ้าคมกริบเคลื่อนไหวเล็กน้อย เมื่อมองเห็นเงาร่างหนึ่งที่อยู่ด้านล่าง
มุมปากเผลอวาดเป็นส่วนโค้งที่สะกดใจ เผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้มซ้าย ยิ่งทำให้ผู้คนถึงกับวิปลาสในความงาม
แต่มีน้อยคนนักที่จะคาดคิดได้ว่า หญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้าคนนี้ แท้จริงแล้วคือ นักฆ่ามือหนึ่งของโลก ผู้มีฉายาว่า “นักสังหารไร้เงา”
บนโลกใบนี้มีผู้หญิงสองคนที่ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าเลยแม้แต่คนเดียว นั่นคือ นักฆ่าหญิง ‘สังหารไร้เงา’ และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาอาชญากร ‘นักล่าเงา’
ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ไปจนถึงเด็กเล็ก จากชนชั้นกรรมกรไปจนถึงประธานาธิบดี หรือแม้กระทั่งคนที่ปลีกตัวไปอยู่บนเขา ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของผู้หญิงสองคนนี้ และไม่มีใครรู้ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเธอ
สำหรับ ‘นักสังหารไร้เงา’ ถ้าหากอยากรู้ใบหน้าของเธอ ก็ขอเชิญเดินทางไปนรกสักครั้ง เพื่อถามบรรดาเหยื่อที่ถูกเธอสังหาร ส่วน ‘นักล่าเงา’ นั้น... หาก ‘นักสังหารไร้เงา’ ถูกนับเป็นปริศนาที่ลึกลับ ‘นักล่าเงา’ ก็ถูกยกให้เป็นตำนานไปแล้ว และเมื่อเป็นตำนาน... ย่อมเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึงได้
‘นักสังหารไร้เงา’ จิบไวน์แดงในแก้วอีกอึกหนึ่ง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไปเมื่อเห็น เหยื่อ ปรากฏตัว จนอาจทำลายแผนการใหญ่ได้
ชายผู้นั้นอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี แม้จะมองไม่เห็นรูปหน้าชัดเจนนัก แต่เงาร่างที่สูงใหญ่ของเขาก็เผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์อย่างชัดเจน รอบกายแผ่รังสีเยือกเย็นออกมา ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบประมาท
เขาเดินเหยียดตรงอย่างสง่างาม เย่อหยิ่ง ไม่สนใจใคร ทุกคนต่างพร้อมใจกันหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ ชุดสูทสีดำที่ตัดเย็บอย่างประณีตแนบกับเรือนร่าง ทำให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าของร่างกาย แต่กลับแผ่ซ่านไปด้วยความ เย็นชาและโหดร้าย
จากระยะไกล หญิงสาวยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่มาจากผู้ชายคนนี้
หลังจากคำพูดของคีริน ทั้งห้องก็ดูเหมือนจะจมดิ่งลงสู่ความเงียบอีกครั้ง แชมเปญยังคงกอดอกไว้ เพียงแต่ริมฝีปากของเธอเม้มเข้าหากัน นัยน์ตาไหววูบ เลือดทั่วร่างราวกับหยุดไหล สมองยังประมวลผลข้อมูลไม่ทันหลังจากผ่านไปชั่วขณะ เธอถึงได้รู้สึกตัวราวกับเพิ่งตื่นขึ้น ม่านตาสีฟ้าครามหดตัวเล็กน้อย เผยอยิ้มเย้ยหยันเบาๆ “หัวหน้าใหญ่ คุณช่างมีอารมณ์ขันจริงๆ บอกว่าฉันเป็นฆาตกร ทั้งที่ฉันถูกจับตัวมาที่ตระกูลโภคินชยกุล และไม่ได้ออกไปไหนเลยแม้แต่ครึ่งก้าว”ขณะที่พูดเธอก็เลิกคิ้วขึ้น สายตาที่คมกริบราวกับใบมีดพุ่งตรงไปยังคีริน ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างสูงจรดพื้น ล้อเล่นอะไรกัน! ถ้าบอกว่าเธอเป็นฆาตกร? นั่นแปลว่าต้องรับโทษทั้งหมดอย่างนั้นหรือ? ยิ่งกว่านั้นมันเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมากที่จะบอกว่าเธอเป็นฆาตกร คีรินไม่ได้เป็นคนที่เหนือกว่าอะไรเลย เสียแรงที่เคยนับถือจนถึงขั้นหวาดกลัวขนาดนั้นความรุ่งเรืองของตระกูลโภคินชยกุลในปัจจุบันก็เป็นเพียงผลมาจากบรรดาลูกน้องคนสนิทเท่านั้น แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ลึกๆ ในใจก็ยังมีความหวั่นอยู่บ้างความจริงแล้ว...เธอกำลังกลัวเมื่อได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนั้น เจซุสก็พยักหน้าคล้อยตาม “นักสังหา
ในห้องโถงใหญ่…ทั้งสี่คนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากแชมเปญได้ยินคีรินพูดถึงการตายของมาวิสในคุก และยังมีกระดาษในมือซึ่งเขียนข้อความว่า ‘We are the same’ เธอรีบคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมแล้ววิ่งออกมาดูในมือของแชมเปญคือแล็ปท็อปรุ่นใหม่ล่าสุด ข้างกายเธอคือชายหนุ่มรูปงามผู้ ทรงอิทธิพลสามคนแห่งตระกูลโภคินชยกุล หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจ และเป็นสายเลือดเศรษฐกิจของโลกคีรินยืนอยู่ด้านหลังแชมเปญ ส่วนเจซุสและอธิปยืนอยู่สองข้าง สิ่งเดียวที่พวกเขาทุกคนกำลังทำคือจ้องมองไปที่หน้าจอแล็ปท็อป ซึ่งเต็มไปด้วยตัวเลขและรูปภาพบางส่วน ในนั้นมีรูปถ่ายของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น ในฝ่ามือกำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ หากขยายภาพจะเห็นชัดเจนว่าบนกระดาษเขียนว่า we are the same.บรรยากาศในห้องเงียบงันอย่างที่สุด เงียบจนกระทั่งได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ หรือเสียงหัวใจเต้นอย่างชัดเจนนิ้วของแชมเปญกำลังจะพิมพ์ลงบนแป้นพิมพ์อีกครั้ง“หยุดก่อน” อธิปเอ่ยขึ้น สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าจอแล็ปท็อปทันทีที่เขาพูดจบ นิ้วของแชมเปญก็หยุดลง ดวงตาสีฟ้าครามของเธอหรี่ลงเล็กน้อยอะไรกัน?ความหมายของคุณคือ...” แชมเปญพูดติดอ่า
เสียงครางแผ่วเบาของผู้หญิง ราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่ลอยเข้าสู่หูของคีริน ทำให้ร่างกายของเขาตึงเครียดขึ้นมา มือหนาหดกลับอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณนั้นจุดอ่อนไหว เปลี่ยนมาจับและบีบคลึงผิวขาวผ่องบนต้นขาของเธอ ดวงตาคมราวกับมีเปลวไฟอยู่ภายใน กำลังจะลุกโชน แต่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาอย่างไรดี จึงทำได้เพียงกัดฟันแน่นและออกแรงบีบที่ต้นขาเนียนสวยแชมเปญไม่คาดคิดว่าเขาจะใช้กำลังมากขนาดนี้ จึงไม่ได้เตรียมใจไว้ ต้นขาสวยเจ็บแปลบ เธอขบเม้มริมฝีปาก แล้วส่งเสียงร้องออกมาแผ่วเบา เสียงร้องเล็กๆ นั้นราวกับลูกแมว ทั้งน่ารัก และทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะต้องการทำรุนแรงใส่สักครั้งดวงตาที่คมกริบของคีรินยังคงจ้องมองอย่างตั้งใจส่วนแชมเปญนั้นรู้สึกอับอายแทบจะทนไม่ไหวตกลงเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?หญิงสาวหนีบเรียวขาที่บอบบางเข้าหากันแน่น มีเจตนาจะก้มลงเก็บผ้าขนหนู โดยหวังจะถอยห่างจากคีรินให้ไกลที่สุด แต่ทว่า...มือหนายังคงไม่ปล่อย หนำซ้ำยังเพิ่มแรงบีบมากขึ้นอีกด้วย“คะ คุณคีริน หนึ่งนาทีสิบสองวินาที น่าจะพอให้คุณยืนยันแล้วนะคะ?” แชมเปญยิ้มออกมา พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วต้นขา แล้วเอ่
แชมเปญเผยรอยยิ้มจางๆ ริมฝีปากขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไว้ นิ้วที่จับขอบผ้าขนหนูไว้กำแน่นขึ้น ผิวของเธอเปลี่ยนเป็นขาวซีดสลับกับแดงเรื่อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม “ฉันขอถามคุณหนึ่งคำได้ไหมคะ?”คีรินจ้องมองตรงมาที่เธอ เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่เม้มปากเบาๆ แทนคำตอบแชมเปญฝืนยิ้ม “ทำไมคุณถึงต้องการตัวฉันคะ?”ต้องการตัวฉัน?ไม่ใช่ว่าคีรินจะไม่เข้าใจความหมายของเธอเขาหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณคิดว่าคุณมีความสามารถมากพอ ที่จะทำให้ผมต้องการอย่างนั้นหรือ?” ขณะที่พูด คีรินเน้นคำว่า “ต้องการ” อย่างชัดเจน เขายกคิ้วมองแชมเปญด้วยสีหน้าที่ขบขันอย่างที่สุด ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินเรื่องตลกมาเมื่อแชมเปญได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จิตใจของเธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย คีรินไม่ได้ต้องการตัว นั่นแสดงว่าเขาเพียงแค่ต้องการตรวจสอบบางอย่างบนตัวเธอเท่านั้น แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกครั้ง บนร่างกายเธอมีอะไรที่ต้องตรวจสอบกันแน่? หรือว่าเขากำลังสงสัยว่าจะซ่อนอาวุธอะไรไว้บนร่างกาย?ความคิดนี้ทำให้แชมเปญรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าขัน ไม่มีทางที่คีรินผู้ทรงอิทธิพลจะกลัวว่าเธอจะพกอะไรติดตัวมา หากจำเป็น เขาก็แค่จับขังไว้แล้วสั่งค